5. ลองใจ
ซือหลางแช่น้ำอยู่พักใหญ่ ก่อนจะแต่งตัวกลับมายังห้องหนังสือที่คิดจะใช้นอน หากแต่สองเท้ากลับไปหยุดที่หน้าห้องของฮูหยินเสียได้
“คงหลับไปแล้วสินะ”
“ท่านแม่ทัพมีอะไรหรือขอรับ”
“เปล่าข้าแค่มาตรวจเช็คดูเท่านั้น ว่าแต่มีอะไรผิดสังเกตหรือไม่ทางด้านหลัง”
“ไม่ขอรับ ก่อนมาทางนี้ก็ส่งแม่นางชิงหมิงเข้าเรือน ข้าน้อยก็เดินตรวจตราดูอีกรอบแล้วไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต”
“ชิงหมิงอยู่ที่เรือนนอนหรือ”
“ขอรับ ส่งนางเสร็จข้าน้อยก็เดินกลับมาทางนี่”
“เช่นนั้นเจ้าไปตรวจตราต่อเถอะ”
ยิ้มร้ายผุดขึ้นก่อนจะดันประตูห้องเพื่อเข้าไปด้านใน แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเปิดออกไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ จินเยว่ลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงกุกกัก
ร่างเล็กลุกเดินออกมาจากเตียงยืนอยู่อีกมุม เพื่อแง้มหน้าต่างออกดูว่าเป็นผู้ใดกัน แต่ยังไม่ทันได้ชะโงกออกมาก็ถูกนิ้วเรียวดันหัวเอาไว้เสียก่อน พร้อมกับเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น
“เปิดประตูข้าง่วงแล้ว”
“ท่านแม่ทัพไหนว่าจะนอนห้องข้างๆ อย่างไรล่ะ”
“ห้องหนังสือมีเตียงที่ไหนกัน”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน แต่ก็เดินไปเปิดประตูให้คนตัวโตอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินกลับไปที่เตียงกว้าง โดยมีซื่อหลางปิดประตูแล้วเดินตามมา
“ข้าทำเจ้าตื่นหรือยังไม่นอน”
“ข้านอนไม่หลับ”
“กลัวคนพวกนั้นกลับมาหรือกลัวข้ากันล่ะ”
“ไม่ได้กลัวอะไรข้าแค่คิดถึงท่านแม่เท่านั้น ป่านนี้จะเป็นเช่นใดบ้างก็มิรู้”
“เหตุใดต้องเป็นห่วงแม่เจ้าด้วยล่ะ เป็นฮูหยินขุนนางหาใช่อนุจะได้ถูกผู้อื่นรังแก”
จินเยว่ชะงักไปเมื่อลืมนึกถึงข้อนี้ หากคนข้างๆ รู้ว่าผู้ที่แต่งด้วยนี้คือบุตรสาวของอนุ ครอบครัวคงเดือดร้อนไปด้วยเป็นแน่
“ข้าก็แค่คิดถึงเท่านั้น มิมีอันใดหรอกเจ้าค่ะ”
“งั้นก็นอนเถอะ พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทอีก”
จินเยว่พยักหน้าก่อนจะเอนตัวลงนอนหันหลังให้ ต่างจากอีกคนที่นอนมองร่างเล็กจนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ตัว รุ่งอรุณของอีกวันฮูหยินยังคงตื่นทำอาหารเช่นเดิม แม้จะมีแม่ครัวที่รับผิดชอบอยู่แล้วก็ตาม
“ตื่นเช้าเช่นนี้ทุกวันหรือไง ลืมตาขึ้นมิเคยเจอหน้าเลยสักครา”
ซือหลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก่อนจะจัดการทำธุระของตนจนเสร็จแล้วออกไปยังห้องโถง อาหารถูกยกมารอบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย
