2. เสียสติจริง ๆ
เสียงเซ็งแซ่เริ่มดังขึ้นทันทีเมื่อเจ้าสาวออกมายืนหน้ารถ นางจึงถอนหายใจก่อนจะหันมายังทางลง มองเห็นมือเรียวของบุรุษเอื้อมมา คาดว่าคงเป็นของเจ้าบ่าวนางกระมัง จ้าวซือซือยื่นมือขาวออกไปสัมผัสมันเพื่อพยุงตนลงจากรถม้า
หย่งอวี้ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายยอมทำตามอย่างว่าง่าย และไม่เอ่ยวาจาหรือแสดงท่าทีใดเลยสักนิด
ทั้งคู่จูงมือกันเดินเข้าเรือนเพื่อทำพิธี แขกเหรื่อต่างก็รอดูว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นหรือไม่ แต่มันยังเงียบสงบ จนกระทั่งทั้งสองมาหยุดยืนภายในห้องโถงของเรือน เจ้าสาวก็ยังคงสงบนิ่งราวกับร่างไร้วิญญาณจนผู้ที่กุมมือนางอยู่ถึงกับหวั่นใจ
“ข้าว่ามันแปลก ๆ นะ ได้ยินว่านางเสียสติไม่ใช่หรือ เหตุใดคุณหนูเจ็ดถึงนิ่งนัก หรือว่าเป็นคนละคน” ญาตฝ่ายลุงใหญ่เอ่ยถามกัน หนึ่งในนั้นก็มีจางเหวินโหรวอยู่ด้วย
เขาเองก็อยากมาดูหน้าอดีตคู่หมายของตน นัยหนึ่งก็อยากจะมาสมน้ำหน้าญาติผู้น้องนั่นแหละ เพราะอีกฝ่ายหน้าตาดีกว่าเขามาก จึงเกิดริษยาและอยากให้พบกับความอับอาย สำคัญไปกว่านั้นคือสองพี่น้องเคยหมายตาสตรีคนเดียวกัน
ทว่ายามนี้จางเหวินโหรวได้หมั้นหมายกับคุณหนูชุยไปแล้ว หลังจากปฎิเสธการแต่งงานกับจ้าวซือซือผู้นี้ และหน้าที่เกี่ยวดองกับสกุลจ้าวก็ตกเป็นของญาติผู้น้องนี้แทน
“ก็ไม่แน่ อาจจะให้คนอื่นมาสวมรอยแทนก็เป็นได้ คนบ้าเช่นนั้นจะสงบนิ่งเช่นนี้ได้เยี่ยงไร” เหวินโหรวเอ่ยสำทับ
ทุกถ้อยคำที่แขกในงานเอ่ยมา บ่าวสาวล้วนแต่ได้ยินมันชัดเจน หย่งอวี้จึงเกรงว่าเจ้าสาวของตนจะตื่นกลัวขึ้นมา และหงุดหงิดกับประโยคที่ได้ยิน จนทำลายงานแต่งในครานี้ ซึ่งในใจลึก ๆ เขาก็หวังให้เป็นเช่นนั้น ใครจะอยากแต่งกับสตรีเสียสติกัน
‘ไยนางถึงได้ยืนนิ่งราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ผู้คนเอ่ย ไม่คิดจะทำอันใดเลยหรือ’ นึกในใจพร้อมกับเอียงคอมองสตรีที่สูงแค่ไหล่
หย่งอวี้คลายมือที่กุมอีกฝ่ายออกเมื่อทั้งสองเดินมาถึงจุดทำพิธี ใต้เท้าหนุ่มถึงกับผ่อนลมหายใจ ตั้งแต่สัมผัสมือนี้มันทำให้เขารู้สึกประหลาดเป็นอย่างมาก มันนุ่มละมุนอย่างไรไม่รู้ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยแตะต้องสตรีเสียเมื่อไหร่ บ่อยครั้งก็ว่าได้ ตามประสาบุรุษวัยฉกรรจ์ที่ต้องมีผ่อนคลายกันบ้าง
แต่คนข้างกายเขานั้นต่างออกไป สัมผัสแค่มือกลับรู้สึกละมุนราวกับจับต้องปุยฝ้าย ช่างนุ่มลื่นมือดียิ่งนัก
ทว่ารอบข้างกลับยังเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบนินทา ยิ่งสตรีตัวน้อยยืนนิ่ง พวกเขาก็ยิ่งตั้งคำถามมากมาย จนบางคนร้องขอให้เปิดผ้าคลุมออกเพื่อดูว่าใช่คุณหนูเจ็ดหรือไม่
