บทย่อ
นางคือสตรีเสียสติที่แม้แต่ครอบครัวยังไม่ต้องการ แต่เขาจำต้องแต่งงานด้วยเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ทว่า! ฮูหยินตัวน้อยผู้นี้ช่างแแสบได้ใจเขายิ่งนัก จะกำราบเช่นไรดีเพื่อให้นางเชื่อฟัง นางคือสตรีเสียสติที่แม้แต่ครอบครัวยังไม่ต้องการ แต่เขาจำต้องแต่งงานด้วยเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ทว่า! ฮูหยินตัวน้อยผู้นี้ช่างแแสบได้ใจเขายิ่งนัก จะกำราบเช่นไรดีเพื่อให้นางเชื่อฟัง
1. เพื่อผลประโยชน์
ท้องฟ้าเบื้องบนโปร่งใสราวกับผ้าไหมสีคราม ผืนเมฆขาวดั่งปุยฝ้ายลอยละล่องอยู่บนฟากฟ้า ตัดกับแสงอาทิตย์ซึ่งส่องประกายเจิดจ้ากระทบกัน จนเกิดความงามราวกับไข่มุกที่ส่องแสงระยิบระยับชวนให้เคลิบเคลิ้มยิ่งนัก
ทว่า! ใครบางคนกลับเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด นั้นเป็นเพราะวันนี้ต้องเข้าพิธีมงคลกับสตรีที่ไม่เคยเห็นหน้า มิหนำซ้ำนางยังเคยเป็นคู่หมายของลูกพี่ลูกน้องเขา ซึ่งปฎิเสธการแต่งงานเพียงเพราะมองว่าสตรีผู้นี้ไม่เหมาะสม คำเล่าลือเกี่ยวกับจ้าวซือซือไม่เป็นที่ถูกใจของตระกูลลุงใหญ่นัก
นางคือสตรีเสียสติ เพราะถูกโจรป่าดักปล้นเมื่อครั้งที่ยังเด็ก ตั้งแต่นั้นมาบุตรสาวคนเล็กของสกุลจ้าวก็พูดจาไม่รู้เรื่อง จนป่านนี้นางอายุสิบหกแล้ว ทว่ายังนั่งเหม่อลอยราวกับคนไม่มีวิญญาณ บางคราทำร้ายตนเองจนบาดเจ็บก็มี
จะถามหามารยาทสี่คุณธรรม สามคล้อยตาม ไม่มีทางหาได้จากนางเป็นแน่ วัน ๆ จ้าวซือซือหาแต่วิธีจะหนีออกจากเรือน ไม่ก็ปลิดชีพของตนเพราะมักจะเกิดภาพหลอนทุกวัน คิดว่ากลุ่มโจรนั้นจะกลับมาทำร้ายตนอยู่ร่ำไป
นี่จึงเป็นสาเหตุให้จางเหวินโหรวปฎิเสธการแต่งงานนี้ทันที ที่สำคัญคือตระกูลนางเป็นพ่อค้า เขาจึงไม่ต้องการเกี่ยวดองด้วย สตรีที่จะเป็นฮูหยินเขาได้ ต้องมีฐานะพอกัน ที่สำคัญนางต้องรู้หลักคุณธรรมที่คู่ควร มิใช่คนสติไม่ดีเช่นนี้
สุดท้ายคนที่ต้องรับหน้าที่แทนก็คือญาติผู้น้อง ซึ่งไม่อาจขัดความต้องการของลุงใหญ่ซึ่งเป็นประมุขของตระกูลได้ หากไม่ใช่เพราะเขาเติบโตมาจากจวนนี้ เผยหย่งอวี้ก็คงจะทำตามความต้องการของตนได้ มิใช่ต้องรอคำสั่งของผู้เป็นลุงเช่นนี้
ทว่า! ข้อแลกเปลี่ยนในการแต่งงาน มันน่าสนใจมากกว่าเรื่องที่เขาต้องรับสตรีเสียสติเป็นฮูหยินเสียอีก เพราะนี้คือโอกาสที่เขาจะได้แยกบ้าน ออกไปใช้ชีวิตซึ่งมีแค่เขาและมารดาเท่านั้น ไม่ต้องทนให้ครอบครัวของฝ่ายมารดากดขี่ข่มเหงอีก
