A5
“กะ เกิดอะไรขึ้น!?” จีอาตกใจมากที่ผมหยิบปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท
“รถตู้ 3 คันครับนายท่าน” จิมมี่กล่าวก่อนที่เขาจะขับรถเข้าไปในซอยแคบและค่อยๆดับเครื่องลง ซึ่งพวกมันก็ขับตามกันเข้ามาด้วย เราจึงไม่รอช้าลงจากรถไปเปิดพวกมันก่อน ผมและจิมมี่ได้ลงไปยิงคนขับรถและยิงคนที่นั่งอยู่ในรถคันแรกจนหมด ก่อนจะเดินหลบกระสุนและตามยิงไปเรื่อยๆจนรถคันที่สามเห็นท่าไม่ดีรีบถอยออกมาจากซอยแคบทันที
ฟึบ ฟุบ ฉึก
และในระหว่างที่ผมกำลังเล็งเป้ารถคันที่สาม ประตูรถตู้คันที่สองก็ถูกเปิดออกพร้อมกับมีชายชุดดำพุ่งออกมาจะใช้มีดปาดคอผม แต่ก็โดนผมจับมือมันและแทงสวนทะลุคอของมันไปเองก่อนจะใช้ปืนยิงคนที่อยู่ในรถจนหมด ส่วนจิมมี่ได้รีบเดินกลับไปที่รถเมื่อทางเข้าซอยตรงข้ามมีรถตู้คันที่สี่มาจอดก่อนจะเปิดประตูออกและใช้ปืนเก็บเสียงยิงมาที่ผมไม่ยั้ง
ฟุบๆๆๆ
ผมที่ไม่สามารถหลบได้ทัน แต่ก็กลิ้งหลบอย่างสุดความสามารถ สุดท้ายก็ยังโดนยิงอยู่ดี แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะผมมีเกราะกันกระสุนพิเศษสวมใส่ไว้อยู่แทบจะทั้งตัว กระสุนนัดเดียวไม่สามารถเจาะเกราะนี้ได้ และมันทำได้เพียงสร้างแผลฟกช้ำให้ผมเท่านั้น ส่วนจิมมี่ได้ยิงสวนรถคันนั้นไปจนคนที่ยิงผมตายคารถและศพของมันก็ร่วงหล่นลงจากรถ คนในรถก็ไม่รอช้ารีบปิดประตูและขับรถออกไปทันที
จนผมได้เห็นรถอีกคันที่ขับตามรถตู้ไป มันคือรถของฮิว ฮิวไม่ใช่เลขาของผม แต่เขาเป็นคนคุ้มกันความปลอดภัยส่วนตัว เขาจะคอยตามผมไปทุกที่แบบเงียบๆ โดยที่เขาคืออดีตนาวิกโยธินที่เคยได้รับเหรียญกล้าหาญมากมาย และในช่วงนึงผมได้เจอกับเขาในสภาพปางตายเพราะรัฐบาลต้องการปิดปากเขา เขารู้เรื่องอะไรบางอย่างมา พ่อของผมที่เห็นว่าเขามีประโยชน์ ก็เลยออกตัวช่วยเหลือ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้รัฐบาล หน่วยงานความมั่นคงของชาติจัดชส่งคนมาจับตาดูผม และครอบครัว
ฟึบ ฟุบๆๆๆๆ
“มาแล้วเหรอ” ผมกล่าวเมื่อมีรถตู้ที่มีตราของรัฐบาลมาจอดหน้าซอย และพวกเขาก็ลงมาจากรถด้วยชุดทหารสีดำพร้อมอาวุธครบมือหนึ่งทีม