“แล้วฮูหยินอยู่ที่ใด”
“ดูเหมือนจะไปเก็บพุทราแล้วขอรับ”
“ไปตามมาข้าต้องรีบกินรีบเข้าวัง”
บ่าวในจวนรีบออกไปตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ไม่นานร่างเล็กก็เดินเข้ามาพร้อมกับหน้าตามอมแมม ทำเอาซื่อหลางมองอย่างนึกขัน
“ท่านไม่ต้องมองข้าเช่นนั้นเลยนะ เป็นเพราะท่านนั่นแหละให้คนไปตาม บอกให้รีบข้าเลยตกต้นไม้ลงมาเช่นนี้ เจ็บไปหมดแล้วเนี่ย”
เมื่อรู้ว่าเหตุใดคนตัวเล็กถึงมีสภาพเช่นนี้ ซือหลางจึงรีบลุกขึ้นไปหาทันที มือเรียวจับอีกคนหมุนซ้ายขวาก่อนจะหยุดมองที่ใบหน้าสวย
“เจ็บตรงไหนบอกข้ามา”
“ไม่เป็นไรแล้ว ท่านรีบเข้าวังไม่ใช่หรือ”
“รอเจ้าอยู่ทานเสร็จแล้วข้าจะเข้าวัง”
จินเยว่มองหน้าแม่ทัพหนุ่มก่อนจะเดินตามไปนั่งเพื่อทานอาหารร่วมกันครั้งแรก นับแต่แต่งงานกันมาเกือบสิบวันแล้ว แต่ก็เพียงเท่านั้นเพราะไม่มีใครเอ่ยอันใดออกมาแม้แต่น้อย จนกระทั่งอาหารหมดจาน
“อย่าออกไปไหน กลับมาข้าจะพาไปซื้อชุดใหม่ อีกสามวันจะมีงานเลี้ยงในวังฮ่องเต้ต้องการให้พาเจ้าไปด้วย”
“ไม่กลัวข้าทำขายหน้าหรือ ข้าไม่ชินกับเรื่องในวัง”
“เป็นเจ้าก็พอมีข้าอยู่จะกลัวอะไร”
“พูดเช่นนี้ข้าทำอะไรก็ได้น่ะสิ”
สายตาดุถูกส่งกลับมาหาภรรยาตัวน้อย ทำเอาจินเยว่ต้องรีบหันไปทางอื่นทันที ริมฝีปากหนายกยิ้มก่อนจะเดินออกจากเรือน โดยมีคนสนิทติดตามไปด้วย
“ท่านแม่ทัพเข้าเฝ้าฮ่องเต้เช่นนี้ประจำหรือเจ้าคะ”
“คงงั้นมั้ง เราก็อยู่แต่บ้านนอกจะรู้ได้เช่นไรว่าในเมืองหลวงทำสิ่งใดกันบ้าง”
“นั่นสิเจ้าคะ เราก็แค่สตรีบ้านนอกอย่างที่คนเมืองหลวงเอ่ยเรียก ยังดีที่ท่านแม่ทัพมิได้โหดร้ายกับฮูหยิน อย่างที่คิด เลยอยู่ได้อย่างสบายใจ”
จินเยว่ยิ้มให้กับความคิดของพี่เลี้ยง แต่ในใจก็อดเป็นกังวลมิได้ถึงพลังที่มีในกาย หากเมื่อใดที่สัมผัสแตะต้องคนผู้นั้นก็จะมองเห็นทั้งการกระทำปัจุบันและอดีต
เหตุนี้นางจึงไม่เกรงกลัวสามีของตนอย่างคนอื่นๆ แม้จะมองไม่เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับบุรุษผู้นี้
“กลับเข้าห้องเถอะ ข้าคงต้องอาบน้ำเสียหน่อย”
“นั่นสิเจ้าคะดื้อซนไม่มีใครเกินเลยแต่งงานแล้วนะเจ้าคะ อีกหน่อยก็ต้องมีทายาทตัวน้อยด้วย”
จินเยว่เพียงแต่ยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย พร้อมกับเดินกลับไปที่เรือนนอน แล้วลงบ่อเพื่อชำระร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยขุดขีดของกิ่งไม้ หญิงสาวมักปกปิดความรู้สึกเอาไว้เสมอ แม้จะรู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยสิ่งใด
