บทย่อ
เมื่อ“นายท่านเจเค” ผู้ที่มีอำนาจขับเคลื่อนประเทศอย่างเขา ต้องทำตามคำขอร้องสุดท้ายจากพ่อ ให้ไปเรียนมหาลัย… เจเค พี่ชายคนโตของครอบครัว “เจ” เป็นเงาที่คอยควบคุมธุรกิจแทบทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง ปกป้องคนใกล้ตัวจากอันตรายรอบตัวของตนเอง มีเลขา 7 คน และทั้งเจ็ดคนจะคอยดูแลชีวิตประจำวันของเจเค ทำทุกอย่างแทนเขา เจเคมีหน้าที่อย่างเดียวคือ “สั่ง” แต่ในตอนนี้ผู้ที่มีอำนาจขับเคลื่อนประเทศเกินยศใหญ่อย่างนายก หรือ “นายท่านเจเค” ต้องทำตามคำขอร้องสุดท้ายจากพ่อ...
เข้ามหาลัย
“เอาจริงเหรอป๊า” ผมกล่าวถามชายชราตรงหน้าที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ซึ่งในห้องนั้นมีเพียงแค่ผมเท่านั้นหลังจากที่ให้คนอื่นออกไปจากห้องจนหมด
“อ่าว…ป๊า…” ผมกล่าวเรียกพ่อของผมอีกครั้งเมื่อเขาเงียบลง และเมื่อผมลองจับชีพจร ปรากฏว่าเขาได้จากผมไปแล้ว ตลอดกาล…
ผมจึงถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะวางมือของพ่อไว้บนหน้าท้องของตัวเองทั้งสองมือ และเดินออกจากห้องไป ซึ่งพ่อของผมท่านเสียด้วยโรคมะเร็ง
“พี่เคเจ…” เมื่อผมออกมาจากห้อง ผมได้เห็นน้องสาววัยสิบห้ากับน้องชายวัยสิบสี่ยืนอยู่ข้างกัน ทั้งสองกำลังร้องไห้ออกมาต่างจากผมที่มีสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งผมคือพี่ชายคนโตของทั้งคู่ อายุยี่สิบห้าปี
ในช่วงที่ผมเกิด ครอบครัวของเรากำลังวุ่นวายเลยแหละ ผมเลยได้เห็นด้านมืดอะไรหลายอย่างของครอบครัว และถูกฝึกฝนในทุกๆอย่าง การเรียน กีฬา การวางตัว ทักษะต่างๆ และพ่อก็ให้ผมเข้าเรียนรู้งานในบริษัทช่วงที่น้องเพิ่งเกิด เอาเป็นว่าผมไม่ได้เรียนตั้งแต่อนุบาลยันมหาลัยเลยแหละ
และพอมาเวลาที่พ่อป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาล ผมก็เข้าบริหารงานและทำทุกอย่างแทนพ่อจนทุกคนยอมรับในตัวผม ไม่ใช่ในฐานะผู้สืบทอด แต่เป็นในฐานะผู้นำสุดโหด พวกเขากล่าวเรียกผมอย่างนั้น ผมมองเฉพาะคนที่มีประโยชน์กับผม จะว่าผมทะเยอทะยานก็ไม่แปลก ก็พ่อสอนให้ผมเป็นแบบนี้เอง ไม่มีความรู้สึก ไม่มีปราณี แต่มีสิ่งเดียวที่ผมต่างจากพ่อ คือพ่อวางตัวเองไว้สูงมาก ส่วนผมไม่ได้คิดแบบนั้น ผมคิดว่าทุกคนเป็นคนเหมือนกัน ทุกคนมีโอกาส และก็พร้อมที่จะเสียโอกาสไปทุกเมื่อถ้าไม่คว้ามัน
ส่วนน้องทั้งสองคนของผม พวกเขาไม่ได้รู้เบื้องหลังตระกูลของเราเลย รู้เพียงแค่ว่าพ่อทำบริษัทเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เท่านั้น และทั้งคู่ต่างได้เรียน และได้เข้าสังคมที่ต่างไปจากผม พวกน้องๆได้เข้าสังคมที่ดูหรูหรา เฮฮา สนุก ส่วนผมเข้าสังคมที่มีแต่ความกดดัน พรรคการเมือง อำนาจมืด ใต้ดิน
ซึ่งที่จริงแล้วผมไม่ใช่ประธานบริษัทอะไรนั่นหรอก แต่ผมเป็นเจ้าของเลยต่างหาก ผมไม่ต้องทำงาน การทำงานมอบให้เป็นหน้าที่ของประธานบริษัท แต่เวลามีเรื่องใหญ่ๆที่ต้องตัดสินใจ ผมจะเป็นคนคิด เวลามีเรื่องเกิดขึ้น ผมก็จะเป็นคนแก้และพูดคุยให้ เราทำหมดทุกอย่างแหละ ขนส่งของผิดกฏหมาย น้ำมัน ไม้ ข้ามแดน การพนัน
แต่ชื่อของผมและพ่อไม่ได้ปรากฏในสื่อไหนๆเลย เพราะพวกเราอยู่แค่เบื้องหลัง เป็นเสมือนเงาที่คอยขับเคลื่อนผู้คนและสั่งให้พวกเขาทำอะไรเท่านั้น แต่ถ้าเปรียบฐานะกันแล้ว พ่อของผมแม้แต่นายกฯยังต้องไหว้ พูดได้เลยว่าพ่อของผมเป็นคนเลือกนายกฯด้วยตัวเอง ซึ่งมันทำให้ผมมีฐานะเทียบเท่ากับเขาเลยทีเดียว
หลังจากนั้นผมก็ได้สั่งการให้เลขาทั้งเจ็ดคนไปจัดการเรื่องต่างๆ ส่วนตัวผมก็พาน้องๆกลับไปที่บ้านก่อน งานศพเราก็จะจัดกันแบบเงียบๆ มีแต่ผู้อาวุโสระดับสูงในประเทศเท่านั้นที่รู้ และพวกเขาต่างก้มหัวให้ผมทั้งสิ้น
ก็นะ
พวกคุณอารู้ความโหดของผมเป็นอย่างดี ในช่วงที่จีนจะเข้ามาคุมธุรกิจแถวทองหล่อ ก็เป็นผมนี่แหละนี่ไปขวาง เจรจาแล้วเจรจาอีก สุดท้ายก็ไม่เป็นผลจนผมได้เก็บลูกน้องพวกมันไปซะเรียบเลยด้วยตัวคนเดียว หลังจากนั้นจะขอร้อง ไหว้ กราบ อะไรก็ไม่มีผลอีกต่อไป
แต่ในตอนนี้คำขอของพ่อ ผมต้องทำมันจริงๆนะเหรอ…
“อืม…” ผมมองดูใบเข้ารับการศึกษามหาวิทยาลัย G พ่อบอกกับผมว่าอยากให้ผมไปใช้ชีวิตวัยรุ่นที่ผมควรจะได้เมื่อก่อนหน้านี้
ย้อนกลับไปตอนคุยกับพ่อ
“แค่ก…อ่า” พ่อไอออกมาก่อนจะถอนหายใจแบบระเคืองในคอ
“ไปใช้ชีวิตวัยรุ่นสักหน่อย"
“ไม่ต้องเรียน แค่ไปมีเพื่อนสักคนสองคนหรือจะทำอะไรก็แล้วแต่"
“ดูน้องด้วยล่ะ” พ่อกล่าวก่อนที่จะนอนนิ่งไป ซึ่งก่อนหน้านี้พ่อตัดสินใจแล้วว่าจะจบชีวิตตัวเองดีกว่าไปทรมาณอะไรแบบนี้ต่อไป ก็เลยให้หมอฉีดยาซะ
กลับมาที่ปัจจุบัน
“เอาก็เอาวะ” ผมกล่าวก่อนจะเดินไปอธิบายกับน้องๆว่าผมต้องไปเข้าเรียนตามที่พ่อบอก แต่ไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลน้องๆเองหลังจากนี้ และพวกเธอก็เชื่อใจผมมาก เพราะไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมจะอยู่ข้างหน้าพวกน้องๆเสมอและคอยเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตหรือสัตว์ดุร้าย ผมเจ็บได้ โดนต่อว่าได้ แต่น้องผมห้ามโดน
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ผมเป็นคนขอพ่อหรือคนรอบตัว แต่พ่อเองก็เห็นด้วยกับผม พ่อสั่งห้ามให้น้องๆเข้ามายุ่งเกี่ยวกับธุรกิจมืดเด็ดขาด ถึงแม้จะมีสักวันที่น้องต้องรู้ แต่ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ ส่วนแม่ของผมท่านก็ได้เสียไปหลังจากคลอดน้องคนเล็กได้ไม่นาน เป็นเพราะพวกมาเฟียมีคนมาลองดีกับพ่อ พ่อก็เลยส่งผมไปทำงานแรก กวาดล้างพวกมันซะหมด
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในตอนนี้ผมเป็นตัวอะไร มีความสามารถไปซะทุกอย่าง ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก บางครั้งตัวผมเองก็ยังคิดว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?
