Chapter 4
“มีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาพูดระหว่างที่ขับรถมาส่งฉันที่คอนโด ใกล้แค่นี้เองก็ยังอยากมาส่งฉันพยายามหาทางหนีทีไล่ก็ได้รับเพียงนัยน์ตาเย็นชาจากเขา ปกติเขาจะเป็นคนทะเล้น กวนประสาทบ้างเวลาอยู่ด้วยกัน แต่บางทีก็มักจะมีโหมดหวงน้องสาวเกินความจำเป็นอย่างเช่นตอนนี้ ไม่ใช่ว่าแอบกลั่นแกล้งให้ทำสัญญาทาสอยู่หรอกนะ
“โธ่ก็มูนบอกไปแล้วว่าเขาน่ะชอบแกล้ง ไม่ใช่แฟนสักหน่อยแล้วเขาก็ไม่ได้ชอบมูน สาบานเลยเอ้า” ฉันพูดอย่างคนจริงจังแต่มือซ้ายแอบไขว้นิ้ว ความจริงเราเคยคุยกันนิดหน่อยจนเกิดเรื่องไม่คาดคิดสุดท้ายก็เลยเป็นเพียงเพื่อนต่างเพศต่างอายุที่สนิทกันก็เท่านั้น
“เหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ดูก็รู้ว่าเขาไม่ได้ชอบมูน” ฉันรีบสำทับเพื่อตอกย้ำให้พี่เอิร์ธเชื่อในสิ่งที่เพิ่งบอกไปถึงแม้เปอร์เซ็นต์จะค่อนข้างต่ำก็ตาม
“คิดว่าพี่ดูไม่ออกเหรอ บอกความจริงมา” เขาเค้นเสียงเข้มระหว่างนั้นก็เลี้ยวเข้าสู่คอนโดหน้ามหาวิทยาลัยและขับไปจอดยังพื้นที่ส่วนลานจอดรถ
“ก็...เอ่อ” ฉันพยายามจะคิดหาข้ออ้าง แต่ก็ถูกสายตาคมเข้มตวัดสายตาใส่อย่างแรง
“บอก...ความ...จริงมา”
“ความจริงก็คือ...มูนแอบไปร้านเหล้าก็เลยเจอกัน”
“มูน!”
“พี่เอิร์ธเรื่องมันเมื่อสองปีที่แล้ว ตั้งแต่วันนั้น” ฉันเอ่ยเสียงแผ่วเบาและก้มหน้ามือกุมแน่นอย่างคนสำนึกผิด บรรยากาศภายในรถเงียบสงัดหลังจากที่ฉันพูดจบ ไม่นานก็รู้สึกถึงมือหนาสัมผัสที่ศีรษะเบา ๆ คล้ายเขาคลายอารมณ์คุกรุ่นไปจนหมดสิ้น ฉันจึงรีบปลดเบลล์และไหว้เขา ขณะที่กำลังจะเปิดประตูรถออกไปก็หันกลับมาสบตาเขา
“เขาจูบมูนด้วยนะ” ฉันเอ่ยจบก็รีบลงจากรถปิดประตูและวิ่งให้เร็วที่สุด มีเสียงพี่เอิร์ธลอดมาจากรถและตะโกนไล่หลังอย่างคนหัวเสีย
“ข้าวเหนียวมูน!” แค่ได้ยินคุณชายไอศูรย์ที่ร้อนรนใจกลับมีความสุขเหลือเกิน ฉันสแกนบัตรเข้าไปในคอนโดมิเนียม ระหว่างนั้นก็เดินฮัมเพลงอารมณ์ดีขึ้นลิฟต์อย่างสบายใจ ทีแรกกลัวว่าคุณเคจะพูดอะไรที่มากกว่านั้นแต่เขากลับไม่ปริปากพูดสักคำเดียว ช่างเป็นคนมีสัจจะจริง ๆ
เมื่อเข้ามาในห้องก็เปิดไฟสว่างโร่ กระโดดเข้าไปนอนบนโซฟา เปิดโทรทัศน์เป็นเพื่อน จากนั้นก็หยิบสมาร์ตโฟนในกระเป๋าสะพายข้างมาเลื่อนดูนั่นดูนี่ ฉันเข้าไปดูสตอรี่ของพี่เฟิร์นทันที