“เจ้ามันทั้งดื้อทั้งซนจริงๆ นั่นแหละจินเยว่”
มือเล็กลูบเบาๆ ลงที่บาดแผล ก่อนที่มันจะเลื่อนหายไปเองโดยนางเองก็มิได้แปลกใจ สิ่งเดียวที่สงสัยในตอนนี้ก็คือสัมผัสแม่ทัพเท่าใดก็มิอาจมองเห็นภายหน้าได้ มีเพียงอดีตเท่านั้น
“สักวันเมื่อท่านรู้ว่าข้าเป็นใคร ถึงยามนั้นจะทำเช่นไรกับข้ากันนะ หากสัมผัสเห็นการกระทำท่านในภายหน้าได้ จะได้รู้ว่าควรหลีกเลี่ยงเช่นไร แต่นี้กลับมิรับรู้สิ่งใดเลยสักนิด ทำไมกันนะ”
“กังวลเรื่องใดกันเจ้าคะ ดูทำหน้าเข้าสิ”
“ข้ามองไม่เห็นสิ่งที่จะเกิดในภายหน้ายามที่สัมผัสท่านแม่ทัพ หากเป็นเช่นนี้ถูกจับได้จะทำเช่นไร”
“เหตุใดจึงไม่เห็นเจ้าคะ ยามที่ถูกเนื้อต้องตัวกันก็มิเห็นหรือเจ้าคะ เป็นไปได้เช่นไร”
“ไม่รู้สิพี่ชิงหมิง ข้าเห็นเพียงเรื่องที่ผ่านมาเท่านั้น”
นัยน์ตาสวยหรี่ลงเล็กน้อยสื่อให้เห็นถึงความกังวลที่มีภายในใจ ชิงหมิงสางผมให้ก็อดสงสารไม่ได้
“หากท่านแม่ทัพรู้ว่าฮูหยินมิใช่บุตรีเอกของนายท่าน ก็อาจต้องรับโทษ แล้วหากรู้ว่าเป็นผู้ที่มองเห็นชะตาผู้อื่นอีก คงหาว่าเป็นภูตผีปีศาจอีกแน่ หากถูกจับได้ต้องรับโทษในราชสำนักด้วยหรือไม่เจ้าคะ”
“ถ้าพี่กลัว จะจากไปก็ได้นะข้าเข้าใจ”
“อย่าพูดเช่นนี้สิเจ้าคะ เรามีกันแค่สองคนอย่างไรพี่ก็ไม่ทิ้งท่านไปไหนหรอก ตายก็ตายด้วยกันนี่แหละ”
“พี่ไม่ตายหรอก ซ้ำยังได้แต่งงานมีครอบครัวที่น่ารักอีกด้วย อย่าห่วงไปเลยถึงข้าจะมองไม่เห็นแต่ก็ใช่ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี อย่างไรก็ไม่น่าจะโดนโทษตาย”
“ไม่เอาเอ่ยอะไรก็ไม่รู้ ขึ้นมาจากน้ำได้แล้วเจ้าค่ะ”
จินเยว่ลุกขึ้นพร้อมกับผ้าที่ชิงหมิงเตรียมเอาไว้ห่อหุ้มร่างกาย แต่พอหันหลังจะแต่งตัวร่างเล็กก็ลอยขึ้นจากพื้นเสียก่อน ทำเอาผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องรีบออกจากห้องไป
“อ่ะ ทำอะไรของท่านกัน”
“ช่วยเจ้าแต่งตัวอย่างไรล่ะ”
“ข้ามีพี่ชิงหมิงช่วยแล้วไม่ลำบากท่านแม่ทัพหรอก”
“ข้าอยากลำบาก”
คำตอบพร้อมกับนัยน์ตาคมจ้องมองลงที่เนินสาวของคนตัวเล็ก ทำเอาจินเยว่อดกังวลไม่ได้ว่าคงหนีไม่พ้นแล้ว ซือหลางปล่อยคนตัวเล็กลงยืนก่อนจะเอาผ้ามาเช็ดตัวให้จนแห้ง แล้วหยิบอาภรณ์มาสวมใส่ให้อย่างเบามือ
ทำเอาใจดวงน้อยเต้นแรงราวกับกลองศึก แม่ทัพหนุ่มแม้จะทำทีไม่สนใจกับภาพเย้ายวน แต่ช่วงล่างกลับแข็งขืนขึ้นมาพร้อมรบจนปวดหนึบ หากแต่ยังคงเอ่ยถ้อยคำเสียดแทงจิตใจภรรยาของตน
“กลัวหรือ อย่าห่วงเลยข้าไม่แตะต้องสตรีที่ไม่ได้รักหรอก แม้จะเป็นฮูหยินก็ตาม”