หลังจากนั้น…ผมก็จัดการแต่งตัวชุดนักศึกษา แต่มันดูคับไปหน่อยนึงด้วยร่างกายอันบึกบึนของผม และผมก็ได้เดินลงไปชั้นล่างข้างๆบ้านมันคือลานจอดรถหรือร้านขายรถก็ไม่แน่ใจ เพราะมีแต่รถเต็มไปหมด มีเป็นสิบๆคัน แต่ละคันนี่ก็ไม่ใช่รถราคาหลักล้าน แต่มันมีราคาหลักสิบล้านจนไปถึงร้อยล้านเลยแหละ และผมก็ได้เดินมาหยุดที่รถเบนซ์คันหนึ่ง มันเป็นรถคันแรกของพ่อ และพ่อหวงมันมาก แม้แต่ผมก็ยังไม่ให้ขับ
แต่ในตอนนี้พ่อบอกเองนะว่าทำอะไรก็ได้ งั้นผมขับมันล่ะ…
บรื้นนน
ณ มหาลัย G
“ร้อนจัง…” ผมกล่าวพลางเดินไปที่ตึกเรียนเรื่อยๆ ซึ่งพ่อของผมได้ให้คนมาจัดการลงทะเบียนไว้ให้เป็นคณะบริหาร สาขาธุรกิจและนวัตกรรม แต่ที่แปลกคือผมมาเรียนในชั้นปีหนึ่งนี่สิ อายุยี่สิบห้าอย่างผมจะมีคนคบเป็นเพื่อนรึไงพ๊ออ
ซึ่งระหว่างทางผมก็ได้เห็นนักศึกษามากมายทั้งชายหญิง จะว่าไปแดดส่องมาแล้วสาวๆที่ใส่ชุดนักศึกษารัดรูปสั้นๆเผยผิวขาวให้ดูนี่มันเยี่ยมจริงๆ แต่ของพวกนั้นผมเห็นในผับเต็มไปหมดแล้วล่ะ มีตั้งแต่ดาวมหาลัยยันดาราสาวสวย จนไปถึงไอดอลจากต่างประเทศ ถึงพวกเขาจะเปิดคลับ VIP เป็นห้องส่วนตัว แต่ผมก็ยังได้เข้าไปนั่งด้วยในฐานะเจ้าของ เพราะผู้จัดการได้เชิญผมมาทำความรู้จักเอาไว้ ผมก็นั่งดื่มคนเดียวไป บางครั้งพวกเธอก็มาชนแก้วกับผมบ้างตอนเมา
“ห้องนี้แหละมั้ง” ผมกล่าวและเดินเข้าไปตามเลขห้องในตารางเรียนของผม และมันทำให้ทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียว เพราะผมเข้าห้องมาช้าไปครึ่งชั่วโมง
แต่เมื่อผมชายตากลับไปมองทุกคนรวมถึงอาจารย์ พวกเขาก็รีบหันกลับไปทันทีด้วยความกลัว….. ล่ะมั่งนะ
เพราะที่คอของผมมันมีรอยสักเป็นมังกรจีนที่เริ่มจากบนไหล่จนไปถึงปากมังกรที่คางข้างขวา ราวกับมังกรตัวนี้เป็นผ้าพันคอกันหนาวให้กับผม และนอกจากนั้นยังมีร่างสูงใหญ่ของผมอีก ทุกคนจึงคิดว่าผมคงไม่ใช่นักศึกษาธรรมดาแน่ๆ แต่หน้าผมก็ยังเด็กอยู่นะ ผมส่องหน้าตัวเองเป็นประจำ คงเนียนไปกับปีหนึ่งได้อยู่แหละ….มั้งนะ
และผมก็ปล่อยให้อาจารย์สอนไป ส่วนผมก็นั่งดูหุ้นในโทรศัพท์พลางๆจนถึงเวลาเลิกเรียนช่วงบ่ายสามกว่าๆ แต่พวกเราปีหนึ่งก็มีนัดต่อไปเข้ารับน้องกับพวกรุ่นพี่คณะบริหาร
ณ ห้องประชุมใหญ่
“เข้ามาเลยค่ะน้องๆ” พวกรุ่นพี่กล่าวและผมก็เดินตามปะปนกับพวกนักศึกษาใหม่เข้าไปในห้องประชุม
“อุ้ยน้องคนนั้นหล่อจัง…” และเมื่อพวกเขาเห็นผมเดินเข้าไปในประตู พวกเขาก็กล่าวชมผมกันทันที ผมจึงหันไปมองพวกเธอ
“พวกพี่ก็สวยเหมือนกัน” ผมกล่าวกับไปทำให้พวกเธอถึงกับอมยิ้มกันออกมา และเมื่อผมเข้าไปในห้องกว้างผมก็ได้เห็นชายที่ยืนอยู่ตรงกลางเวที เขาน่าจะเป็นคนเดียวที่กล้าเปิดเผยรอยสักในโรงเรียน แสดงว่ามีอิทธิพลไม่น้อย ซึ่งเขาสักบนหน้าแขนทั้งสองข้างและกำลังยืนกอดอกมองปีหนึ่งที่เข้ามาอยู่ ทำให้เพื่อนรุ่นเดียวกับผมพากันหลบตาเขาและรีบไปนั่งก้มหน้ากันหมด ต่างจากผมที่เดินตรงไปหาเขา
“น้อง มีอะไรหรือเปล่า ไปนั่ง” เขากล่าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
“เห้ย!?” เขาตกใจมากจนเผลอปล่อยโทรศัพท์ในมือตกจนหน้าจอแตก
“นั่นเด็กปีหนึ่งสาขาเราใช่ไหมที่มาเรียนสาย?”