“ใต้เท้าเผย ท่านอย่าประมาทเชียว ไม่รู้สกุลจ้าวเอาสตรีที่ใดมาหลอกล่อเจ้าให้แต่งงาน ปกติคุณหนูเจ็ดนางไม่สงบเสงี่ยมเช่นนี้ เจ้าอย่าได้หลงเชื่อเชียว” นายอำเภอหวังซึ่งหวังดีกับหย่งอวี้เสมอเอ่ยเตือนอย่างกังวล
“นั่นสิ เปิดผ้าออกเถอะ จะได้รู้ว่าใช่นางหรือไม่ ไม่แน่คนสกุลจ้าวอาจเอาสาวใช้มาเข้าพิธีกับเจ้าแทนก็ได้นะ” ครานี้เป็นเสียงของญาติผู้พี่ ซึ่งมองหยันเจ้าบ่าวอยู่
แต่ละคำที่แขกเหรื่อเอ่ยออกมา หมายจะให้เจ้าบ่าวเปิดผ้าออกให้ได้ ซึ่งหย่งอวี้เองก็อยากจะทำเช่นนั้นเหมือนกัน หากสกุลจ้าวเอาผู้อื่นมาแอบอ้าง เขาก็ได้โอกาสยกเลิกงาน
“ท่านควรปกป้องข้ามิใช่หรือ” เสียงหวานเปล่งออกมา เมื่อมือเรียวของเจ้าบ่าวหมายจะเปิดผ้าคลุมออก หย่งอวี้หยุดชะงักการกระทำทันที มือเขาค่อย ๆ ผ่อนลงจนแนบตัว
“แล้วเจ้าคือจ้าวซือซือตัวจริงงั้นหรือ” เขาตั้งคำถามกับนางทันที ซึ่งคนตรงหน้าก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ยามนี้ข้าคือจ้าวซือซือ หากท่านปกป้องข้า ภายหน้า ข้าก็จะปกป้องท่านเช่นกัน” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม ทว่ามันกลับทำให้เจ้าบ่าวนึกขัน สตรีเสียสติบอกว่าจะปกป้องเขา มันช่างเป็นเรื่องตลกที่ไม่อาจเล่าให้ใครฟังได้จริง ๆ
“ได้ฤกษ์แล้วเจ้าค่ะ” แม่สื่อรีบเอ่ย
“เอาเถอะ เช่นนั้นก็ทำพิธีเสีย” เป็นมารดาของหย่งอวี้ที่เอ่ย นางไม่อยากให้งานมงคลล่ม แม้จะไม่ยินดีต้อนรับสะใภ้ผู้นี้ก็เถอะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะล้มเลิกก็คงไม่ได้
แม่สื่อจับเจ้าสาวหันออกมาที่หน้าประตูก่อน เจ้าบ่าวจึงต้องทำตาม เมื่อมารดาขอให้เขาทำพิธีต่อไปให้จบ
“1. คำนับฟ้าดิน” สิ้นคำทั้งคู่ก็โค้งลง ซึ่งมันไม่ได้พร้อมกันเลย เพราะเจ้าบ่าวไม่ได้เต็มใจแม้แต่น้อย
“2. คำนับบิดามารดา” เมื่อหันกลับมา ทั้งคู่ก็โค้งให้กับมารดาหย่งอวี้ ซึ่งนั่งเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียว
“3. สามีภรรยาคำนับกัน” ประโยคนี้ทำเอาทั้งสองถึงกับนิ่งไปพักหนึ่ง ไม่มีใครก้มหัวลงจนเสียงซุบซิบดังขึ้นอีก
เพราะขั้นตอนนี้หมายถึงทั้งคู่ต้องเคารพรักกันไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นคู่อื่น ๆ ที่แต่งกันไปแล้ว ทว่าสองคนนี้ไม่ได้พึงใจกัน ที่สำคัญเจ้าบ่าวออกจะเกลียดเจ้าสาวเสียด้วยซ้ำ นางทำให้เขาต้องอับอาย หากมิใช่เพราะได้ออกมาจากสกุลจาง เขาไม่มีวันยอมเข้าพิธีนี้เป็นแน่
“สามีภรรยาคำนับกันมันยากมากหรือหย่งอวี้” เสียงเย้ยหยันของเหวินโหรวดังขึ้นมาให้ได้ยิน เสียงหัวเราะจึงตามมาด้วย
