Chapter 5
ฉันใช้เวลาที่ร้านประมาณหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่เราจะเดินทางต่อเพื่อไปทานมื้อเย็น ป้าภาแอบกระซิบว่าฉันต้องชอบแน่ ๆ ฉันสงสัยว่าคุณลุงชยุตกับมาร์สไม่มาด้วยกันเหรอ มีเพียงส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายกับคุณสามีที่คงกำลังดูบอลกับลูกชายวัยเจ็ดขวบอยู่บ้านสบายใจเฉิบหลังจากที่กลับมาจากมาเก๊าเพื่อไปร่วมประชุมในเรื่องทิศทางเส้นทางการบินใหม่
“แม่ให้เอิร์ธจองโต๊ะไว้แล้ว นั่นไง” พวกเรามาถึงชั้นดาดฟ้าของโรงแรมระดับห้าดาวที่มีชื่อเสียง นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในห้าร้านดังอาหารบนชั้นดาดฟ้าจากการจัดอันดับในประเทศ ฉันเดินตัวเกร็งไปหยุดที่โซนข้างในร้านที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำที่พี่เอิร์ธจองไว้ ผู้ชายที่ไม่เห็นหน้าเกือบเดือนกำลังนั่งยิ้มระรื่นเคียงข้างกับผู้หญิงที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี เธอคือ ‘พี่เฟิร์น’ นั่นเอง
“ตาเอิร์ธ”
“อ้าวแม่ มากันแล้วเหรอครับ” พี่เอิร์ธที่กำลังคุยสนทนาอย่างออกรสออกชาติกับพี่เฟิร์นคนสวย หันขวับมาพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงทักทายจากป้าภา เธอรีบลุกขึ้นยืนและไหว้คุณป้าอย่างชดช้อยราวกับกุลสตรี
“คุณป้า สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะ หนูเฟิร์นใช่มั้ยจ๊ะ” เธอคลี่ยิ้มและพยักหน้า ส่วนพี่เอิร์ธก็มองป้าภา ก่อนจะเบนสายตามาสบเข้ากับฉัน เขาเลิกคิ้วทักทายส่วนฉันทำหน้ากวนประสาทจนเขามุ่นคิ้ว เมื่อทักทายกันเรียบร้อยแล้ว ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ ไม่ว่าจะเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยกุ้งลวกเนื้อกรอบ กุ้งลอบ-สเตอร์ ตามด้วยเนื้อวัวส่วนน่องตุ๋นกับไวน์แดง เสิร์ฟคู่กับซอสรีซอตโตอะไรสักอย่างนี่แหละ ดีนะที่ฉันได้เรียนวิชาบังคับการจัดการโรงแรมจึงรู้ธรรมเนียมการทานอาหารตะวันตกมาบ้าง
“จริงสิ น้องมูนคงจะไม่เคยทานกุ้งล็อบสเตอร์หรอกเนอะ อร่อยนะจ๊ะเดี๋ยวพี่ทำให้ นี่จ้ะตรงนี้อร่อยนะก็แหมดูเก้กังเหมือนคนไม่เคยเข้าร้านแบบนี้ พี่ดูออกแหละ” ระหว่างที่พี่เอิร์ธและคุณป้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำฉันกลับได้มานั่งอึดอัดกับแฟนพี่เอิร์ธ เธอชวนคุยนั่นนี่ พูดเสียงเจื้อยแจ้วอย่างคนลืมเลือนว่าเมื่อสามอาทิตย์ก่อนได้สร้างเรื่องอะไรไว้ คราแรกที่เจอเธอดูไร้เดียงสาไม่มีพิษมีภัยอะไรแต่พอหลังจากวันนั้นความรู้สึกแรกที่เจอกับเธอในตอนนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่ใช่เหวธรรมดา เหวนรกล่ะสิไม่ว่า
“จริงเหรอคะ มูนไม่เคยกินเลยค่ะมันอร่อยจนตัวลอยได้มั้ยนะ”
“...”
