2. วันแต่งงาน
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งมาถึงเมืองหลวง จินเยว่ได้รับการดูแลอย่างดี และให้พักอยู่ที่เรือนด้านหลังของจวนแม่ทัพ ซึ่งคนละหลังกับบิดามารดา จึงทำให้จินเยว่สบายใจมากกว่าที่ต้องอยู่กับคนหมู่มาก
“คุณหนูที่นี่ใหญ่โตมากกว่าเรือนของนายท่านอีกนะเจ้าคะ แต่ดูมิค่อยมีคนเลยเงียบเหงาราวกับมิมีผู้ใดอาศัย ด้านนอกก็มีแต่ทหาร”
“คงเพราะเป็นจวนแม่ทัพกระมังพี่ชิงหมิง ข้าอยากอาบน้ำแล้วมิรู้ว่าเราต้องไปอาบที่ใดกัน”
“รอตรงนี้สักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวพี่ไปถามบ่าวในจวนนี้ก่อน คงต้องเดินตามหาสักพักเป็นแน่”
“อืมพี่ไปเถอะข้าจะรออยู่ที่นี่แหละ”
จินเยว่เดินเข้าห้องไปพร้อมกับถอดชุดเจ้าสาวออก เหลือเพียงชุดด้านในที่หนาพอให้ความอบอุ่น
ก่อนจะเดินออกมาที่สวนด้านข้าง พร้อมกับยิ้มออกมาเมื่อเห็นต้นพุทราใหญ่ ความซุกซนที่มีอยู่ในตัวทำเอาจินเยว่อดที่จะปีนขึ้นไปเก็บไม่ได้ โดยที่ไม่รู้ว่ามีสายตาของใครบางคนจ้องมองอยู่
“ท่านแม่ทัพจะไม่เข้าไปทักว่าที่ฮูหยินหน่อยหรือขอรับ ดูท่าจะไม่เดือดร้อนอะไรอย่างที่คิดจริงๆ”
จินหยางเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มเหยียดสตรีน้อยที่พึ่งเข้ามาในจวนแห่งนี้ ทั้งสามต่างก็อดคิดมิได้ว่าหญิงสาวคงมักใหญ่ใฝ่สูง จนมิคำนึงว่าผู้ที่แต่งงานด้วยเป็นคนที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ อีกทั้งคำล่ำลือของแม่ทัพหนุ่มอีก
“คงคิดว่าอยู่เป็นฮูหยินคงจะดีกว่าอยู่บ้านนอกของตนเป็นแน่ขอรับ ตอนที่สกุลซูส่งเจ้าสาวก็ดูรีบร้อนเหลือเกินแม้แต่การแต่งกายก็รีบเร่ง จนข้าน้อยคิดว่านางถูกบังคับมาเสียอีก แต่พอเห็นเช่นนี้คงมิใช่”
จินถงเอ่ยขึ้นบ้าง ซือหลางมองดูความซุกซนของว่าที่เจ้าสาว ยังคงปีนป่ายบนต้นไม้ราวกับลิงน้อย ในใจก็อดที่จะเอ็นดูขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่มิเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้จะไม่เห็นใบหน้าของอีกคนชัดเจน
“จัดการหาบ่าวรับใช้มาไว้ที่จวน คอยดูแลฮูหยินน้อยให้ดี อย่าให้ขาดสิ่งใดเด็ดขาด”
“เหตุใดท่านแม่ทัพถึงอยากทำดีกับนางขอรับ”
“ก็นางอุตส่าต์ยอมแต่งงานกับคนเช่นข้า อย่างไรเสียก็ต้องตอบแทนนางบ้างสิ”
เอ่ยจบซือหลางก็เดินออกจากจวน เพื่อกลับไปยังค่ายเช่นเดิม โดยมิได้ใส่ใจว่าจะทำความรู้จักกับอีกคนเลย
