6. เริ่มหาช่องทาง
ซือซือเงยหน้ามองสาวใช้ทันที ไม่แปลกที่ชิงหลิวจะเอ่ยเช่นนั้น เพราะไม่รู้ว่ายามนี้มีนายใหม่มาอยู่ในร่างนี้แล้ว สาวสวยในยุคปัจจุบันที่ประสพความสำเร็จมากในโลกโซเชียล หยิบจับสิ่งไหนก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด ผลิตน้ำหอมขายตั้งแต่อายุสิบห้า จนกลายเป็นแบรนด์ชั้นนำในระดับหนึ่ง
“ไม่เคย ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้นี่ มีทารกที่ไหนที่เกิดมาแล้วเดินได้เลยบ้าง คนก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าไม่ลงมือทำจะรู้หรือว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ อีกอย่างข้าวปลาอาหารยังไงก็ต้องใช้เงินซื้อไม่ใช่หรือ มีใครเขาให้เปล่า ๆ กันบ้าง หากไม่หาเงินเข้าเรือน ภายหน้าเกิดกาลียุคก็ลำบากตายน่ะสิ” คนจากยุคปัจจุบันเอ่ย
มันดูเป็นการเป็นงาน จนผู้ฟังถึงกับอึ้งพูดไม่ออก ไม่คิดว่าสตรีเสียสติจะเปล่งวาจามีเหตุมีผลถึงเพียงนี้ออกมาได้
ทว่ามันเป็นเพราะซือซือรู้ดีว่าตนอยู่ในยุคไหน หลังจากถามไถ่ชิงหลิวก่อนจะแต่งเข้ามาที่นี่ นางพยายามสืบความเกี่ยวกับยุคที่ตนเกิดใหม่ให้มากที่สุด เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ในช่วงสมัยนี้ที่มักเกิดสงครามแย่งชิงดินแดนกันอยู่บ่อยครั้ง
อีกไม่นานนับจากนี้แคว้นอันจะเกิดสงคราม และทำให้ข้าวปลาอาหารแพงขึ้นมาก หากตั้งรับได้ทันก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอันใด ทว่าสีหน้าแต่ละคนช่างขัดกับความต้องการของนางจริง ๆ
“ไม่ได้ ปล่อยให้เจ้าออกไปก็มีแต่จะสร้างเรื่อง ข้าไม่อนุญาต อย่ามาทำอวดเก่งสู่รู้นักเลย” คนไม่เชื่อก็ยังเอ่ยหยันเช่นเดิม
“เหอะ! ข้าไม่ได้ขออนุญาต แค่บอกท่านไว้เท่านั้น ประเดี๋ยวจะตกใจหากเห็นว่าเรือนหลังวุ่นวาย ข้าไปล่ะ” เอ่ยจบก็ลุกพรวดขึ้น ก่อนจะหันมาคำนับมารดาสามีที่นั่งมองตาโต
“อะ เอ่อสะใภ้” เผยฮูหยินหมายจะร้องห้าม เกรงนางจะออกไปสร้างเรื่องวุ่นวายด้านนอก เพราะเชื่อว่าต้องมีคนจำได้แน่
“ข้าจะปิดหน้าไว้เจ้าค่ะ ไม่มีใครรู้ว่าข้าคือสะใภ้สกุลเผยแน่นอน” บอกให้เบาใจ ถึงกระนั้นคนแก่ก็ไม่เชื่ออยู่ดี แต่จะห้ามก็เกรงว่าสะใภ้จะขุ่นเคืองใจ ภายหน้าจะอยู่กันลำบากขึ้นไปอีก เผยฮูหยินได้แต่มองตามไม่รู้จะห้ามเช่นใด
“จะปล่อยไปจริงหรือขอรับ” จางฟู่เอ่ย
