บท
ตั้งค่า

3. ย้อนยุคมาเกิดใหม่

จ้าวซือซือนึกขำในใจถึงท่าทางของแต่ละคน คงเป็นเพราะยุคสมัยนี้ไม่มีใครทำเรื่องประเจิดประเจ้อเช่นนี้ ต่างจากยุคที่ตนจากมา ซึ่งมันเป็นวันแต่งงานของคนรักเก่าพอดี เธอดื่มหนักเพราะเสียใจที่ถูกหักหลัง และยังโชคร้ายเมื่อรถที่นั่งมาเกิดอุบัติเหตุอีก เมื่อลืมตาตื่นอีกครั้ง ซือซือจากยุคสองพันยี่สิบสี่ก็ได้เกิดใหม่ในร่างของจ้าวซือซือในยุคนี้ ซึ่งมีหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ

“พาข้าไปห้องหอสิ” หันมากล่าวกับแม่สื่อ อีกฝ่ายก็พยักหน้าเงอะงะ ก่อนจะเดินนำออกไปทั้งตื่นทั้งกลัว ไม่รู้ว่าคุณหนูเจ็ดจะแผลงฤทธิ์อันใดอีก การกระทำของนางแต่ละอย่างคนแก่เกือบหยุดหายใจ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น เจ้าสาวถอดผ้าคลุมหน้าออกมาเอง และยังทำเรื่องไร้ยางอายจูบสามีต่อหน้าผู้คนอีก

“คุณหนูทำอันใดกันเจ้าคะ วันพรุ่งชาวเมืองคงได้ลือกันทั่ว” ชิงหลิวกล่าวตำหนิเบา ๆ ให้ได้ยินกันสองคน

“ปกติพวกเขาก็ว่าข้าบ้าอยู่แล้วมิใช่หรือ เพิ่มอีกสักเรื่องสองเรื่องจะเป็นไรไป ว่าแต่ในห้องมีอะไรให้กินหรือเปล่านะ” คนห่วงกินรีบเอ่ย ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย

“คุณหนูเหตุใดต้องทำให้ผู้คนเกลียดด้วยเจ้าคะ แม้แต่นายท่านก็ยังปล่อยปละละเลยท่าน คุณหนูไม่เสียใจหรือเจ้าคะ” ชิงหลิวยังคงถามประโยคเดิม ซึ่งซือซือได้ยินมาตลอดสิบวันมานี้ นับจากที่ตนได้เกิดใหม่ในยุคที่ต่างออกไป

คำเล่าลือจึงหนาหูขึ้น เมื่อสตรีที่เสียสติอยู่แล้วเริ่มมีอาการหนักขึ้นไปอีก นางมักจะร้องโวยวายว่าตนไม่ใช่จ้าวซือซือผู้นี้ แต่เป็นซือซือจากอีกยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรือง เป็นที่มาให้บิดาทอดทิ้งไม่ไยดี เพราะเหลือจะทนและอับอายที่มีบุตรสาวเช่นนี้

ริมฝีปากอิ่มเผยยิ้ม ใช่ว่านางอยากทำให้คนเกลียดอย่างที่สาวใช้เอ่ย ก่อนหน้านี้เจ้าของร่างสร้างวีรกรรมไว้น้อยเสียเมื่อไหร่ ต่อให้ตนทำตัวปกติใครจะไปเชื่อว่าไม่ได้เสียสติแล้ว

ในเมื่ออาการของจ้าวซือซือมีมาตั้งแต่นางอายุสิบขวบ จนยามนี้ก็ย่างเข้าสิบเจ็ดแล้ว ไม่มีใครคิดเลยด้วยซ้ำว่านางจะได้แต่งงาน เพราะไม่มีใครอยากเอาไปร่วมวงสกุลด้วย คงมีเพียงเผยหย่งอวี้กระมังที่ยอมรับนางเป็นภรรยา

แต่ทุกอย่างก็เป็นเพราะข้อตกลง ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์มากสุดก็คือลุงของเขา ซึ่งอยากได้ที่ทางในตำบลทางเหนือซึ่งเป็นสินสอดที่สองตระกูลแลกเปลี่ยนกัน หากการแต่งงานนี้เกิดขึ้น

จางเส้าเฉิงจึงยื่นข้อเสนอกับหย่งอวี้ ให้เขาออกจากสกุลจางได้ และสามารถใช้แซ่บิดาตามเดิม ทว่าจากนี้ไปห้ามหย่งอวี้ไปยุ่งเกี่ยวกับสกุลจางอีก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจเพียงใด ก็อย่าเอาปัญหาไปให้ครอบครัวลุงใหญ่เด็ดขาด