“ทำไมเขาเดินไปหาพี่ไป๋แบบนั้น”
“เขาไม่รู้เหรอว่าพ่อพี่ไป๋เป็นมาเฟียคุมที่นี่…” หลายคนกล่าวเมื่อเห็นผมเดินมาหาชายตรงหน้า แต่เหตุการณ์มันเริ่มแปลกๆเมื่อชายที่ชื่อไป๋ตกใจตัวตนของผม
“พะ…พี่เจเค” ไป๋กล่าวออกมาเสียงเบา แต่มันทำให้ผมสับสนเพราะผมจำหน้าของเขาไม่ได้
“รู้จักฉันเหรอ?” ผมกล่าวถาม ตอนแรกผมว่าจะเดินมาทักทายคนที่คุมที่นี่สักหน่อยและพาไปอบรมสั่งสอนทำให้เด็กกลัว แต่ดูเหมือนเขาจะรู้จักผมนะ
ได้ยังไง?
คนปกติไม่น่าจะรู้จักผม หรือว่าเขาจะเป็นลูกของใครสักคน?
“ผมเป็นลูกชายคนเล็กของหลี่ห้าวครับ”
“ขออภัยที่แนะนำตัวช้า” เขากล่าวและก้มหัวเคารพผมด้วยเนื้อตัวที่สั่นไปหมด ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด หลี่ห้าวนั่นก็ลูกน้องพ่อผม ลูกชายคนโตของมันเคยมาหาเรื่องผม ผมก็เลยซัดไปซะปางตายเลยทีเดียว แต่แทนที่จะมีสงคราม กลับกลายเป็นพ่อของเด็กคนนั้นต้องมาคุกเข่าขอโทษผมซ้ำอีก
“หลี่ห้าว…จำได้ล่ะ”
“ทำตัวดีๆหน่อย รุ่นน้องเขากลัวกันหมดแล้ว” ผมกล่าวก่อนจะวางมือไว้บนหัวไหล่ของไป๋ และทำให้ผมรู้ว่านอกจากตัวมันจะสั่นแล้ว หัวของมันก็สั่นไม่แพ้กัน
“ครับ” เขาตอบกลับแต่ยังคงท่าไว้เหมือนเดิม ทำให้ทุกคนตกใจกันมากที่คนอย่างหลี่ไป๋ก้มหัวเคารพ
“แล้วงานรับน้องนี่ฉันต้องทำอะไรบ้าง?” ผมกล่าวถามก่อนจะเลื่อนมือไปที่คอของไป๋และตบเบาๆสองครั้งให้เขาเงยหน้าขึ้นมาได้
“ไม่ ไม่ต้องทำอะไรเลยครับ พี่จะกลับบ้านเลยก็ได้ครับ”
“เดี๋ยวผมจะให้พ่อของผมติดต่อพี่ไปครับ!” ไป๋กล่าว ซึ่งถ้าตามที่ผมคิด การที่ได้มาเจอผมแบบนี้คงเป็นโอกาสดีสำหรับเขามาก เขาเลยอยากจะนัดทานข้าวกับผมและให้พ่อของตัวเองมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผมไว้ ก็ถือว่าฉลาดอยู่นะ
“ไม่ต้องอ่ะ ขี้เกียจ” ผมกล่าวจบก็เดินออกไปจากห้องนี้ทันที จะให้ผมไปนั่งบนพื้นกับปีหนึ่งก็เมื่อยขา จะนั่งบนเก้าอี้กับพวกปีสูงก็น่าเบื่อ เพราะโดยปกติแล้วผมจะเข้าสังคมกับคนอายุมากกว่ามาตลอด ผมยังไม่ชิน ผมก็เลยเลือกที่จะกลับบ้านไปก่อนล่ะกัน