“ช่วงนี้เกิดเรื่องบ่อยจังนะ” หัวหน้าหน่วยกล่าว เขาไม่ได้สวมเกราะอะไรเลย แต่กลับกัน เขาดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก ซึ่งเขานี่แหละคือคนที่คอยจับตาดูการกระทำของผม ถ้าหากผมทำผิด ผมโดนยัดข้อหาแน่ๆ แต่นี่ไม่ใช่ เพราะพวกมันมาล้ำเส้นผมก่อน
“ก็นั่นแหละ ตั้งแต่พ่อของผมเสียไปพวกนักฆ่าก็แห่กันมาล่าหัวผมเต็มไปหมด” ผมกล่าวก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนรถ ส่วนเรื่องทั้งหมดก็จะปล่อยให้พวกเขาจัดการเหมือนเดิม
“กลัวไหม?” ผมกล่าวถามหญิงสาวที่นอนปิดหูและนอนตัวสั่นอยู่ในรถ
“กลัวสินะ แต่ไม่ต้องห่วงงานที่เธอจะได้ทำไม่ใช่งานแบบนี้”
“เป็นแค่พี่เลี้ยงเด็กเฉยๆ” ผมกล่าวก่อนจะวางมือลงบนหัวของหญิงสาวและลูบเบาๆให้เธอผ่อนคลายลง
“ฉันขอกลับบ้านได้ไหม?” เธอกล่าวออกมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“ได้สิ” ผมกล่าว
“เดี๋ยวจะกลับแท็กซี่” เธอกล่าวพร้อมกับรีบหยิบกระเป๋าของตัวเองและจะเปิดประตูรถลงไป
“เธอคิดว่าลงจากรถคันนี้ไปแล้วจะปลอดภัยงั้นเหรอ?” ผมกล่าวถามกลับไป เพราะข้างนอกมีแต่พวกรัฐบาล และศพของนักฆ่าอยู่ในรถ ถ้าพวกเขาเห็นว่ามีพลเมืองอยู่ในรถคันเดียวกับผม เราคงต้องคุยกันยาว
“ไปด้วยกันนี่แหละ ไม่ต้องกลัว ถ้าอยู่ภายใต้การดูแลของฉัน”
“ไม่มีใครทำอะไรเธอได้ทั้งนั้น” ผมกล่าวก่อนจะให้จีอาบอกทางให้กับจิมมี่ ซึ่งที่พักของเธอมันอยู่โซนลาดพร้าว เป็นหอพักเล็กๆ
“พรุ่งนี้เจอกันในคาบเรียน” ผมกล่าวจบจีอาก็พยักหน้าและรีบลงไปจากรถทันที แต่เมื่อเธอลงจากรถไป ผมได้สังเกตเห็นว่าเธอได้พูดคุยกับเด็กสองคน และเธอก็เข้ากอดเด็กคนนึงซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นน้องชายของเธอ
แต่เดี๋ยวก่อน
เด็กชายอีกคนนึงนั่นมันเจบีไม่ใช่รึไง!?
“น่าสนุกแล้วสิ” ผมกล่าว ซึ่งดูเหมือนจิมมี่ก็จะเข้าใจความหมายของผมเช่นกัน
วันถัดไป
“งั้นเหรอ…เหตุผลที่เธอต้องการเงินจำนวนมากเป็นเพราะเธอต้องดูแลน้องชายใช่ไหม?” ผมกล่าวถามย้ำ ซึ่งในตอนนี้เรากำลังนั่งทานข้าวเที่ยงกันอยู่ที่โรงอาหาร โดยการนั่งทานข้าวของเราทั่งคู่ก็เป็นที่จับตามองเป็นอย่างมาก หญิงสาวที่ถูกบูลลี่อยู่ในตอนนี้ กับชายที่เป็นที่พูดถึงเพราะได้ยินมาว่าหลี่ไป๋กำลังตามหาตัวเขาอยู่ ไม่รู้ว่าทั้งสองมีเรื่องอะไรกัน แต่เป็นเพราะว่าไม่มีใครมีช่องทางการติดต่อผมสักคน ทำให้เขาต้องพูดออกไปเป็นวงกว้างว่าถ้าเจอผมให้รีบมาบอก