ข้อตกลงเหล่านี้จ้าวซือซือไม่ได้รับรู้ด้วย หากนางไม่ได้ตายจากไปแล้วและยังมีผู้อื่นมาอาศัยร่าง ไม่รู้งานมงคลนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ และทางเดียวที่จะรอดจากเงื้อมมือบุรุษที่ได้ขึ้นชื่อว่าสามี ซือซือจึงต้องแกล้งบ้าต่อนั่นแหละ เขาจะได้ไม่มายุ่งเกี่ยวข้องแวะกับนางอีก ใครจะอยากเข้าใกล้คนเสียสติกัน

“ใครจะเกลียดข้าก็เกลียดไปเถอะ ขอแค่เจ้าไม่เกลียดข้าไปด้วยก็พอ” ประจบสาวใช้ซึ่งอายุน้อยกว่าอย่างออดอ้อน

“ใครจะทำเช่นนั้นกันเจ้าคะ” บอกอย่างที่คิด ชิงหลิวคงเป็นคนเดียวกระมังที่ดีกับซือซือนับจากมารดานางเสีย นอกนั้นก็มีแต่คนรังแกกลั่นแกล้ง ไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่ในจวน พวกพี่น้องยิ่งแล้วใหญ่ อยากให้จ้าวซือซือตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

“อะ เอ่อ ฮูหยินน้อยนั่งรอใต้เท้าก่อนนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวก็คงมา” แม่สื่อเอ่ยเสียงสั่น เกรงจะทำอันใดให้นางไม่ถูกใจแล้วพาลตบตีตนเหมือนที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้

“ท่านป้าคิดว่าคนผู้นั้นจะมาเข้าหอกับข้ากระนั้นหรือ ท่านไปพักเถอะ เขาไม่มาหรอก ข้าจะอาบน้ำนอนแล้ว” บอกพร้อมกับดันคนแก่ให้เดินออกจากห้อง “เดินระวังด้วยนะ” ยังมิวายตะโกนตามหลัง จากนั้นก็กวาดตามองไปรอบเรือน

“ดูเหมือนจะไม่มีบ่าวไพร่นะเจ้าคะ” ชิงหลิวเดินมาหยุดข้างกัน มองภาพเบื้องหน้าซึ่งประดับตบแต่งอย่างเรียบง่าย

“อืม เป็นขุนนางระดับล่างนี้ลำบากจริง ๆ”

“อยู่ได้หรือเจ้าคะ” คำถามของสาวใช้ พาให้คนฟังถึงกับยิ้ม

“มีที่ซุกหัวนอนก็พอแล้ว ไม่มีบ่าวไพร่ก็ดี จะได้ไม่วุ่นวาย บนโต๊ะมีอาหาร เรารีบจัดการเถอะจะได้อาบน้ำเข้านอน” กล่าวพร้อมกับหมุนตัวเดินกลับมายังโต๊ะกลางห้อง ไม่รู้ปกติมันจัดวางอยู่แบบนี้หรือไม่ แต่ใครจะสนในเมื่อหิวจนตาลายแล้ว

“ไม่รอใต้เท้าก่อนหรือเจ้าคะ” ยังคงกังวลเกี่ยวกับเจ้าบ่าว

“เขาไม่มาหรอก” บอกอย่างมั่นใจ ก่อนจะนั่งลงจัดการอาหารตรงหน้า ซึ่งรสชาติมันไม่ถูกปากสักนิด

“แหวะ! ไม่ได้เรื่องเลย ครัวอยู่ทางไหนเนี่ยะ”

“อึ๋ยย…ไม่ได้เรื่องจริง ๆ เจ้าค่ะ พวกเขาคงไม่ได้แกล้งเรานะเจ้าคะ” ท่าทางชิงหลิวไม่ต่างจากผู้เป็นนายเลย ซือซือรีบปลดเสื้อคลุมออกจนหลือเพียงชุดแดงพลิ้วด้านใน

“จะไปไหนเจ้าคะ” ถามทันทีเมื่อเห็นผู้เป็นนายเดินตรงออกมาจากห้องหอ เกรงว่านางจะสร้างเรื่องอีก

“หาครัว ทำอะไรง่าย ๆ กิน อาหารพวกนั้นเค็มปี๋อย่างกับน้ำทะเล จะให้กินเข้าไปได้ยังไง” บ่นเสียงดังจนสาวใช้ยิ้มแหย

“โมโหหิวหรือเจ้าคะ”

“อย่าพึ่งถาม” คำตอบนี้ทำให้ชิงหลิวต้องรีบเงียบ ผู้เป็นนายคงจะหิวจัดจริง ๆ นางจึงรีบเดินตามไปยังเรือนทางด้านหลัง ซึ่งน่าจะเป็นครัว ทว่าประตูนั้นคล้องกุญแจอยู่