“หรือกินแล้วอึออกมาเป็นทองคำ” มือก็จิ้มเนื้อกุ้งอย่างเอร็ดอร่อย แต่ก็ทำหน้ายียวนกวนประสาทให้คนตรงหน้าโมโหเล่น
“เอ๊ะ น้องมูนกำลังประชดประชันพี่รึเปล่าคะ” สีหน้าจากที่พอใจในคำพูดเกทับในตอนแรก พอฉันตอบกลับไม่พอใจซะอย่างนั้น อย่ามาแหย่รังแตนนะขอบอก เหอะ
“มูนพูดเล่นค่ะ แฮ่ ๆ” เมื่อเห็นว่าคุณป้าและพี่เอิร์ธเดินกลับมาแล้วฉันก็เปลี่ยนสีหน้าทันที ส่วนพี่เฟิร์นก็กลบเกลื่อนอาการเกือบโมโหจนหน้าแดง
“อร่อยเหมือนตอนที่เราไปทานที่สวีเดนหรือเปล่า” ป้าภาเอ่ยถามฉันที่เห็นนั่งเคี้ยวอย่างคนมีความสุขจากการทานอาหารในดินเนอร์ครั้งนี้ พี่เอิร์ธก็พยายามยื่นส่วนเนื้อให้ฉันพลางส่ายหน้าระคนเอ็นดู
“ที่ไหนก็อร่อยค่ะ ขอบคุณที่พามาทานของอร่อย ๆ ที่มูนไม่เคยกินนะคะป้าภา” ฉันเคี้ยวเสร็จก็จิบน้ำเปล่า และเอ่ยขอบคุณผู้มีพระคุณในครั้งนี้
“กินอีกมั้ย วันหน้าเดี๋ยวพี่พาไปกินโอมากาเสะ” พี่เอิร์ธเอ่ยทักท้วงเรื่องที่ฉันกุมความลับเขาหนึ่งอย่างและติดสินบนไว้ยังไม่ได้มีโอกาสพาไปเลย
“มูนยังไม่เคยกินเลย” ฉันพูดเสียงอ่อยอย่างคนน่าสงสาร แต่ทว่าพี่เอิร์ธกลับเอ่ยแย้งขึ้นมาทันที
“ก็เหมือนที่เชฟมาทำให้เรากินที่บ้านไง ขี้ลืมจริง ๆ นะเรา” ฉันได้แต่มองตาปริบ ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองพี่เฟิร์นอย่างตรงไปตรงมา เธอคงรู้สึกเสียหน้าที่พยายามพูดให้ฉันเจ็บช้ำน้ำใจ ก็เจ็บจริงนั่นแหละทุกอย่างที่เคยได้กินของดี ๆ การศึกษา หรือการไปเที่ยวต่างประเทศเพราะครอบครัวอัศวรวราทั้งนั้น ส่วนนี้ฉันไม่เถียง แต่ในระหว่างที่เราสบตากัน ป้าภาชวนพี่เอิร์ธคุยเรื่องจัดงานวันเกิดครบรอบห้าสิบเอ็ดปี พี่เฟิร์นเอ่ยสองประโยคที่ทำให้ฉันรู้สึกสะเทือนใจ น้ำตาคลอเบ้าอย่างคนเจ็บปวด เล็บจิกที่หน้าขาอย่างคนข่มอารมณ์
‘กา-ฝาก’
ผู้หญิงคนนี้พูดออกมาโดยไม่ออกเสียง และยิ้มแค่นราวกับสะใจที่ได้ล้อเลียนปมด้อยของคนอื่นเพียงเพราะผู้ชายที่เธอรักให้ความรักกับฉันมากกว่า เธอล้ำเส้นกันเกินไปแล้ว
“เป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า” พี่เอิร์ธคงเห็นสีหน้าซีดเผือดที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน จึงสะกิดเบา ๆ เพื่อถามไถ่ ป้าภาเองก็เผยความห่วงใยออกมาจนตัวต้นเหตุที่ทำให้ฉันช็อกเริ่มไม่พอใจขึ้นมา