“ถ้าใช่ งั้นก็พอดีเลย”
“เมื่อคืนตอนที่ไปส่งเธอน้องชายของฉัน เจบี ดูเหมือนจะสนิทกับน้องชายของเธออยู่พอสมควรเลยนะ” ผมกล่าว ซึ่งหลังจากที่ผมได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว ดูเหมือนครอบครัวของจีอาจะน่าสงสารพอสมควรเลย พ่อแม่เกิดอุบัติเหตุ อาของพวกเธอเข้าควบคุมบริษัท และยังมีหนี้สินที่ไม่รู้มาจากไหนยัดเข้ามาอีก
“เจบีงั้นเหรอ?” จีอากล่าวถามก่อนจะวางช้อนลงบนจานข้าว เธอคงจะคิดไม่ถึงเหมือนกันแหละ ถึงแม้ชื่อเราจะคล้ายกัน แต่ด้วยบุคลิกที่แตกต่าง เธอคงคิดว่าเจบีคงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผมหรอก
“พี่เจเค” เสียงผู้ชายเรียกผมทำให้ผมหันกลับไปเบื้องหลัง ปรากฏว่าเป็นหลี่ไป๋ เขาถือกล่องสีฟ้าเล็กๆมาด้วย เดาว่าคงจะมีของมามอบให้ผม
“นั่งลง” ผมกล่าว เพื่อไม่ให้คนรอบข้างได้ยินว่าเราคุยอะไรกัน
“…” และเมื่อหลี่ไป๋นั่งลงข้างผม จีอาก็แสดงสีหน้าไม่พอใจทันที ผมจึงเริ่มคิดว่าหลี่ไป๋อาจจะไปทำอะไรให้จีอาไม่พอใจหรือเปล่า?
“คุณพ่อของผมต้องการมอบนาฬิกาเรือนนี้ให้พี่ครับ” หลี่ไป๋กล่าวพร้อมกับยื่นกล่องสีน้ำเงินให้ผม ซึ่งมันมีชื่อสลักเป็นแบรนด์ว่า Rolex ป้ายราคาก็ยังติดอยู่เลย ราคามันก็ไม่ใช่น้อยๆ
342,411 บาท
“หลี่ไป๋ นี่คือสิ่งที่หลี่ห้าวจะมอบให้กับพี่เหรอ?” ผมกล่าวถามและมันทำให้หลี่ไป๋ถึงกับแสดงสีหน้าตกใจออกมาทันที โดยปกติแล้วไม่ค่อยจะมีใครมามอบอะไรแบบนี้ให้ผมหรอก
“คะ…ครับ” หลี่ไป๋ตอบด้วยท่าทางเกรงกลัวผม
“จะเป็นอะไรหรือเปล่าถ้าขอรับไว้แค่น้ำใจ แต่ของสิ่งนี้พี่จะส่งต่อให้กับคนที่กำลังจะมาทำงานกับพี่?” ผมกล่าวถาม แต่ผมไม่รอคำตอบ ผมรับกล่องนั้นมาและยื่นให้กับจีอา
“เอาบัตรนี้ไปด้วย ถ้าเกิดเรื่องอะไรแปลกๆขึ้นก็หยิบบัตรนี้ออกมา" ผมกล่าวซึ่งบัตรมันคือการ์ดสีดำเงาแวววาวระยิบระยับ และเมื่อหลี่ไป๋เห็นบัตรนี้เขาถึงกับอ้าปากค้างทันที
“ครับๆ” หลี่ไป๋ตอบรับแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่ม นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาควรจะปฏิบัติยังไงกับจีอาหลังจากนี้
“หลี่ไป๋ พี่ได้ยินมาว่าที่มหาลัยนี้มีกลุ่ม A5 อะไรสักอย่างนั่นอยู่ใช่ไหม?”