“คุณหนูประเดี๋ยวข้าน้อยไปเอาอาหารที่งานมาให้ดีกว่านะเจ้าคะ น่าจะได้กินไวกว่า” บอกแล้วก็หันกลับ หมายจะทำอย่างที่เอ่ย ทว่า! ผู้เป็นนายนั้นงัดหน้าต่างเข้าไปแล้ว

“คะ คุณหนู” คนไม่เคยปีนป่ายถึงกับยืนนิ่ง ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคุณหนูเจ็ดถึงคล่องแคล่วนัก

“มีไฟอยู่ สงสัยคนครัวพึ่งออกไปกระมัง” ส่งเสียงกับคนของตน ทว่าพอหันมาหากลับไม่เจอตัว “อ้าว นึกว่าปีนเข้ามาแล้ว” เดินมาเอ่ยที่ริมหน้าต่าง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

“เช่นนั้นก็รออยู่ด้านนอกเถอะ” บอกแล้วก็ตรงไปที่เตา ใส่ฟืนเพื่อเติมเชื้อไฟ จากนั้นก็เดินสำรวจภายในครัว หยิบนั่นหยิบนี่ออกมาเตรียม “ไม่มีข้าว” ยืนนิ่งเมื่อหาอุปกรณ์ครบ นางเดินกลับมาหาสาวใช้อีกรอบก่อนจะสั่ง “พี่ไปหาข้าวมาที”

สั่งจบก็เดินกลับมาที่หน้าเตา ชิงหลิวก็ออกไปทำตามคำสั่ง นางไม่ได้ห่วงที่ผู้เป็นนายจะทำอาหาร เพราะตั้งแต่ฟื้นจากการจมน้ำ คุณหนูเจ็ดก็มักจะเข้าครัวทำอาหารกินเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งที่สาวใช้ฉงนใจเป็นอย่างมากในช่วงนั้น

***********************************************

“ใต้เท้านางไปที่ครัวขอรับ” จางฟู่เดินมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากที่เขารับหน้าที่เฝ้าอยู่ใกล้เรือนพัก

คิ้วหนาผูกกันเป็นปมเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ข้าจะไปดู คงมิใช่หมายจะเผาเรือนข้าหรอกนะ” น้ำเสียงเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก พร้อมกับลุกพรวดเพื่อจะตรงไปยังที่หมาย

“รีบร้อนเพียงนี้ รีบไปเข้าหอหรือหย่งอวี้” ญาติผู้พี่ซึ่งเริ่มเมาแล้วท้วงเจ้าบ่าวทันทีเมื่อเห็นท่าทางร้อนใจของอีกฝ่าย

“ขอบคุณที่เตือนข้า คราแรกข้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าพี่เหวินโหรวจะคิดเผื่อข้าถึงเพียงนี้ ภรรยาข้าก็งามยิ่งนัก ปล่อยนางรอนานคงไม่ดีกระมัง” ตอบกลับราวกับคิดเช่นนั้นจริง ทว่าเขาแค่อยากเอาคืนอีกฝ่ายบ้างก็เท่านั้น

“หึ! งามแต่เสียสติเช่นนี้ข้าก็ไม่เอาหรอกนะ” ยังมิวายเย้ยหยัน แม้ในใจจะขุ่นมัวอยู่ก็เถอะ เพราะเหวินโหรวพอใจหน้าตาของคุณหนูจ้าวมาก ไม่คิดว่าอดีตคู่หมายจะงามถึงเพียงนี้

“แต่ก็ดีกว่าเสียสติอย่างเดียวนี่ขอรับ งามราวกับเทพธิดาเช่นนี้ อย่างไรเสียข้าก็ให้อภัยได้ ขอแค่นางเชื่อฟังว่าง่ายอยู่ใต้ร่างข้าก็พอ พี่ว่าเช่นนั้นหรือไม่” เมื่อสบโอกาสเอาคืน หย่งอวี้ก็ไม่ปล่อยไปเช่นกัน ก่อนนั้นต้องทนให้อีกฝ่ายกดขี่ แต่ยามนี้มีบ้านของตนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องยอมอีกต่อไป

“เจ้าสาวข้าคงรอนานแล้ว ขอตัวนะขอรับ” สิ้นคำเขาก็เดินออกไปจากงาน ทิ้งให้เหวินโหรวมองตามอย่างหงุดหงิด 

#เกิดใหม่ทั้งที่ เกิดมาเป็นคนบ้าซะงั้น 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel