3. ฮูหยินตัวแสบ
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าหาได้เป็นอย่างที่คิดไม่ รอยยิ้มสดใสพร้อมกับใบหน้าหวานงดงามราวกับภาพวาด ทำเอาแม่ทัพหนุ่มนั่งนิ่งจ้องมองเจ้าสาวมิวางตา
ต่างจากจินเยว่ที่มองใบหน้าคนตัวโตอย่างสำรวจ และไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ก็มิเห็นจะน่ากลัวตรงไหน ก็แค่หนวดเครารุงรังเท่านั้น หน้ากากก็ดูสวยงามดีดูแปลกตา ว่าแต่ข้าไปอาบน้ำได้หรือยัง ชุดนี้ทำข้าเหนียวตัวมากเลย”
“ก็ไปสิใครห้ามเจ้ากัน”
“เช่นนั้นข้าไปอาบก่อนนะ”
จินเยว่เดินเข้าไปยังห้องอาบน้ำ ก่อนจะถอดอาภรณ์ที่หนักอึ้งออกจนหมดแล้วลงแช่น้ำทันที ซือหลางเดินเข้ามายืนมองคนที่หลับตาพริ้มราวกับอยู่ในห้องเพียงลำพัง
“เจ้าไม่คิดจะกลัวข้าเลยสักนิดหรือ”
“ท่านเป็นสามีข้าเหตุใดต้องกลัว ว่าแต่ให้ข้าอาบเสร็จก่อนได้หรือไม่ แล้วท่านแม่ทัพค่อยให้คนมาเปลี่ยนน้ำ ข้าไม่ชินถ้าต้องอาบน้ำกับใคร”
“แล้วเจ้าคิดหรือว่าข้าจะลงไปอาบกับเจ้าสตรีไร้ยางอายเช่นนี้ข้ามิเข้าใกล้หรอก”
“โอ๊ะ!! ไร้ยางอายเช่นไรกัน ข้ากับท่านแต่งงานกันแล้วช้าเร็วก็ต้องทำเรื่องนั้นมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจะต้องอายด้วยเล่า”
จินเยว่ตอบออกไปหน้าตาย ทำเอาซือหลางถึงกับชะงักในคำพูดของคนตัวเล็ก แต่ก็ยังไม่เท่าที่อีกคนทำทีจะลุกขึ้นจากถังน้ำ ทำเอาซือหลางต้องรีบเดินออกจากห้องไปทันที จินเยว่นึกขำกับท่าทางของคนตัวโต
“นี่เหรอที่ผู้คนต่างก็เกรงกลัว เห็นสตรีแก้ผ้าเดินหนีจนแทบชนประตู เช่นนี้แล้วท่านก็คงไม่อยากเข้าใกล้สตรีเช่นข้าแล้วสินะ ต่างคนต่างอยู่แล้วกัน”
จินเยว่เอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะลุกออกจากถังน้ำด้วยผ้าหนาสีทึบพันกายเอาไว้โดยรอบ มิได้ทำอย่างที่อีกคนคิดเลยแม้แต่น้อย
เมื่อผัดเปลี่ยนอาภรณ์ใส่นอนแล้วออกมาจากห้องอาบน้ำ ก็มิเห็นว่าแมทัพหนุ่มอยู่ในห้องแล้ว จินเยว่ยิ้มออกมาก่อนจะเอนตัวลงนอน
แต่ยังไม่ทันได้หลับก็รู้สึกว่ามีใครบางคนนอนอยู่ข้างๆ ทำให้จินเยว่ต้องรีบหันไปดูทันที ร่างสูงนอนเหยียดยาวพร้อมกับหน้ากากที่ถูกถอดออกวางข้างเตียง
“นอนได้แล้วพรุ่งนี้ต้องไปยกน้ำชาแต่เช้า”
“นึกว่าท่านแม่ทัพจะนอนที่อื่นเสียอีก”
“มีเมียข้าก็ต้องนอนกับเมียสิ”
“อืม” จินเยว่ตอบไปเพียงเท่านั้นก่อนจะหันหลังให้ไม่นานก็หลับไป ไม่ต่างจากคนข้างๆ