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ คือว่ามูนต้องกลับไปเก็บของ”
“นั่นสิ นี่ก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว งั้นพวกเราแยกกันเลยมั้ยจ๊ะหนูเฟิร์น”
“เฟิร์นยังอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อย คุณแม่กับน้องมูนกลับก่อนก็ได้นะคะ”
“จะดีเหรอจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เฟิร์นเองยังอยากอยู่กับเอิร์ธ...อีกหน่อย” ระหว่างพูดกับป้าภาแต่ทางส่งสายตาหวานเชื่อมให้พี่เอิร์ธ ก่อนสายตาเสมองมาทางฉัน เธอเน้นคำย้ำเหมือนกับว่ายังอยากกับพี่เอิร์ธสองต่อสอง ไม่มีคนอื่นมาขัดจังหวะ เหอะ ใครอยากจะเป็นก้างขวางคอของทั้งคู่กัน แค่คิดก็คลื่นไส้จะอ้วกแล้ว ทำท่าทางจะสำลักความรัก ดีที่ถูกสายตาของพี่เอิร์ธปรามเอาไว้เสียก่อน
“อย่างนั้นป้าไม่กวนแล้วกันนะจ๊ะ ปะน้องมูนกลับกัน”
“ไปแล้วนะคะ พี่เอิร์ธ พี่เฟิร์นคนสวย” ฉันยกมือไหว้ทั้งคู่แล้วประคองคุณป้า กุมมือกันเดินเคียงข้างจากมาด้วยความโล่งอก ถ้าอยู่ด้วยกันอีกชั่วโมงมีหวังอึดอัดตายแน่ ไม่รู้ว่ากลับมาคบกันตอนไหน ช่างเถอะอย่ามาระรานกันก็พอฉันสู้คนนะขอบอก แต่เหมือนว่าถ้าเธอยังคบหากับพี่เอิร์ธเรื่องวุ่นวายมันจะยิ่งยุ่งเหยิงและฉันคงอยู่ไม่สงบเหมือนเดิมแน่ แค่คิดก็เริ่มปวดหัว
ในที่สุดวันเกิดป้าภาก็มาถึง ฉันได้รับชุดที่สั่งตัดจากร้าน le vestiaire เมื่อเช้านี้พร้อมได้รับสายจากคุณป้าที่นัดช่างแต่งหน้ามาให้ฉันพร้อมจองโรงแรมเดียวกับสถานที่จัดงานไว้เสร็จสรรพ พี่เอิร์ธบอกจะมารับประมาณเที่ยงตรงแต่ไม่มาสักที เวลาล่วงมาเกือบสามสิบนาทีแล้ว
“ทำอะไรอยู่เนี่ย” ฉันนั่งเล่นสมาร์ตโฟนก็แล้ว ดูหนังฆ่าเวลาก็แล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเลย จนฉันต้องทักไปหาอีกรอบ แต่เขากลับส่งสติกเกอร์ขอโทษมาให้พร้อมบอกให้เดินทางไปเองได้ไหม ก็เลยไม่เสียเวลาจึงรีบออกจากคอนโดและโบกแท็กซี่เพื่อจะไปโรงแรมที่เป็นอีกหนึ่งในกิจการเครือตระกูลอัศวรวรา เมื่อมาถึงก็เกือบบ่ายสองโมง จึงเข้าไปสอบถามกับพนักงานส่วนหน้า
“คุณชลธิภาจองห้องไว้ค่ะ”
“อ๋อคงเป็นคุณมูนใช่มั้ยคะ เป็นห้องSuit ชั้นสิบห้านะคะ”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันได้รับคีย์การ์ดแล้วตรงดิ่งไปยังลิฟต์ เสียงสั่นเตือนของเครื่องมือสื่อสารพลันหยิบขึ้นมาดูปรากฏว่าเป็นสายจากป้าภาจึงรีบรับสายทันที