“และนายก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“ฉันอยากรู้ว่าเพราะอะไรพวกนายถึงต้องมาจิกกัดจีอาด้วย?” ผมกล่าวถาม ถึงแม้จะพอรู้มาบ้างแล้วก็ตามว่าแฟนของชายที่เป็นหัวหน้าของกลุ่ม A5 ได้พยายามสร้างข่าวลือแปลกๆกับจีอา แต่ผมคิดว่าเราไม่ควรมาใช้อำนาจอะไรทำแบบนี้เลย ซึ่งหลี่ไป๋มันก็เล่าเหตุการณ์ให้ผมฟังอย่างที่ผมเข้าใจมาไม่ผิดจริงๆ
“เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้ให้เองครับ” หลี่ไป๋กล่าวออกตัว ในเมื่อจีอาเป็นคนของพี่เจเค พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะแตะต้องหรือพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับเธอแม้แต่อย่างเดียว มิฉะนั้นบรรลัยแน่
“ไม่ต้อง พี่จะจัดการด้วยตัวเอง”
“เราก็น่าจะรู้ว่าพี่ไม่ชอบการข่มเหงอะไรแบบนี้เลย” ผมกล่าวก่อนจะดัดช้อนเหล็กในมือจนมันงอราวกับเป็นเยลลี่ และดัดกลับมาให้มันมีสภาพแบบเดิม แต่รอยดัดนั้นก็ยังคงอยู่ หลี่ไป๋ถึงกับกลืนน้ำลายดังอึกเลยทีเดียว
“จีอา คำพูดของฉันเธอยังจำได้ไหม?”
“ถ้าอยู่ภายใต้อำนาจของฉันจะไม่มีใครทำอะไรเธอได้”
“ฉันจะแสดงมันให้ดูเดี๋ยวนี้แหละ” ผมกล่าวจบก็สะกิดแขนเธอให้ลุกขึ้นจากโต๊ะ และผมก็เดินไปที่โรงยิมทันที ซึ่งที่นั่นมันก็คือสถานที่รวมตัวของพวก A5 เพราะหัวหน้าของ A5 นั้นเป็นถึงดาวรุ่งใน MMA และในตอนนี้เขาน่าจะกำลังฝึกซ้อมอยู่
ฟุบ
“เธอเก่งมาก” เมื่อผมเปิดประตูเข้ามาในโรงยิม ผมก็ได้เห็นภาพที่คิดไว้อยู่แล้ว แฟนสาวของกัสหรือหัวหน้าของ A5 กำลังซ้อมชกมวยกับนักศึกษาสามคนอยู่ แต่ดูเหมือนจะเป็นการรังแกพวกเขาซะมากกว่า
“อ่าว ไป๋มึงพาใครมาวะ?” กัสตะโกนกล่าวถามเมื่อพวกเราเดินเข้ามาในโรงยิม
“อย่าให้ใครเข้ามา” ผมกล่าวกับหลี่ไป๋ และเขาก็ทำการล็อคประตูทันที ซึ่งพวก A5 ก็อยู่กันครบเลยทีเดียว
“ชื่อกัสใช่ปะ?” ผมเดินไปเผชิญหน้ากับผู้ชายร่างใหญ่คนนั้นแล้วกล่าวถาม ซึ่งเขาตัวใหญ่พอๆกับผมเลย
“ใช่ แล้วมึงเป็น-” เมื่อเห็นว่าผมไม่เคารพมัน มันจึงจะคว้าคอเสื้อผมเพื่อออกหมัดสั่งสอน แต่ก็โดนผมกระชากคอเสื้อของมันขึ้นมาบนเวทีมวยซะก่อน มันทำให้ทุกคนตกใจมาก เพราะเราก็ตัวเท่ากัน แถมกัสยังเป็นดาวรุ่งของ MMA อีกด้วย แต่มาโดนผมใช้แขนข้างเดียวลากตัวขึ้นไปบนเวทีมวยแบบไร้ทางต่อต้านเลยเนี่ยนะ?