‘ก็เจ็บดี’ แคปชันพร้อมพื้นหลังสีดำอย่างคนเศร้าสร้อย ฉันดูจบก็พยายามไม่คิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง สมองกลับไม่ยอมลืมกับคำพูดของเธอ
‘อย่าพยายามเจอน้องสาวของเอิร์ธเลยถ้าเธอไม่ชอบ เอิร์ธก็จะเลิกเหมือนทุกครั้ง’ ประโยคนี้มันยังวนเวียนซ้ำ ๆ ฉันก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้หรอก อยู่ดีก็มีคนมากล่าวโทษกัน ทั้งที่ฉันไม่รู้ว่าได้ทำแบบที่เธอได้ยินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ คนเราก็แปลกดี ตัดสินคนง่ายเพียงเพราะได้ยินต่อ ๆ กันมา
“ถึงมันจะไม่จริง แต่มันก็มีเรื่องจริงในนั้นล่ะนะ” บางทีคนเราก็มักปิดบังความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่มากมาย จะได้ไม่สร้างความลำบากให้ตัวเอง
เขาเหมือนโลกทั้งใบที่สร้างชีวิตจนเป็นยัยมูนมาจนถึงวันนี้
การแสดงออกที่ร่าเริงสดใสมันคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันมีพลังบวกและเป็นตัวเอง แต่เมื่อไหร่ที่อยู่คนเดียวบางทีก็เหงานะ
“ความลับของหัวใจใครจะรู้ไม่ได้ แม้กระทั่งพี่” ฉันพึมพำคนเดียวอย่างคนเฉยเมยทั้งที่ในใจร้อนรุ่ม
“พึมพำอะไรคนเดียว” เสียงคุณชายแว่วมาจากทางประตูห้องคงเพราะอาการเหม่อลอยจึงทำไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู
“พี่เอิร์ธ เข้ามาได้ยังไง” ฉันรีบลุกและนั่งพิงพนัก เขาหย่อนตัวลงนั่งข้างกาย ส่วนฉันเขยิบหนีเพื่อรักษาระยะห่าง แต่ก็มีคนหน้ามึนขยับเข้ามาใกล้กันจนไม่มีที่ว่างให้ไปไหนอีกแล้ว ฉันลืมไปเขาก็มีคีย์การ์ดอีกหนึ่ง ตอนที่พาฉันมาทำสัญญาเช่าห้องพักตอนปีหนึ่ง
“ข้าวเหนียวมูนของพี่มีหนุ่มมาตามจีบด้วย”
“แล้ว?”
“ก็ไม่แล้วไงแต่พี่ข้องใจอะไรบางอย่าง” เขาเอนตัวพิงพนักและวาดมืออีกข้างไปข้างหลังฉันที่นั่งตัวเกร็ง
“มันจูบเราด้วย” เขาถอนหายใจคล้ายคนเหนื่อยล้า
“อือ แล้วไงคะ”
“พี่ไม่ชอบ เราจะมีแฟนได้ไงเพิ่งจะยี่สิบเอง”
“มูนมีตั้งแต่สิบสี่แล้วค่ะเผื่อพี่เอิร์ธไม่รู้ ส่วนพี่ก็มีตั้งแต่อายุ อืม...สิบเอ็ดปีป้าภาว่างั้นนะ” ฉันขมวดคิ้วที่พยายามนึกถึงคำพูดของแม่เขา
“จุ๊บเฉย ๆ” ฉันแก้ตัว ส่วนพี่เอิร์ธแค่นหัวเราะ “เหอะ”
“อาการหวงน้องสาวกำเริบเหรอคะ คุณพี่ชาย” ฉันเย้าแหย่เล่น ๆ แต่เมื่อได้รับเสียงเออออก็รีบหันกลับไปมองทันที พบว่าพี่เอิร์ธหลับตาสนิทเหมือนคนอยากพักผ่อน สักพักลมหายใจก็สม่ำเสมอฉันจึงเข้าไปหยิบผ้าห่มบาง ๆ มาห่มให้เขาก่อนจะเข้าไปในห้องเพื่อจะอาบน้ำและเข้านอน