“มาถึงรึยังจ๊ะ พี่เอิร์ธต้องไปรับหนูเฟิร์นก็เลยไม่ได้ไปรับน้อง ถ้าแม่รู้แต่แรกคงให้น้าเชิดไปรับน้องแล้วล่ะ” ท่านบ่นถึงลูกชายคล้ายไม่พอใจกับเรื่องสุดวิสัยที่ฉุกละหุก ฉันจึงตอบเสียงเรียบไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
“ไม่เห็นเป็นไรเลยค่ะ ตอนนี้มูนมาถึงแล้ว เดี๋ยวจะรีบไปแต่งหน้าทำผม แค่นี้ก่อนนะคะ”
“งั้นแม่ไม่กวนแล้วล่ะ ตามาร์สถามถึงด้วยถ้าเสร็จแล้วลงมาเลยนะลูก”
“ค่ะคุณป้า” เมื่อดูเลขห้องและคีย์การ์ดจึงสแกนเข้าไป พบว่าช่างแต่งหน้าทำผมมารอฉันนานแล้ว จึงกล่าวขอโทษอย่างคนรู้สึกที่มาช้าพลอยทำให้พวกเขาเดือดร้อนไปด้วย แต่พี่ ๆ ก็ไม่ติดใจเอาความใด ๆ เห็นว่าคุณป้าให้ค่าตอบแทนเป็นจำนวนมาก
“เสร็จแล้วจ้ะคุณมูน สวยมากเลยว่ามั้ยซ่าร่า”
“เบ้าหน้าคุณเค้าดีค่า”
“เป็นเพราะพี่ ๆ มากกว่าค่ะ” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อมีคนเยินยอจนทำตัวไม่ถูก ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงตรงหน้าคือฉัน เธอเหมือนซินเดอเรลล่าในเทพนิยาย ด้วยชุดราตรีสีชมพู ผ้าซาตินที่เรียบลื่นดีไซน์เปิดไหล่ปิดต้นแขนคาดเอวด้วยโบเล็ก ๆ ตรงกลางเพื่อให้กระชับให้เข้ากับลำตัว กระโปรงทรงเอ สวมใส่สร้อยเพชรสีเงิน กำไลเงิน ตุ้มหู และรองเท้าส้นเข็ม ส่วนทรงผมรวบมวยต่ำและปล่อยไรผมทั้งสองข้างคลอเคลียแก้มใสที่แต่งเติมโทนหวานยิ่งทำให้ใบหน้าเปล่งปลั่ง
“ขอบคุณนะคะ” ฉันค่อมศีรษะเพื่อเอ่ยขอบคุณที่สรรค์สร้างความดูดีบนร่างกาย พี่ช่างแต่งหน้าออกไปหลายนาทีแล้ว แต่ฉันยังคงเหม่อลอยไปทางกระจกใสเพื่อมองวิวทิวทัศน์ ทำใจเพื่อไปยังงานเลี้ยงวันเกิดอีกครั้งของผู้มีบุญคุณและผู้ที่ให้ความรักตลอดมา
เมื่อมาถึงก็เดินเข้าไปหาคุณลุงชยุต คุณป้าชลธิภาและมาร์ส ท่านทั้งสองเห็นชะเง้อมองไปมาจึงบอกว่าพี่เอิร์ธยังมาไม่ถึงงาน มีคนเข้ามาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบด้วยใบหน้ายิ้มแต่ปากแต่สายตากลับมองศีรษะจรดปลายเท้า ยิ่งทำให้ฉันอึดอัด คุณป้าเห็นว่ากำลังจะเริ่มงาน จึงไล่ให้ไปหาอะไรทานรองท้องกับมาร์ส ลูกชายคนเล็กของทั้งคู่