“ได้ฤกษ์แล้วขอรับ” คนสนิทเอ่ยกับผู้เป็นนาย ซึ่งสีหน้ายังคงเรียบเฉย แม้แววตาจะหม่นลงก็เถอะ
“หากใต้เท้าไม่อยากแต่ง เหตุใดไม่ปฎิเสธไปขอรับ” อดไม่ได้จางฟู่จึงเอ่ยถาม ไม่ต่างจากน้องชายที่เป็นกังวลอยู่เช่นกัน
“แลกกับการได้แยกเรือนแยกสกุล ข้าถือว่าคุ้ม” บอกเสียงเหนื่อย แม้ในใจจะกลัดกลุ้มก็เถอะ
“เกรงแต่จะทุกข์หนักน่ะสิขอรับ ได้ยินมาว่าเมื่อสิบวันก่อนเจ้าสาวของใต้เท้ากระโดดลงน้ำจมหายไปนานกว่าจะหาพบ ไม่รู้คนที่ฟื้นขึ้นมาเป็นคนหรือผีมาสิงสู่กันแน่ ได้ยินว่านางโวยวายหนักกว่าเดิมเสียอีก เช่นนี้แล้วเรือนใหม่ของท่านจะหาความสุขได้หรือขอรับ” จางหย่าเอ่ยกับผู้เป็นนาย
“จริงหรือ?” หันมาถามอย่างสนใจ
“ขอรับ ชาวเมืองลือกันให้ทั่ว” จางฟู่เอ่ยบ้าง
“ท่านแม่รู้หรือไม่” รีบถามถึงมารดา เกรงนางจะทุกข์ใจ
“ไม่พลาดขอรับ ฮูหยินรองเล่าให้ฟังตั้งแต่วันนั้นเลย นางตั้งใจจะเย้ยหยันอยู่แล้ว ไม่ปล่อยผ่านไปแน่” จางหย่ารีบสำทับ
“นั่นสินะ แต่ท่านแม่ไม่เห็นเอ่ยอันใดกับข้าเลย คงไม่อยากให้ข้าเป็นทุกข์กระมัง” กล่าวจบก็เดินออกไปจากห้อง
หย่งอวี้กวาดตามองไปรอบเรือน แม้มันจะเล็กไม่กว้างใหญ่เหมือนจวนสกุลจาง ทว่าที่นี่ก็เป็นน้ำพักน้ำแรงของเขา ซึ่งเก็บหอมรอมริบตั้งแต่รับราชการในหน่วยพยัคฆ์มานับสิบปี เขาไม่ยอมแต่งงานเพราะเกรงจะทำให้ภรรยาในอนาคตลำบาก
ทุกวันทำแต่งานไม่สนใจสตรีใด ด้วยฐานะที่ทุกคนมองว่าต่ำต้อยด้วย เป็นเพียงหัวหน้าองครักษ์ในต่างเมืองไม่ใช่เมืองหลวง เขาจึงไม่อยากวุ่นวายข้องเกี่ยวกับผู้ใด
กระทั่งอายุเลยมาจนยี่สิบแปดแล้ว ก็ยังไม่มีทายาทสืบสกุล หากไม่ใช่เพราะบิดาจากไปตั้งแต่ยังเด็ก เขาก็ไม่ต้องมาอาศัยพึ่งใบบุญของลุงใหญ่ ให้ครอบครัวนี้กดขี่เรื่อยมา แต่วันนี้เขากำลังหลุดพ้นแล้ว
“ได้ยินว่าครอบครัวเจ้าสาวทิ้งนางไว้ในเรือนกับสาวใช้ มีคนของบิดานางเฝ้าอยู่แค่ห้าคน ดูท่าคุณหนูเจ็ดผู้นี้คงไม่เป็นที่ต้องการเท่าใดนักนะขอรับ” คนสนิทรายงาน
“คงเห็นว่านางเสียสติกระมัง เมื่อสามเดือนก่อนได้ยินว่าถือดาบไล่ฟันคนสวนจนได้รับบาดเจ็บ นางคิดว่าคนพวกนั้นเป็นโจร บ่าวไพร่ต่างก็หวาดกลัวกันใหญ่ ใครจะกล้าอยู่ใกล้นางกันล่ะ” จางหย่ารายงานถึงเรื่องที่ได้ยินมาอีก เสียงถอนหายใจจึงดังขึ้นจากผู้เป็นนาย ไม่รู้คิดผิดหรือถูกที่รับปากแต่งงานในครานี้