แก้มสากขึ้นเป็นสันนูนทันที เมื่อเจ้าบ่าวต้องข่มอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นในยามนี้ เขาหันไปหาผู้ที่เอ่ยกับตน จึงไม่ทันระวังตัว ถูกมือเล็กของเจ้าสาวรั้งคอเสื้อดึงลงมาให้โค้งคำนับกันอย่างไม่ทันตั้งตัว เรียกเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นมาอีก
“ฮ่าฮ่า ข้าขายหน้าแทนเจ้าจริง ๆ หย่งอวี้ ภรรยาเจ้าคงชอบเจ้ามากกระมัง เกรงแต่จะทำพิธีไม่จบ ต้องดึงเจ้าลงมาโค้งคำนับเสียเอง เช่นนี้เจ้ากับนางก็เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ แล้วสินะ ข้าดีใจด้วยน้องชาย” เหวินโหรวยังมิวายหยันอีกฝ่าย
“เจ้าทำบ้าอันใดกัน มีที่ไหนทำกันเช่นนี้บ้าง” เจ้าบ่าวส่งเสียงตวาดใส่คนตรงหน้าทันที
“ก็ท่านชักช้า ลีลาอยู่ได้ คนหิวจะตายอยู่แล้ว” ไม่ว่าเปล่าแต่เจ้าสาวตัวน้อยดึงผ้าคลุมออกเองด้วย “อุตส่าห์ทำตัวดีดีแล้วเชียว ยังจะมายึกยักอยู่อีก ตบะแตกจนได้เห็นไหม” พูดจาเรื่อยเปื่อยโดยไม่ใส่ใจผู้คนที่มองนางอย่างตกตะลึง
“คะ คุณหนูถอดผ้าออกทำไมเจ้าคะ” สาวใช้คนสนิทรีบตรงเข้ามาหา พร้อมกับแย่งผ้าคลุมหมายจะปิดเอาไว้เช่นเดิม
“อย่าเชียว ข้าอึดอัดแล้วก็หิวมากด้วย ตั้งแต่เช้าข้ายังไม่ได้กินสิ่งใดเลยนะ” บอกเสียงอ้อน เป็นเช่นนี้เสมอยามที่ซือซืออยู่กับสาวใช้ และมันก็ทำให้แขกเหรื่อรวมถึงเจ้าบ่าวพากันฉงน
“นี่เจ้าคือจ้าวซือซือจริงหรือ เหตุใดถึงได้งามนัก” ญาติผู้พี่ของเจ้าบ่าวเดินเข้ามาใกล้ เพื่อมองหน้านางให้ชัดขึ้น
“เสียใจด้วยนะ ข้ามีสามีแล้ว” บอกอีกฝ่ายซึ่งยังคงก้าวเข้ามา และนางก็ยังขยับไปยืนข้างผู้ที่ตนเอ่ยถึง จับชายเสื้อเขาไว้ราวกับตื่นกลัวนักหนา หย่งอวี้ก็ได้แต่นิ่งไป ใครจะคิดว่าสตรีที่ได้ชื่อว่าเสียสติจะงามถึงเพียงนี้ได้ ราวกับเทพธิดาก็ไม่ปาน
“พะ พาเจ้าสาวไปรอที่ห้องหอเถอะ” เผยฮูหยินรีบบอกแม่สื่อ เกรงว่าภายในงานจะวุ่นวายมากขึ้น
“ประเดี๋ยวก่อน ข้าไม่เชื่อว่านางคือจ้าวซือซือ สตรีผู้นั้นเสียสติ แต่นางกลับไม่มีท่าทางเช่นที่ว่าเลย นางต้องเป็นคนอื่นสวมรอยมาแน่” เหวินโหรวเดินเข้ามายืนตรงหน้าทั้งคู่
‘เอ้า! อีตานี่ ทำไมขยันหาเรื่องนัก หรือว่าจะเป็นญาติของเจ้าบ่าวเรา ไม่อยากให้แต่งด้วยสินะ’ นึกไปในทางที่ดี แต่พอเห็นสีหน้าอีกฝ่ายซึ่งมองมาที่ตนแล้วก็อดตะขิดตะขวงใจมิได้
“ต่อให้ข้าไม่ใช่จ้าวซือซือ แต่เมื่อครู่ข้าไหว้ฟ้าดินกับเขาแล้ว อย่างไรก็หลีกเลี่ยงคำว่าสามีภรรยาไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นน้องขอไปนอนรอท่านพี่ที่ห้องนะเจ้าคะ รีบ ๆ มานะ อย่าปล่อยให้น้องรอนาน” ไม่ว่าเปล่า ทว่าร่างเล็กยังเขย็งเท้าขึ้นไปจุ๊บปากสามีอีกด้วย แขกเหรื่อต่างก็พากันตาโต ไม่เว้นแม้แต่เจ้าบ่าวซึ่งยืนตัวแข็งทื่อไปแล้ว มารดาของเขาก็ด้วย
#ลูกสาวเริ่มแผงฤทธิ์แล้ว