“ให้คนตามไปดูห่าง ๆ อย่าให้นางสร้างเรื่องเชียว” สั่งคนของตนแล้วก็หันมาหามารดา “ท่านแม่อย่าไว้ใจนางให้มาก ท่านก็ได้ยินแล้วเมื่อครู่สตรีผู้นี้เอ่ยเช่นไร แม้แต่บิดานางยังเอาดาบไล่ฟัน ท่านอย่าปล่อยให้นางเข้าใกล้อีกนะ”
“จะให้หลบอย่างไรเจ้าคะ นางตรงเข้ามาหาเองเช่นนี้ เราหนีนางจะยิ่งโกรธนะเจ้าคะ” ป้าหยางรีบบอกเมื่อสบโอกาส
“แต่แม่ว่าจ้าวซือซือผู้นี้ไม่ได้ร้ายกาจเช่นที่เรากลัวนะลูก คำพูดคำจาไม่เหมือนคนเสียสติเลย มิหนำซ้ำยังทำอาหารอร่อยด้วย ถูกปากแม่ยิ่งนัก” บอกตามที่เห็นและได้สัมผัส ซึ่งบุตรชายไม่ได้คล้อยตามที่นางเอ่ยแม้แต่น้อย อย่างไรเสียหย่งอวี้ก็คิดว่านางไม่ปกติ เกรงว่าจะคลั่งทำร้ายมารดาในสักวัน
“ลูกจะหาคนมาเพิ่ม ลูกไม่วางใจ”
“ตามใจเจ้าเถอะ แม่เองก็ใช่ว่าจะวางใจ กินอะไรก่อนค่อยไปทำงานก็แล้วกัน ป้าหยางไปตักข้าวต้มมาให้หย่งอวี้ที”
“ไม่ ๆ ลูกไม่กินอาหารที่นางทำ แค่แป้งปิ้งนี่ก็พอ” มือเรียวเอื้อมมาหยิบแป้งปิ้งที่มีอยู่ส่งให้คนของตนคนละอัน
“ลูกไปนะขอรับ” คำนับมารดาก่อนจะหมุนตัวออกไปทันที ไม่ฟังสิ่งที่ผู้เป็นแม่หมายจะเอ่ยสักนิด
“ไม่กินอาหารที่เขาทำ แต่แป้งปิ้งนั่นนางก็ทำนะ” เสียงเบากล่าวตามหลัง คาดว่าบุตรชายไม่ได้ยินแน่
“ป้าหยางวันนี้ปิ้งแป้งได้หอมอร่อยดีนะ รสชาตินี้ข้าชอบ” คนถูกเรียกเผยยิ้มแห้งใส่นายน้อยซึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู ปากนั้นก็ยังเคี้ยวสิ่งที่พูดถึงก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปอีกรอบ
“นางทำอาหารอร่อยจริงหรือเจ้าคะ” ความสงสัยมีมากจนอดถามผู้เป็นนาย ซึ่งเผยยิ้มมองตามบุตรชายไม่ได้
“ชิมดูสิ วันหลังก็ลองถามนางดูว่าใช้สิ่งใดทำ” บอกก่อนจะดันจานแป้งปิ้งซึ่งยังเหลืออยู่หนึ่งชิ้นให้บ่าวคู่กาย
ป้าหยางยิ้มแหยมองแผ่นแป้งที่วางอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดใจชิมตามที่ผู้เป็นนายบอก ไม่ถึงอึดใจก็ตาเป็นประกาย
“นะ นางทำของพวกนี้จริงหรือเจ้าคะ”
“เจ้าเองก็เห็นกับตามิใช่หรือว่านางอยู่ในครัว หากไม่ใช่นางทำก็คงเป็นสาวใช้กระมังที่ลงมือ” ท่าทางเผยฮูหยินก็แปลกใจไม่ต่างจากคนสนิท เมื่อนึกถึงรสมือที่ได้ชิมในวันนี้
“เท่าที่เคยได้ยินมา คุณหนูเจ็ดมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน หวาดกลัวผู้คนจนไม่กล้าออกมา แต่ที่ข้าเห็นนางไม่มีท่าทางเช่นนั้นเลย ยังเข้าพิธีได้ปกติเหมือนคนทั่วไป เพียงแต่”
“เพียงแต่ไร้มารยาทและทำการอุกอาจใช่ไหมเจ้าคะ” เอ่ยในสิ่งที่จ้าวซือซือทำเมื่อวันมงคล นั่นคือปลดผ้าคลุมออก และยังจูบเจ้าบ่าวต่อหน้าผู้คนโดยไม่รู้จักอาย