“ฝันดีนะคะคุณพี่ชาย” เป็นคืนที่นอนหลับฝันดีมาก คงเพราะฉันมีเพื่อนอยู่ร่วมห้องทั้งที่นอนคนละที่ก็เถอะ มันเป็นหนึ่งวันที่มีเรื่องราวจนฉันต้องปล่อยความคิดในหัวที่ตีกันวุ่นวาย ให้มลายหายไประหว่างเข้าสู่ห้วงนิทรา
วันต่อมา
ฉันตื่นเช้ากว่าทุกวันประมาณเจ็ดโมงเช้าเพื่อจะออกมาดูพี่เอิร์ธที่นอนอยู่บนโซฟาแต่เมื่อเดินออกมาก็ไม่เห็นเขาแล้ว คงจะออกไปแล้ว มีเพียงผ้าห่มที่พับไว้อย่างเรียบร้อยและโพสต์อิตที่แปะบนโต๊ะกลางโซฟา
‘พี่ไปละ รักษาตัวด้วย แล้วถ้ามีแฟนต้องพามาแนะนำกับพี่เข้าใจไหมหึ ข้าวเหนียวมูน’
“เหอะ ใครจะบอกพี่กันเล่า” ฉันทำปากขมุบขมิบเมื่ออ่านจบ ในเมื่อเขาไปแล้วฉันก็ต้องกลับไปนอนสิ ตื่นเช้ามาทำอะไรเล่ายัยมูน
“เฮ้อ ง่วงนอนจัง” เพราะวันนี้วันอาทิตย์และเป็นวันหยุดอีกหนึ่งวันเช่นกัน อีกสองสัปดาห์ก็ใกล้จะสอบไฟนอลฉันเลยต้องเริ่มจัดตารางอ่านหนังสือ แต่ค่อยทำก็แล้วกันนาทีนี้ต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ
‘พี่จะยังไม่มีแฟน ถ้าข้าวเหนียวมูนยังไม่เจอใคร’ นั่นคือข้อความจากพี่เอิร์ธที่ส่งมาให้ในระหว่างที่ฉันนอนงีบในช่วงเช้าของวันอาทิตย์
สามสัปดาห์ต่อมา
ฉันสอบเสร็จแล้ว และค่อนข้างพอใจกับการสอบในครั้งนี้ด้วย เอาล่ะมันเป็นช่วงสี่ปีที่มีความหมายถึงแม้จะไม่มีแฟนก็เถอะ ชีวิตสี่ปีช่างแห้งเหี่ยวเหลือเกิน ฉันมานั่งกินชีสเค้กกับน้ำผลไม้ปั่นข้าง ๆ ตึกวิศวะฯที่เปิดเป็นร้านคาเฟ่น่ารักกับยัยเพื่อนทั้งสองคน การแต่งตัวโทนสีขาวและมินิมอลมีโต๊ะให้นั่งห้าถึงหกโต๊ะ สามารถมองเห็นภายนอกกรุกระจกใส บรรยากาศผ่อนคลายเพียงแค่เปิดเพลงคลอและแอร์เย็น ๆ แค่นี้ก็ฟินจนหน้าชื่นแล้ว
“พูดก็พูดเถอะ ทำไมแกน่ารักขนาดนี้ถึงไม่มีแฟนวะ” ยัยขวัญเอ่ยถามคำถามนี้รอบที่ร้อยแล้วมั้ง ไม่ใช่ว่าไม่อยากมีหรอกแต่มันไม่เจอใครที่ทำให้หัวใจเต้นแรงเหมือนผู้ชายจีนแผ่นดินใหญ่คนนั้นไง หรือฉันมโนมากเกินไปถึงทำให้ตัวเองโสด
“หรือว่าแกแอบชอบพี่ชายตัวเอง”
“จะบ้าเหรอ!” ฉันอ้าปากค้างและทำหน้าราวกับมันเป็นเรื่องไร้สาระ เขาเป็นพี่ชายที่เลี้ยงดูฉันมานะถึงหลายปีให้หลังจะหมางเมินกันไปแต่ก็ยังถือว่ามีบุญคุณ จะไปคิดแบบนั้นได้ยังไง หรือว่าได้นะ?