“ข้าชักหวั่นใจแล้วสิ หากนางอยู่กับท่านแม่ แล้วเกิดคุ้มคลั่งขึ้นมาล่ะ จะไม่ทำร้ายแม่ข้าหรือ” นึกมาถึงตรงนี้สองเท้าก็หยุดลง หันกลับมาหามารดาที่ยืนอยู่หน้าเรือน
“เราคงต้องหาคนมาเฝ้าไว้ขอรับ ไม่ก็ให้นางอยู่ที่อื่นหลังแต่งเข้ามาแล้ว ไหน ๆ ก็ไม่มีใครใส่ใจนาง เราจะทำสิ่งใดก็คงไม่มีใครว่าหรอกขอรับ หากฝ่ายนั้นไม่รู้” จางหย่าแนะนำ
“จริงด้วย เราจะทำอันใดกับนาง ก็ไม่มีใครรู้หรอกขอรับ นางไม่เชื่อฟังก็จัดการเสีย” จางฟูกล่าวพร้อมกับทำท่าปาดคอ
“เจ้าไปเล่นไกล ๆ ข้าไป” เสียงตำหนิดังมา ก่อนที่ร่างสูงจะเดินตรงไปยังมาที่ยืนรออยู่ เขาไม่เอ่ยอันใดอีก ทว่าภายในใจก็ครุ่นคิด แต่มิใช่หนทางกำจัดว่าที่ภรรยาของตน
หย่งอวี้กำลังหาวิธีรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นภายหน้า เขาอาจต้องแยกนางให้อยู่ห่างจากมารดาอย่างที่คนสนิทเอ่ย ไม่เช่นนั้นยามทำงานต่างเมืองคงไม่เป็นสุขแน่
ยามเซิน [15:00-16:59]
ขบวนรับเจ้าสาวมาถึงเรือนแล้ว หลังจากที่เดินทางมาถึงสองชั่วยาม [4 ชั่วโมง] เพราะอยู่ต่างเมือง
เจ้าสาวถูกพาออกมาด้วยท่าทางสงบนิ่ง นางคลุมผ้าสีแดงปิดบังใบหน้า ซึ่งไม่ค่อยมีใครเคยพบ เพราะเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนมานานหลายปี ตั้งแต่ถูกกลุ่มโจรจับไป นอกจากยามที่นางเกิดอาการบ้าคลั่งเท่านั้น จึงจะหลุดออกมาจากห้องพัก
“ใช่นางแน่หรือแม่สื่อ เหตุใดคุณหนูเจ็ดถึงสงบนิ่งเพียงนี้” จางฟูเดินมากระซิบถามผู้ที่จูงแขนเจ้าสาวออกมา และยามนี้นางก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าพร้อมกับสาวใช้แล้ว
“ใช่เจ้าค่ะใต้เท้า ที่นางเป็นเช่นนี้ก็เพราะพึ่งดื่มยาไปเจ้าค่ะ เรารีบเดินทางดีกว่านะเจ้าคะ อย่าได้เสียเวลาอีกเลย” เพราะร้อนใจเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดเสียก่อน จึงเร่งผู้ติดตามของเจ้าบ่าว หย่งอวี้จึงพยักหน้าให้คนของตน
ขบวนรับเจ้าสาวออกเดินทางอีกครั้ง ทุกอย่างราบรื่นจนกระทั่งมาถึงเมืองโจวในค่ำวันเดียวกัน มีชาวเมืองมากมายมายืนรอดูหน้าเจ้าสาว ผู้ที่มีข่าวลือว่าเสียสติหมายปลิดชีพตนทุกวัน และยามนี้นางก็อยู่บนรถม้าหน้าเรือนแล้ว
“ถึงแล้วเจ้าค่ะคุณหนู” ชิวหลิง สาวใช้วัยสิบห้าเอ่ยกับผู้เป็นนายซึ่งนั่งอยู่ด้านใน ส่วนนางนั้นนั่งอยู่ด้านนอกข้างคนบังคับ
ร่างเล็กมุดออกมาจากรถม้าขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่ ตามราคาค่าเช่าที่เจ้าบ่าวพอจะจัดหามาได้