ภายในงานเลี้ยงวันเกิด จัดแบบงานค็อกเทลและรับรองโดยห้องที่จุคนไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบคน ส่วนมากจะเป็นเพื่อนสนิท และหุ้นส่วนของคุณลุงคุณป้า บรรยากาศเริ่มครึกครื้นผู้คนทยอยเข้างานและต่างแวะเวียนทักทายกันอย่างคนคุ้นเคย อีกนัยหนึ่งงานเลี้ยงน่าจะเพื่อพูดคุยเรื่องงานและหาโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ การตกแต่งด้วยโคมไฟระย้าแวววาวดูหรูหรา เว้นพื้นที่ไว้พบปะกัน ส่วนด้านข้างทั้งสองฝั่งมีโต๊ะอาหาร เครื่องดื่มที่หลากหลาย ผู้คนแต่งกายดูดี นี่สินะสังคมชนชั้นสูง
“เอาล่ะครับวันนี้ก็เป็นงานวันเกิดของคุณชลธิภา และนอกจากนี้ยังมีการประมูลภาพเพื่อนำเงินไปบริจาคให้มูลนิธิเด็กกำพร้าและคนยากไร้ ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล มาร่วมดื่มด่ำกับบรรยากาศที่แสนวิเศษกันอีกครั้งนะครับผม” เสียงพิธีกรบนเวทีเล็ก ๆ ที่กล่าวคำแนะนำอย่างเป็นทางการ และปล่อยให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างเข้าไปอวยพรให้แก่เจ้าของวันเกิดอย่างอบอุ่น ฉันเพิ่งแยกจากคุณลุงคุณป้าไม่เกินห้านาที จูงมือมาร์สมายังโซนอาหารที่มีของว่างให้กินเยอะแยะ
“มูน ผมอยากกินเปาะเปี๊ยะกุ้งคับ” เด็กชายแต่งตัวสูทสีดำอย่างเรียบหรูกำลังยืนข้างฉันและชี้อยากกินนั่น อยากกินชิ้นนี้พร้อมทั้งให้ฉันป้อนจนฉันแอบบีบแก้มเล็กๆ ใบหน้าจิ้มลิ้มโตมาต้องหล่อเหมือนพี่ชายเขาแน่
“มาร์สไม่อยากไปหาคุณลุงคุณป้าเหรอ ไม่เบื่อหรือไงที่มาอยู่กับมูน”
“อยู่กับพ่อกับแม่น่าเบื่อกว่าอีก เฮ้อ วันนี้มูนสวยมากมาร์สกลัวผู้ชายมาจีบมูน” เด็กน้อยเป็นน้องชายที่ห่างกับพี่เอิร์ธกว่ายี่สิบปีกำลังเคี้ยวอาหารกรุบกริบแต่ไม่วายส่งสายตาเหมือนจงอางหวงไข่ให้ใครที่พยายามจะเข้ามาคุยกับฉัน มาร์สติดฉันแจและบอกว่าโตขึ้นจะแต่งงานกับฉัน เพราะฉะนั้นสรรพนามที่เรียกจึงต้องแทนกันอย่างคนสนิทสนม
“มูนตัวจะลอยแล้ว”
“ก็มันจริง โอ้! เหมือนมาร์สจะเจอเกรซเพื่อนร่วมชั้นนะ” เมื่อเห็นเพื่อนผู้หญิงแต่งตัวน่ารักก็วางอาหารเช็ดปากที่เลอะอย่างลวก ๆ ฉันจึงหยิบที่ทิชชูที่พกมาก้มลงไปเช็ดให้เรียบร้อย
“ขอบคุณคับ เดี๋ยวมาร์สมานะ” พูดจบก็ตรงดิ่งก้าวไปหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งตัวน่ารักด้วยชุดเดรสกระโปรงฟูฟ่อง ช่างเป็นภาพที่น่ารักจนฉันหลุดยิ้ม ไหนว่าหวงมูนไงเจอเพื่อนหน่อยหายไปซะแล้ว เด็กหนอเด็ก