“แหม ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ พูดเสียงสูงเชียวนะแก” ยัยขนมจีนหัวเราะและมองสายตาจับผิด “อันที่จริงมันก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอที่จะชอบพี่เอิร์ธ เขาทั้งหล่อ นิสัยดี หวงและดูแลแกดีจะตาย”
“...” มันก็จริงนะที่เธอพูดมา แต่เราผูกพันกันมาตั้งแต่เด็กความรู้สึกมันจะเปลี่ยนไปได้เหรอ ไม่รู้แหละแค่คิดก็เป็นไปไม่ได้แต่ก็แอบเงี่ยหูฟังที่พวกเธอสองคนพยายามกล่อมฉันให้คล้อยตามอย่างไรอย่างนั้น
“ใช่ แกคิดดูสิ เขาใส่ใจแกดีจะตายแล้วคืนนั้นยังทักมาถามพวกฉันว่าแกอยู่ตรงไหน ร้านอะไรห่วงใยเวอร์ ๆ อะ”
“มันก็เป็นเรื่องปกติของพี่ชายไม่ใช่เหรอวะ” ฉันดูดน้ำแตงโมปั่นแล้วหลุบตามองชีสเค้กบลูเบอร์รี่แสนอร่อย ที่เหลือเพียงหนึ่งในสี่ส่วน ไม่รับรู้ว่าสายตาสองคู่สบตากันอย่างรู้ใจ
“เหอะ เรื่องปกติเหรอวะ พี่ชายฉันไม่เห็นสนใจมาตามเลยเวลาที่ไปไหน” ยัยขวัญส่ายหน้าปฏิเสธทันทีราวกับระอาพี่เข้มพี่ชายเธอ ส่วนยัยขนมจีนได้แต่หัวเราะเสียงใส
“ไม่รู้สิ เราสองคนเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว” ฉันอมยิ้มและเหลือบตามองเพื่อนทั้งสองที่นั่งตรงข้าม พวกเธอได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ อย่างคนเข้าใจ
“ยัยมูนเรื่องแบบนี้แกก็หัดสังเกตซะบ้างนะ คนนอกยังรู้เลย” ยัยขนมจีนไม่วายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง สังเกตอย่างนั้นเหรอ กับพี่เอิร์ธเนี่ยนะ!
“มันไม่มีเรื่องผิดหรอกถ้าทั้งสองใจตรงกันแล้วแกก็ไม่ได้ไปแย่งเขาจากใคร” ตามด้วยยัยขวัญที่พูดสำทับ ฉันได้แต่พยักหน้า
“อืม”
“ต้องแบบนี้สิเพื่อนฉัน จะได้มีแฟนสักที”
“ไม่ใช่ว่าแกเบื่อฉันและไล่ให้ฉันหาแฟนหรอกเหรอ ไอ้พวกนี้หนิ” ฉันพูดเสียงค่อนขอดและใช้ช้อนส้อมจิ้มชีสเค้กของพวกเธอที่ยังไม่ยอมแตะสักคำตั้งแต่ที่เข้ามานั่งเมื่อสามสิบนาทีก่อนหน้านี้
“ยัยตะกละ”
“โธ่ แกกินขนมเค้กแสนอร่อยของฉัน” เสียงโอดครวญของทั้งสองทำฉันอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด เรานั่งจ้วงชีสเค้กอย่างเพลิดเพลิน ฉันจึงนึกขึ้นมาได้เกี่ยวกับการฝึกงานในกี่ไม่กี่วันข้างหน้านี้ เป็นต้นเดือนมกราคมปีหน้า
“พวกแกเตรียมตัวยังใกล้จะได้ฝึกงานแล้วนะ”
“อืม จะต้องได้แยกพวกแกแล้วอ่ะ คิดถึงแย่เลย” ยัยขวัญทำหน้าหงอยราวกับสูญเสียอะไรบางอย่าง ฉันกับขนมจีนหัวเราะเยาะเธอ ก็ใครมันไม่ยอมมาฝึกกับพวกฉันล่ะ ฉันกับยัยขนมจีนฝึกงานที่สนามบิน ในสายการบินเดียวกับพี่เอิร์ธนั่นแหละ ส่วนยัยขวัญเลือกที่จะไปฝึกที่เชียงใหม่กับบริษัททัวร์คนเดียว
“ค่อยคอลหากันก็ได้มั้ย ทำเหมือนห่างไกลกันเหมือนอยู่คนละประเทศ” ยัยขนมจีนเอ่ยแซวเมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าเศร้า ฉันก็ได้แต่ยื่นมือไปลูบหัวเธอเบาๆ
“เสียใจด้วยนะเพื่อน” ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งปลอบใจกึ่งเยาะเย้ยนิด ๆ
“ยัยมูน!”