“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ นางทำไปได้เยี่ยงไรไม่รู้จักอายคน นี่ถ้าชาวเมืองไม่รู้มาก่อนว่านางเสียสติ คงได้ครหาไม่รู้จบสิ้นเป็นแน่” เอ่ยเสียงเหนื่อย เมื่อนึกถึงการกระทำของสะใภ้ซึ่งน่าขายหน้ายิ่งนัก มันขาดคุณสมบัติของสตรีที่ควรจะมียามออกเรือน
ด้านซือซือ ยามนี้นางออกมาเดินตลาดตามที่ได้เอ่ยเอาไว้ ความกังวลจึงตกอยู่ที่ชิงหลิว เพราะผู้เป็นนายไม่เคยออกมาข้างนอกเลย นับตั้งแต่ถูกโจรจับตัวไปเมื่อหกปีก่อน
“คุณหนูอยากได้สิ่งใดไยไม่บอกข้าน้อยเจ้าคะ ข้าน้อยจะไปหามาให้ ท่านกลับเรือนเถอะนะเจ้าคะ” นางเกรงว่าผู้เป็นนายจะอาละวาดในตลาดแล้วเอาไม่อยู่ แม้จ้าวซือซือจะไม่แสดงอาการมาหลายวันแล้วก็เถอะ ทว่านางไม่อาจวางใจได้จริง ๆ
“หึหึ กลัวอะไรหรือ ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากหรอก เราไปดูทางนั้นกันเถอะ ข้าอยากรู้ว่าเขาขายสิ่งใดกัน” สิ้นคำก็เดินตรงไปยังหอเครื่องประดับ
“คุณหนูอย่าเข้าไปเลยเจ้าค่ะ” ยังคงท้วงเพราะเกรงจะเกิดเรื่อง แม้ผู้เป็นนายจะมีผ้าสีขาวบางปิดบังใบหน้าไว้ก็เถอะ นางก็ยังเกรงว่าจะมีคนจำรูปร่างท่าทางได้ หากมีคนรู้ว่าจ้าวซือซือออกมาเดินตลาด ความโกลาหลคงเกิดขึ้นทันที
“อย่าปอดน่า มากับข้าไม่ต้องกลัวอันใดทั้งนั้น” ว่าแล้วก็หนีบเอาแขนสาวใช้แล้วพาเดินเข้าด้านใน
‘ร้านขายเครื่องสำอางสินะ นี่ถ้าเราทำครีมมาขายได้คงรวยน่าดู แต่เครื่องมือไม่มีนี่สิ’ นึกในใจถึงความเป็นไปได้ หากตนสามารถผลิตข้าวของเครื่องใช้ในแบบยุคปัจจุบันได้ คงกลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในยุคโบราณนี้เป็นแน่
ทว่าสองเท้าต้องหยุดลงเมื่อได้ยินคำนินทาของกลุ่มสตรีสามนาง ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากผู้ที่ถูกเอ่ยถึงนัก
“ไร้ยางอายสิ้นดี นางกล้าทำเรื่องเช่นนั้นได้เยี่ยงไร”
“กล้าหรือไม่นางก็ทำไปแล้ว เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสตรีผู้นี้เสียสติ ดีแค่ไหนที่ไม่พังงานให้สกุลเผยต้องอับอาย แต่ก็อย่างว่าแหละ เหมาะกันดีกับหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์จน ๆ” เสียงหยันของสตรีหน้าตาดีเอ่ยออกมา อีกนางก็เห็นดีด้วย คงมีแค่คุณหนูชุย กระมังที่นิ่งฟังเพียงอย่างเดียว เพราะคนที่ถูกพูดถึงนั้นคือบุรุษที่นางมีใจ เพียงแต่อีกฝ่ายจน ครอบครัวจึงไม่ยอมให้แต่งงานกัน