หลังจากว่าที่เจ้าสาวถูกกักให้อยู่แต่ในจวนตั้งแต่มาถึง ก็มิได้แสดงท่าทีอันใดแม้แต่น้อย จินเยว่ถูกจับแต่งตัวด้วยชุดใหม่ ยิ่งขับผิวขาวราวไข่มุกของนาง ให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก แต่ตัวเจ้าสาวกลับมิได้ยินดียินร้ายกับเรื่องนี้
“ถึงเวลาแล้วเหตุใดแม่ทัพถึงไม่มารับเสียทีเจ้าคะ หรือว่ามิอยากแต่งงานกับคุณหนู ก่อนนี้ก็ไม่ยอมมาเจอหน้าเลยแม้แต่น้อย”
“โวยวายไปใยพี่ชิงหมิง มาก็มาไม่มาก็ไม่เป็นไร เราทำหน้าที่ของเราแล้วมิใช่หรือเหตุใดต้องกังวล”
“หึ ดูท่าเจ้าสาวข้าคงมิได้อยากแต่งกับข้าอย่างที่คิดสินะ ถึงได้มิใส่ใจเช่นนี้”
คนตัวเล็กสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินเสียงของอีกคนครั้งแรก ไม่ต่างจากชิงหมิงที่นั่งตัวเกร็งเพราะกลัวบุรุษตรงหน้า ที่ยังคงมีหนวดเครารุงรัง และนัยน์ตาที่ดูน่ากลัวราวกับเสือที่จ้องตะครุบเหยื่อ
มือใหญ่ยื่นออกมาเพื่อรับเจ้าสาวของตนไปเข้าพิธี ชิงหมิงจำต้องจับมือจินเยว่ส่งให้ เพราะผ้าคลุมหน้าบดบังเอาไว้จึงมองไม่เห็นด้านนอก
เมื่อมือสัมผัสเข้ากับมือสากที่จับแต่กระบี่อยู่ทุกวัน ทำเอาจินเยว่ตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็วางมือลงพร้อมกับบีบเอาไว้เล็กน้อย ทำให้ซื่อหลางหรี่ตามองอย่างไม่เข้าใจนัก เพราะมิรู้ว่าสิ่งนี้สื่อถึงอะไร
“บีบมือข้าเช่นนี้กลัวหรือ”
“เปล่าเจ้าคะ เพียงแต่อยากจับให้มั่นเท่านั้น”
คำตอบที่คนตัวเล็กเอ่ยทำเอาแม่ทัพหนุ่มชะงักไปทันที ก่อนจะก้าวเดินต่อไปจนถึงห้องจัดพิธี เสียงพูดคุยดังขึ้นเมื่อเจ้าสาวมาถึง เหล่าขุนนางมากมายต่างก็มาร่วมอวยพรกับบ่าวสาว จนเมื่อถึงเวลาแม่สื่อก็เริ่มทำพิธี
“เจ้าบ่าวเจ้าสาวทำพิธี”
หนึ่ง คำนับฟ้าดิน
สอง คำนับบิดามารดา
สาม สามีภรรยาคำนับกัน
ซื่อหลางและจินเยว่หันหน้าเข้าหากัน ก่อนจะโค้งคำนับซึ่งกันและกันแม่สื่อจึงเอ่ยจบพิธี แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่มาร่วมงานมิได้อยากให้จบงานอย่างราบรื่น คำพูดจากปากของใครบางคนจึงดังขึ้น
“เห็นว่าบุตรีใต้เท้าซูนั้นมิอยากแต่งงานกับแม่ทัพเราเลยสักนิด หากมีเรื่องคับข้องใจก็บอกกล่าวคนสกุลจางได้นะฮูหยินน้อย”
ซื่อหลางขบกรามแน่นก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปหาจางลั่วหลิงด้วยอารมณ์ที่ขลุกกรุ่น แต่กลับมีมือเล็กดึงชายเสื้อเอาไว้เสียก่อน พร้อมกับเสียงหวานเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณน้ำใจจากสกุลจางนะเจ้าคะ ข่าวที่ได้ยินมาคงเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ข้าน้อยเต็มใจที่จะเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”