สายของอีกวันซือหลางตื่นมาก็มิเห็นภรรยาของตนแล้ว จึงลุกไปล้างหน้าก่อนจะออกจากห้องไป
“ท่านแม่ทัพฮูหยินอยู่ที่ครัวขอรับ”
“นางทำอะไรอยู่ที่นั่น”
“เห็นว่าทำอาหารไปให้ที่จวนนายท่านขอรับ”
ซือหลางพยักหน้าก่อนจะไปนั่งรอที่ห้องโถงของจวน ไม่นานคนตัวเล็กก็เดินเข้ามาหากแต่ชุดที่สวมใส่นั้นแม้จะดูธรรมดา แต่ก็ยังทำให้จินเยว่งดงามอยู่เช่นเดิม ซื่อหลางมองดูคนตัวเล็กถือจานขนมเข้ามาก่อนจะหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้น
“ท่านแม่ทัพชิมให้ข้าที ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นรสชาติที่จวนท่านพ่อท่านแม่ทานหรือไม่”
“ข้าไม่ชอบกินของหวาน”
“ไม่ชอบก็ต้องกินเพราะข้าจะได้รู้ว่าควรเอาไปด้วยหรือไม่ นิดเดียวนะท่านพี่ชิมให้น้องหน่อยนะ”
ซือหลางกลืนน้ำลายลงคอทันที ไม่ต่างจากคนสนิททั้งสองที่ไม่คิดว่าฮูหยินน้อยจะออดอ้อนเก่งถึงเพียงนี้ นิ้วเรียวยัดขนมใส่ปากในขณะที่แม่ทัพกำลังจะปฎิเสธอีกครั้ง
เมื่อขนมเข้าปากก็จำต้องเคี้ยวอย่างจำใจ แต่พอกลืนลงคอซือหลางก็มองหน้าคนตัวเล็กนิ่ง ไม่คิดว่าจะทำขนมได้อร่อยถึงเพียงนี้ จินเยว่รอคำตอบอย่างใจจดจ่อ ก่อนจะเห็นเศษขนมติดที่ไรหนวดของคนตัวโต
นิ้วเรียวขาวจึงเอื้อมเกลี่ยออกให้อย่างแผ่วเบาและไม่เพียงแต่ทำเช่นนั้น ใบหน้าหวานยังก้มมองว่ายังมีหลงเหลืออยู่ที่ริมฝีปากนี้อีกหรือไม่ ทำเอาแม่ทัพหนุ่มถึงกับชะงักไปอีกครั้ง
“ทำอะไรของเจ้ามิอายผู้อื่นหรือไง”
“ทำไมต้องอายข้าเช็ดปากให้สามี มิได้ทำกับผู้อื่นเสียหน่อย ว่าแต่ขนมเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
“อืม ก็ดีท่านแม่คงชอบ เจ้าทำไว้เยอะหรือไม่”
“ก็แค่ในจานนี้กับในตระกร้าที่จะเอาไปฝากท่านแม่เท่านั้น ทำไมหรือท่านพี่อยากกินอีกข้าจะเก็บจานนี้ไว้”
“เช่นนั้นก็วางไว้นี่แหละ กลับมาค่อยกินไปเถอะให้ผู้ใหญ่รอนานไม่ดี”
ซือหลางดึงจานขนมในมือไปวางลงบนโต๊ะก่อนจะเดินนำคนตัวเล็กออกจากจวนไป คนสนิททั้งสองต่างก็แปลกใจกับท่าทางของผู้เป็นนาย แต่ก็มีกล้าจะออกความคิดเห็น จนออกมาถึงหน้าจวนรถม้าจอดรออยู่ พร้อมกับบรรดาชาวเมืองที่อยากเห็นหน้าฮูหยินน้อยของแม่ทัพ ต่างก็มายืนรอดูตั้งแต่เช้า
เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียก็ต้องไปยกน้ำชา จึงมีผู้คนมากมายอยากเห็นหน้าผู้ที่บอกว่ามิกลัวแม่ทัพผู้นี้ว่าจะยังอยู่ต่อที่จวนหรือไม่ จินเยว่นึกขันกับความอยากรู้ของชาวเมือง
“ท่านพี่วันหลังสอนข้าขี่ม้าได้หรือไม่”
จินเยว่ทำทีเดินขนาบข้างสามี พร้อมกับเกาะแขนเอาไว้ราวกับรักใคร่กันมาก ทำเอาซือหลางอดที่จะขันกับความแสบของภรรยาตนไม่ได้
“สนุกมากไหม มิกลัวคำครหาเลยหรือ”
“เหตุใดต้องกลัวข้ารักสามีมันผิดตรงไหน”
“ผิดตรงที่เจ้าแกล้งทำนี่แหละ”
“อีกหน่อยอาจจะไม่แกล้งก็ได้ น้องอาจจะหลงรักท่านพี่หัวปักหัวปำถึงกับยอมตายแทนก็เป็นได้”
“เพ้อเจ้อ” แม้จะเอ่ยออกไปเช่นนั้นแต่ซือหลางก็อดที่จะดีใจกับคำพูดของอีกคนไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าเป็นคำพูดเย้าแหย่ของคนตัวเล็กก็ตาม
“ดูสิเด็กสาวที่เห็นนั่นคือฮูหยินท่านแม่ทัพหรือ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะงดงามปานนี้”
“นั่นสิ สตรีจากบ้านอกเช่นนี้มีหน้าตาสะสวยราวกับบุพผาแรกแย้มได้อย่างไรกัน”
“แต่เหตุใดจึงมีท่าทีสนิทสนมกับท่านแม่ทัพเพียงนั้น มิใช่ว่าเข้าหอกันเมื่อคืนแล้วเกิดรักใคร่กันขึ้นมาเชียวนะ”
“เจ้าก็พูดไป ดูท่านแม่ทัพสิน่ากลัวมิยิ้มแย้มเช่นนั้น”
“ใช่ๆ ข้าเองเห็นไกลๆ ยังนึกกลัวเลย เหตุใดฮูหยินน้อยถึงทำท่าทางราวกับรักท่านแม่ทัพนักหนา”
“หรือว่านางจะถูกบังคับให้ทำเช่นนี้ มิมีสตรีใดอยากเข้าใกล้ท่านแม่ทัพหรอก ต้องใช่แน่ นางต้องถูกบังคับ”
ชาวเมืองที่มาเฝ้ารอดูต่างก็พูดกันไปต่างๆ นาๆ จนล่ำลือกันไปปากต่อปากรวดเร็วราวกับไฟลาม
ซือหลางพาฮูหยินตนมาถึงจวนของบิดา ก็เข้าไปหาผู้ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อมาถึงก็ทำพิธียกน้ำชาจนเสร็จสิ้น จึงได้นั่งพูดคุยกัน
“ไม่คิดว่าภรรยาเจ้าจะงดงามถึงเพียงนี้ ดูแก้มนี่สิราวกับไข่มุก ผิวพรรณก็ดีเกินสตรีในเมืองหลวงเสียอีก เจ้าโชคดีมากจริงๆ ซือหลาง”
“ท่านแม่อย่าได้เอ่ยชมนางมากไป เดี๋ยวนางจะได้ใจจนทำเรื่องน่าอับอายได้”
“ขี้อิจฉา สตรีงดงามถูกชมมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว หรือท่านพี่จะบอกว่าข้าไม่งามล่ะ”
“ดูเอาเถอะท่านแม่ ขนาดอยู่ต่อหน้าท่านนางยังกล้าพูดจาเช่นนี้ออกมาได้”
ซือหลางรีบเอ่ยกับมารดาทันที หากแต่ได้สายตาเอ็นดูคนตัวเล็กกลับมาแทน ส่วนจินเยว่ก็ได้แต่ยกคิ้วใส่พร้อมกับยิ้มหวานส่งมา ทำเอาแม่ทัพหนุ่มถึงกับกำหมัดแน่นเพราะทำอะไรไม่ได้ ด้วยว่าอยู่ต่อหน้าบิดามารดา