ระหว่างที่พิธีกรกำลังจะเริ่มเปิดงาน ปรากฏว่าทุกสายตากำลังให้ความสำคัญกับบุคคลที่มาใหม่ทั้งสาม ที่เดินเคียงคู่อย่างคนที่ดูยังไงก็เหมาะสมทั้งหน้าตา ฐานะ และทุกองค์ประกอบ
เขาใส่เสื้อชุดทักสิโด้และเซตผมแสกข้าง ดูดีออร่าเหมือนคุณชายที่สูงศักดิ์ของราชวงศ์ชั้นสูง ส่วนผู้หญิงข้างกายเธอสวมชุดสีน้ำเงินเนื้อผ้ากำมะหยี่ผ่าหน้าขาเรียวเข้ารูป ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพตอนนี้เธอคงเหมือนนางพญาที่โดดเด่นและเป็นที่น่าสนใจต่อผู้คนโดยรอบไม่มีคนคัดค้านสายตา และบุคคลสุดท้ายคุณหญิงธาริณี พี่สาวแท้ ๆ ของป้าภา
“...” ฉันมองตามจนพวกเขาเข้าไปหยุดตรงกลุ่มใหญ่ของเจ้าของงานวันเกิด และดูพูดคุยอย่างมีความสุข ฉันมองหามาร์สก็พบว่าเดินเข้าไปทักทายพี่ชายนิ่ง ๆ อย่างผู้ใหญ่ที่คุยกัน ไม่รู้กำลังพูดอะไรกัน แต่เหมือนว่ามาร์สจะพยักพเยิดมาทางนี้
“...” พี่เอิร์ธจึงเคลื่อนสายตามาสบเข้ากับฉันพอดิบพอดี เรายืนจ้องหน้ากันและกันประมาณสิบวินาทีก่อนจะตีคิ้วส่งให้กัน เขายกยิ้มมุมปากและก้มลงกระซิบข้างใบหูของน้องชาย ระยะห่างของเราคือประมาณสิบเมตร แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันห่างไกลกัน
ฉันไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป หันกลับมามองอาหารที่ละลานตา ก่อนจะหยิบจานจากฟากหนึ่งและคีบซาลาเปา แซนด์วิชไก่อบ คานาเป้กุ้งใส่ลงบนจานและทานอย่างสบายใจ โดยไม่รับรู้ว่ามีสายตาหลายคู่เมียงมองอยู่ บางคนแสดงสีหน้าเหยียดหยาม ดูแคลนว่ามีคนตะกละอยู่ในงานหรูและมารู้ว่าเป็นเด็กที่คุณชลธิภารับมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก บางคนกระซิบกระซาบและหัวเราะเยาะเบา ๆ
“อิ่มมั้ยล่ะคงไม่ได้กินอะไรดี ๆ แบบนี้มานานสิท่า” น้ำเสียงดูแคลนที่คุ้นเคยเอ่ยทักอย่างโจ่งแจ้ง เป็นคุณหญิงธาริณีที่เดินมาคนเดียว ส่วนคนอื่นต่างก็มีแขกเข้ามาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะพี่เอิร์ธที่ยืนเคียงข้างแฟนของเขาไม่ห่างกันสักวินาทีเดียว
ฉันวางจานลงและยิ้มให้กว้างเพื่อแสดงออกว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดจิกกัดของผู้เป็นพี่สาวของผู้มีบุญคุณ ไม่ถือสาหาความเพราะอย่างไรท่านก็เป็นญาติ
“อร่อยดีนะคะคุณหญิง ทานมั้ยคะมูนจะได้ตักมาให้”