ซื่อหลางชะงักไปเมื่อได้ยินเจ้าสาวเอ่ยเช่นนั้น นิ้วเรียวเล็กสอดเข้ากุมมือคนตัวโต ทำให้ซื่อหลางเย็นลงมาก นั่นยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้กับจางลั่วหลิงเป็นอย่างมาก
“ฮ่าฮ่า ข้าอยากถามคุณหนูซูเสียจริง หากคืนนี้เจ้าเห็นหน้าว่าที่เจ้าบ่าวแล้วจะยังพูดเช่นนี้หรือไม่”
ซื่อหลางขบกรามแน่นอีกครั้ง พร้อมที่จะตรงเข้าจัดการกับคนตรงหน้า ทำเอาบิดาต้องรีบลุกขึ้นมาขวางเอาไว้ จินเยว่เองก็บีบมือคนตัวโตแน่น
“หากเป็นข่าวของท่านแม่ทัพที่มีบาดแผลบนใบหน้านั้น ข้าน้อยมิเคยกังวลเจ้าค่ะ แต่กลับเป็นสิ่งที่ข้าภูมิใจต่างหาก สามีข้าปกป้องบ้านเมืองราษฎรและเหล่าขุนนางให้อยู่รอดปลอดภัย จนตนเองต้องเป็นเช่นนี้ ข้ามีวาสนาได้เป็นภรรยาวีรบุรุษถือเป็นเกียรติยิ่งนัก ข้าเชื่อว่าท่านแม่ทัพจะเป็นสามีที่ดีและบิดาที่ดีให้บุตรได้ มิใช่ดีแต่ใช้เสียงพูดจาถากถางผู้อื่นไปเรื่อย แต่ตนเองกลับมิมีประโยชน์อันใดต่อบ้านเมืองเลย นอกจากกินเงินเดือนไปโดยเสียเปล่าเท่านั้น”
“เจ้านี่ปากคอเราะร้ายเหลือเกินนะ”
ฮูหยินลู่เอ่ยพร้อมกับยืนขนาบข้างสะใภ้ตัวน้อยของตน และยังโอบเอวเอาไว้แน่น จินเยว่นึกขำอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีแดง แม้จะอยากเห็นใบหน้าของคนที่ตนตอกกลับไปเพียงใดก็ทำไม่ได้ แต่ความคิดนั้นก็หยุดลงเมื่อเห็นเจ้าบ่าวของตนหันมาหา
ภายใต้ผ้าคลุมยังสามารถมองเห็นช่วงล่างของผู้คนอยู่บ้าง จึงรู้ว่าเจ้าบ่าวตนตอนนี้หันมายืนอยู่ต่อหน้าแล้ว และทุกอย่างก็เงียบลง เมื่อสัมผัสจากริมฝีปากหนาแนบลงมาโดยมีผ้าคลุมกั้นอยู่
“ไปรอข้าที่ห้องเถอะ ข้าจัดการทางนี้เอง”
ซื่อหลางเอ่ยจบก็หันไปหาชิงหมิงเพื่อให้พากลับไปยังห้องหอพร้อมด้วยแม่สื่อ จินเยว่มัวแต่ชะงักกับการกระทำที่จู่โจมของอีกคนจึงเงียบไป จางลั่วหลิงมองตามอย่างโกรธแค้น ก่อนจะหันมาพบกับรอยยิ้มของแม่ทัพหนุ่มที่ยืนมองอยู่
“ไม่รู้ว่าคุณชายจางอยากมาอวยพรหรือมาก่อกวนกันแน่ ถึงได้เอ่ยเช่นนี้จนทำให้ภรรยาข้าตื่นตระหนก”
“ข้าก็แค่อยากเตือนนางเท่านั้น แต่ดูท่าแล้วสตรีบ้านนอกก็คงจะมิสนว่าสามีจะมีหน้าเช่นไร ขอเพียงมีฐานะดีก็คงเป็นพอ อย่างไรยามที่เข้าหอก็อย่าทำให้นางตกใจจนสิ้นสติไปเสียล่ะ”
จางลั่วหลิงเอ่ยจบก็เดินออกไปจากจวน มีเพียงสายตาขุ่นมัวของซือหลางเท่านั้นที่มองตามอย่างเอาเรื่อง
“พอเถอะวันนี้เป็นวันมงคลของเจ้า ไปทำพิธีให้เสร็จเถอะ ทางนี้พ่อจะดูแลเอง”