“ท่านแม่ท่านพ่อจินเยว่ทำขนมมาให้เจ้าค่ะ และยังมีเม็ดบัวเชื่อมน้ำตาลด้วยนะเจ้าคะ แต่ต้องกินเย็นๆ ถึงจะหวานชื่นใจ ที่เรือนมีห้องเย็นหรือไม่เจ้าคะ”
“มีสิส่งของให้คนที่เรือนไปจัดการเถอะ”
ฮูหยินลู่ยิ้มให้ลูกสะใภ้อย่างอ่อนโยน เพราะมิมีบุตรสาวในจวนเลยสักคน นอกจากซื่อหลางก็มีบุตรชายอีกสองคน ซึ่งตอนนี้เข้าวังไปแล้ว
“เช่นนั้นท่านแม่ลองชิมขนมนี่ก่อนนะเจ้าคะ”
ฮูหยินลู่และสามีหยิบขนมเข้าปากเคี้ยวไม่นานก็ยิ้มออกมา ก่อนจะหยิบกินอยู่เรื่อยจนจะหมดจาน ซื่อหลางนั่งมองนิ่งเมื่อเห็นบิดามารดาถูกใจขนมที่คนตัวเล็กทำ
“เป็นอย่างไรเจ้าคะท่านพ่อท่านแม่”
“ขนมอะไรกันทำไมถึงอร่อยเช่นนี้ พ่อเองมิชอบกินของหวานแต่ที่เจ้าทำมันน่ากินกว่าที่พ่อเคยกินมาก”
“ลูกแค่ใส่ส่วนผสมของมะพร้าวเข้าไปเจ้าค่ะ เลยทำให้รสชาติออกมาหอมหวานกว่าปกติ ท่านพ่อท่านแม่ชอบลูกจะทำมาให้อีกนะเจ้าคะ”
“ซือหลางเจ้าลองชิมฝีมือน้องแล้วหรือ”
มารดาเอ่ยถามบุตรชายที่นั่งนิ่งอยู่ทันที
“ขอรับท่านแม่นางเก็บอีกจานไว้ที่จวนแล้ว ลูกต้องกลับไปที่ค่ายแล้วท่านพ่อท่านแม่รักษาสุขภาพด้วย”
“ท่านพี่น้องขออยู่ที่นี่ได้หรือไม่”
ซือหลางมองหน้าคนตัวเล็กก่อนจะหันไปมองหน้ามารดาที่ดูท่าอยากให้ภรรยาตนอยู่เช่นกัน
“อย่าก่อเรื่องแล้วกัน”
“แล้วถ้าเรื่องมาหาล่ะ”
“…” สายตาดุมองมาทำเอาจินเยว่ยิ้มแห้งใส่ก่อนจะรีบหันกลับมาหามารดาสามีแทน
ซือหลางเดินออกจากจวนไปแล้ว ฮูหยินลู่จึงหันมาหาสะใภ้ตนพร้อมกับเอ่ยถามถึงบุตรชายว่าข่มเหงรังแกหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้กลับทำเอาคนแก่สองคนนึกขันขึ้นมา
“เจ้านี่แสบจริงๆ แล้วลูกสะใภ้แม่กลัวพี่เขาหรือเปล่า”
“เหตุใดต้องกลัวเจ้าคะ ท่านแม่ทัพก็เป็นมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่ยิ้มไม่เป็นเท่านั้น”
“มีเจ้าอยู่อีกหน่อยก็คงยิ้มไม่หุบ”
“กลัวแต่ท่านแม่ทัพจะเอากระบี่มาแทงลูกตายเสียก่อนจะได้เห็นรอยยิ้มน่ะสิเจ้าคะ”
เสียงหัวเราะดังทั่วจวนสร้างความแปลกใจให้กับเรือนหลังเป็นอย่างมาก แต่ก็มิมีผู้ใดจะออกมาดู เพราะต่างก็มิอยากข้องเกี่ยวกับครอบครัวแม่ทัพผู้น่ากลัว แม้จะอยู่ในสกุลเดียวกันก็ตาม เหล่าบรรดาสะใภ้ทั้งสองยังคงนั่งอยู่ในสวนเพราะมิอยากคบหากับสะใภ้บ้านนอกผู้นี้