“ต๊าย ฉันคงไม่ให้เธอเป็นธุระให้หรอก กลัวจะไม่อิ่มน่ะ” ท่านพูดเสียงในลำคอพลางส่ายหน้าเอือมระอา ไม่หิวแล้วเดินมาทางนี้ทำไมกัน ฉันกะพริบตาปริบ ๆ เพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
“เธอดูสิ ตาเอิร์ธน่ะเหมาะสมกับหนูเฟิร์นแค่ไหน” ฉันเข้าใจแล้ว สิ่งที่ท่านกำลังพยายามเข้าหากับเด็กที่ไม่ชอบขี้หน้ามาตั้งแต่ฉันจำความได้ถึงได้กล้าเดินมาหาเหมือนกับเราสนิทสนมกันแบบนี้ ก็เรื่องหลานชายสุดที่รักกับแฟนสุดสวยและยังพ่วงตำแหน่งหลานสะใภ้ที่ท่านชื่นชอบอย่างออกหน้าออกตาและกีดกันจนฉันถึงบางอ้อ
“รักษาระยะห่างกันบ้างเถอะ เธอไม่ใช่น้องสาวจริง ๆ ของตาเอิร์ธสักหน่อย หัดเกรงใจหนูเฟิร์นซะบ้างนะ แม่ซินเดอเรลล่า” พอมันออกมาจากปากของหญิงวัยกลางคนที่แต่งกายดูดีและมีคนมากหน้าหลายตาให้ความเคารพนับหน้าถือตากับคนผู้นี้คำว่า ‘ซินเดอเรลล่า’ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าส่วนลึกของจิตใจมันสวนทางกับชาติตระกูลที่อยู่ในท้ายชื่อของคุณหญิงธาริณีโดยสิ้นเชิง นี่สินะเขาเรียกว่า ชาติตระกูลไม่ช่วยอะไร
“...”
“จริงสิ ในงานน่ะมีผู้ชายมากมายที่น่าสนใจอยู่มาก เธอก็เลือก ๆ มาสักคนสองคนเถอะนะ ถือว่าฉันขอ” คำพูดพวกนี้ฉันชินเสียแล้ว ได้ยินได้ฟังมาก็ตั้งแต่อายุราวสิบห้าปี หลังจากที่ท่านแวะมาเยี่ยมป้าภา เธอมองฉันราวกับเป็นคนนอกคอก จนฉันไม่สบายใจและห้ามทำตัวสนิทสนมกับป้าภาและพี่เอิร์ธเวลาที่ท่านแวะมา แล้วการระแวงฉันว่าจะไปจับพี่เอิร์ธหรืออ่อยหลานชายตัวเอง เป็นคำพูดตอนที่ฉันอายุสิบหกปี และยังไม่ประสีประสา ไม่ค่อยเข้าใจว่าความหมายมันคืออะไร แต่ไม่นานก็ได้เข้าใจ คนบางคนต่อให้เราจะไม่ได้ทำอะไรให้ แต่เขาเกิดอคติตั้งแต่แรกเจอ การกระทำของเราก็ไม่มีความหมายเพราะเขาได้ตัดสินเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“มูนไม่ใช่ซินเดอเรลล่าซะหน่อยค่ะ” คล้อยหลังที่คุณหญิงจะเดินจากไป ฉันกลับเอ่ยออกไปและยิ้มมุมปากอย่างคนตรงไปตรงมา
“เอ๊ะ! นี่เธอ”
“มูนเป็นคนธรรมดาที่อยากเคียงคู่กับเจ้าชาย ไม่ได้เหรอคะคุณป้า” ฉันพูดจบก็เดินมุ่งตรงไปหาป้าภาและกระซิบข้างใบหูเพื่ออวยพรวันเกิดเหมือนทุกปีและเอ่ยขอตัวกลับก่อนเพราะตอนนี้ฉันเกิดอาการไม่สบายคล้ายจะเป็นไข้ ไม่ใช่ไข้หวัดหรอก แต่เป็นไข้ใจน่ะ ป้าภาตกใจในคราแรกแต่ก็ยอมให้กลับก่อน แต่ท่านบอกพี่เอิร์ธให้ไปส่งฉันที่คอนโดแล้วค่อยกลับมาที่งานใหม่