“นั่นสิ วันมงคลแท้ๆ เหตุใดเจ้ายังทำตัวเช่นนี้อีก ซ้ำยังใส่หน้ากากเอาไว้อีก เช่นนี้ภรรยาเจ้าคงได้ตกใจเช่นที่ลั่วหลิงเอ่ยเป็นแน่”
“ท่านแม่มิได้ยินที่นางบอกหรือ นางภูมิใจที่สามีทำเพื่อบ้านเมือง หากนางรังเกียจลูกก็แสดงว่าพูดไม่จริง”
“เจ้าเอ่ยเช่นนี้อย่าบอกว่าคิดจะแกล้งน้องเชียวนะ ถึงน้องจะพูดไม่จริง แต่ก็ทำให้ผู้คนในงานที่ตั้งใจมาเย้ยหยันเจ้าคอตกกลับไปได้หลายคนอยู่”
“มัวแต่เอ่ยอยู่เช่นนี้มิใช่เจ้าสาวหลับไปแล้วหรือ”
ใต้เท้าลู่เอ่ยกับบุตรชาย ก่อนจะหันไปหาคนสนิททั้งสองให้พานายไปยังห้องหอเสียที ซือหลางยกยิ้มให้มารดาก่อนจะเดินไปยังห้องหอที่เจ้าสาวอยู่
ภายในห้องหอ ชิงหมิงกำลังเอ่ยถึงใบหน้าของเจ้าบ่าวให้คุณหนูตนฟัง
“คุณหนูไม่น่าเอ่ยเช่นนั้นไปเลยนะเจ้าคะ พี่ว่ายามที่เปิดผ้าออกมาแล้วท่านคงต้องร้องไห้เป็นแน่”
“น่ากลัวเพียงนั้นเลยหรือพี่ชิงหมิง”
“ใช่เจ้าค่ะ หนวดเครารุงรังซ้ำยังใส่หน้ากากเอาไว้อีก คงมีบาดแผลที่ใหญ่มาก น่ากลัวมากเลยเจ้าค่ะ”
จินเยว่ยิ้มให้กับท่าทางตื่นกลัวของพี่เลี้ยง ในใจมิได้หวาดหวั่นแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรเสียก็ตบแต่งกันแล้ว จากที่สัมผัสมือใหญ่นั้นยังมีความอบอุ่นให้รับรู้ได้ คนผู้นี้จึงมิได้น่ากลัวอย่างที่เห็นเป็นแน่
เสียงพูดจาดังขึ้นมาเรื่อยๆ ทำเอาชิงหมิงและคนในห้องต่างก็ยืนเกร็งมิกล้าขยับ จนร่างสูงเดินเข้ามาในห้อง
“ยังต้องทำสิ่งใดอีกรีบๆ เข้า ข้าอยากเข้าหอกับภรรยาเต็มทีแล้ว”
เสียงดุดันเอ่ยขึ้นทำเอาชิงหมิงบีบมือจินเยว่แน่น ก่อนจะถูกจับแยกออกไปอีกด้าน และมีเจ้าบ่าวเข้ามานั่งบนเตียงแทน แม่สื่อทำพิธีด้วยมือไม้ที่สั่นตลอดเวลา จนถึงยามที่บ่าวสาวต้องดื่มเหล้ามงคล
จินเยว่ก็รับมาดื่มพร้อมกับเจ้าบ่าว จนพิธีเสร็จสิ้นทุกคนก็ออกจากห้องไป ชิงหมิงอดที่จะเป็นห่วงคุณหนูตนไม่ได้ แต่ก็จำต้องเดินออกไปเมื่อถูุกคนสนิทของแม่ทัพนำทางไปส่งยังเรือนนอน
“กลัวข้าหรือ แต่ก่อนนี้เจ้าบอกว่าภูมิใจที่เป็นภรรยาข้ามิใช่หรือ ทำให้ได้อย่างที่พูดล่ะ”
“เจ้าค่ะ จะให้ข้าเปิดผ้าเองหรือท่านแม่ทัพจะทำให้ ข้าอยากอาบน้ำแล้วเหนียวตัวมากเลย”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันที เพราะดูท่าเจ้าสาวผู้นี้จะไม่ได้ตื่นกลัวตนเลยสักนิด มือเรียวเปิดผ้าคลุมหน้าคนตัวเล็กออก มิได้คาดหวังว่าสตรีบ้านนอกนี้จะงดงามเทียบเท่าผู้คนในเมืองหลวง รวมถึงหญิงสาวที่ตนเคยมีใจ แต่ก็จำต้องเปิดออกตามธรรมเนียม