“หลี่ไป๋ เจ้าพวกนี้เป็นลูกของคนที่นายรู้จักใช่ไหม?” ผมกล่าวถามเมื่อขึ้นมาบนเวทีมวย และผมก็กระชากเสื้อของกัสจนขาด ทำให้มันเผยร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อออกมา
“ครับ” หลี่ไป๋กล่าวด้วยท่าทางที่เคารพผมมาก และมันทำให้ A5 ทุกคนประหลาดใจ เพราะโดยปกติแล้วหลี่ไป๋มันก็มีนิสัยคล้ายกับกัสนี่แหละ
“อยากจะใช้อาวุธอะไรไหม?” ผมหันไปกล่าวถามชายที่เพิ่งพยุงตัวขึ้นมายืน ทำให้มันหยิบสนับมือออกมาจากกระเป๋ากางเกงทันที
“มึงพูดเองนะ” เมื่อมันเห็นว่าผมแข็งแกร่ง มันจึงไม่ประมาท ซึ่งก็เป็นเรื่องดี แต่นักมวยใช้สนับมืองั้นเหรอ?
อยากจะขำ…
ฟึบ…
“เห้ย!?” และเมื่อผมถอดเสื้อของตัวเองออก นอกจากจะปรากฏรอยแผลเป็นมากมายและรอยสักที่ดูสูงส่งแล้ว พวกมันได้เห็นปืนเก็บเสียงที่เหน็บไว้ตรงเอวของผมด้วย แต่ผมก็วางมันไว้บนพื้น
“หลี่ไป๋ มันคือใครกันแน่วะ!?” กัสตะโกนถามเมื่อเห็นว่าผมไม่น่าจะใช่นักศึกษาธรรมดา บางทีผมอาจจะเป็นมาเฟีย หรือเขาไปทำอะไรให้หลี่ไป๋โกรธกัน? ถึงพามาเฟียมาหาเขา?
ฟุบ ตุบๆ ผลั๊วะ ผลั๊วะๆๆๆๆ
ผมไม่รอช้าพุ่งเข้าไปหากัสทันที และทำการชกหมัดธรรมดาๆออกไป แต่ด้วยความเร็วและประสบการณ์ที่แตกต่าง เขาฝึกเพื่อสู้และชนะ แต่ผมฝึกเพื่อเอาตัวรอดจากทุกสถานการณ์มานับไม่ถ้วน ทำให้ผมสามารถไล่ต้อนไล่ต่อยกัสที่เป็น MMA ดาวรุ่งได้อย่างง่ายดาย และมันไม่มีท่าทีว่าจะสวนกลับผมได้เลย
ผลั๊วะ ผลั๊วะ ผลั๊วะ
ผมต่อยจนสนับมือของมันหลุดกระเด็นไป เพราะมันใกล้จะหมดสติแล้ว ด้วยสภาพที่หน้าบวมไปหมด เลือดก็เต็มปากเต็มอก บนสังเวียนก็มีแต่เลือดของมัน และไม่มีใครกล้าเข้ามาหยุดการต่อสู้นี้สักคน เพราะมันไม่น่าใช่การต่อสู้ของเด็กวัยรุ่นด้วยกันแล้ว นักมวยก็ไม่ใช่ มันเหมือนกับนักฆ่ามาซ้อมเด็กซะมากกว่า
จนสุดท้าย ร่างของกัสก็ร่วงหล่นสู่พื้น และผมก็ยังคงต่อยมันต่อ ถึงแม้มันไม่มีท่าจะขยับตัวแล้วก็ตาม ผมก็ยังหยุมหัวมันไว้และต่อยหน้ามันต่อเหมือนกับที่มันรังแกคนอื่น จนหมัดสุดท้ายผมได้ต่อยไปที่แก้มขวาของมันอย่างจังจนร่างของมันปลิวไปชนกับเสาของสังเวียนมวย
“จัดการเรื่องทุกอย่างต่อด้วยนะไป๋” ผมกล่าวก่อนจะหยิบเสื้อหยิบปืนและลงจากสังเวียน