ซือหลางเอ่ยพร้อมกับมือเรียวผูกเชือกให้คนตัวเล็ก ก่อนจะผละออกมายืนมองจ้องอีกคนนิ่ง
จินเยว่สะอึกไปกับคำพูดของสามีทันที แววตาสดใสหม่นลงจนคนตัวโตสังเกตเห็น ยิ้มร้ายผุดขึ้นก่อนจะแกล้งเอ่ยต่อเพื่อดูท่าทีของฮูหยินตน
“ข้าไม่คิดจะให้ใจผู้ใดอีก เช่นนี้แล้วเจ้าไม่ต้องห่วงว่าข้าจะคิดทำเรื่องนั้น ขนาดเห็นร่างกายเจ้าเต็มตาแล้ว ด้านล่างยังไม่รู้สึกอันใดเลยสักนิด”
“เจ้าคะ เป็นเช่นนั้นก็ดีระหว่างเราต่างคนต่างอยู่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรทำ หากท่านแม่ทัพมีใจกับสตรีใดขึ้นมา ข้าก็ยินดีจะหลีกทางให้เจ้าคะ”
เอ่ยจบจินเยว่ก็ก้าวขาเดินออกจากห้องไป
“หึ ข้าเห็นสีหน้าและท่าทางเจ้าหมดแล้วฮูหยิน จะให้เชื่อได้หรือว่าเจ้ากำลังมีใจ คนเช่นข้าจะมีสตรีใดมอบใจอย่างมินึกรังเกียจบ้าง แค่รู้ว่าใบหน้านี้มิเป็นเช่นเดิม ก็ถอนหมั้น ราวกับหกปีนั้นมิมีความหมายเลยสักนิด ส่วนเจ้ามาอยู่ที่นี่เพียงครึ่งเดือน ข้ามิมีทางเชื่อแน่”
ซือหลางตั้งใจจะพาฮูหยินออกไปพบผู้คนพร้อมกับตน เพราะอยากเห็นท่าทีว่าคนตัวเล็กจะเป็นเช่นไรในยามที่อยู่ต่อหน้าผู้อื่นมากมาย
จะภูมิใจที่มีตนเป็นสามีอย่างที่เอ่ยหรือไม่ แผนทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะองค์ชายห้าซึ่งเป็นญาติผู้พี่ เอ่ยบอกก่อนหน้าที่ชือหลางจะกลับมาที่จวน
“หากเจ้าอยากรู้ว่าคำพูดนางจริงหรือเท็จ ก็ลองทำตามแผนของข้าดูสิ รับรองว่าเจ้าได้รู้แน่”
“กระหม่อมจะลองดูพะย่ะค่ะ”
“ว่าแต่เมื่อไหร่เจ้าจะเอาหนวดเครานี่ออกเสียที ข้าเห็นแล้วรกลูกตาชะมัด หรือต้องให้มีราชโองการสั่งให้เจ้าโกนมันถึงจะยอม แต่หากเจ้ามิมีหนวดแล้วข้าคงกลายเป็นบุรุษรูปงามอันดับสองเป็นแน่”
องค์ชายเอ่ยพร้อมกับหัวเราะออกมา แต่พอนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“แต่ฮูหยินจากบ้านนอกก็ดูเหมาะสมกับเจ้าดีหากเจ้าทำตัวเยี่ยงนี้ คนหน้าตาธรรมดากับโจรป่าเข้ากันดีนะ เจ้ามิต้องโกนก็ได้นางจะได้ไม่รู้สึกว่าไม่คู่ควรกับเจ้า”
องค์ชายหยวนเหอเอ่ยขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะอีกครั้ง ทำเอาจงเก๋อยิ้มแห้งออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ กับสหายตนที่เป็นองครักษ์ขององค์ชาย
“หากองค์ชายได้เห็นใบหน้าของฮูหยิน คงถอนคำพูดเป็นแน่ ในตอนนี้ท่านแม่ทัพต่างหากที่ดูไม่คู่ควรกับฮูหยินเลยแม้แต่น้อย”
“เจ้าจะบอกว่าฮูหยินผู้นั้นงดงามหรือ จะเป็นไปได้เช่นไรกันสตรีบ้านนอกตรากตรำแดดแรง”
“อีกสามวันมีงานเลี้ยงเจ้ารอดูเองแล้วกัน”