หลังจากที่แยกย้ายกันเรียบร้อยแล้วฉันก็เดินออกมาจากมหาวิทยาลัยเพื่อจะตรงดิ่งกลับคอนโด เมื่อข้ามถนนและจะเดินเข้าไปยังด้านในสายตาเหลือบไปเห็นรถที่คุ้นเคยจอดที่หน้าคอนโด ฉันปรี่เข้าไปเคาะกระจกเบา ๆ ไม่นานก็มีคนเปิดประตูออกมา
“น้องมูน!”
“คุณป้า!” เป็นป้าภาที่ลงมาจากลีมูนซีนและอ้าแขนกว้างให้ฉันสวมกอดอย่างเคย ฉันโผเข้ากอดในทันทีเพราะคิดถึงท่านมาก
“มาได้ยังไงคะเนี่ย” ฉันถาม
“ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว แม่จะพาไปที่ที่หนึ่ง แต่งตัวสวย ๆ ด้วยนะ” ฉันทำหน้างุนงงก่อนจะบอกให้ป้าภาขึ้นมาด้วยกันและให้น้าเชิดคนขับรถประจำเข้ามาจอดบนลานจอดรถของคอนโด
“งั้นมูนอาบน้ำแป๊บเดียวนะคะ”
“จ้ะ” ป้าภานั่งลงตรงโซฟา ส่วนฉันเปิดโทรทัศน์ให้ท่านดู จะได้ไม่เบื่อระหว่างรอฉันอาบน้ำ ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวเสร็จอย่างเร่งรีบใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีก็ออกไปข้างนอกด้วยการสวมชุดมินิเดรสเข้ารูปสีดำ รองเท้าส้นเตี้ยสีขาว และกระเป๋าเล็กสีเดียวกันกับรองเท้าแบรนด์ดังตัวซีไขว้กัน แต่งหน้าลุคสไตล์เกาหลีทาริมฝีปากแดงสดใส มักรวบผมหลวมๆและติดโบประดับบนผมดำสลวย
“มาแล้วค่ะ” ฉันเดินไปหยุดที่หน้าท่านอย่างคนกระฉับกระเฉงกลัวว่าผู้ใหญ่จะรอนาน มีเพียงสายตาที่อ่อนโยนมองใบหน้าชุดอย่างคนชื่นชม พร้อมทั้งเข้ามาจับมือฉันกุมแน่น
“น้องสวยมากลูก ปะไปกันป่านนี้พี่เขาคงรอแย่แล้ว” ป้าภากุมมือฉันและจับจูงเพื่อจะลงไปข้างล่าง ฉันงับประตูและเดินไปด้วยกัน เมื่อมาถึงชั้นล่างก็คุยกันพลาง ก่อนจะมีคนมาเปิดประตูรถเพื่อให้ขึ้นไปด้านใน
“เราจะไปตัดชุดสวย ๆ อีกสามวันก็วันเกิดแม่แล้ว” นั่นไงว่าแล้ว ฉันยุ่งจนลืมวันเกิดบุคคลสำคัญ ได้แต่ขอโทษขอโพยแต่ป้าภาก็ไม่ได้งอนแต่อย่างใด
“วันเกิดแม่ปีนี้น้องต้องมาให้ได้นะ ปีก่อนกลับไปโดยที่ไม่ยอมบอกแม่”
“ค่ะ” ฉันรับคำ
“เอ น้องรู้มั้ยว่าพี่เอิร์ธกำลังคบกับใครอยู่ เนี่ยพอแม่ถามก็ไม่ยอมตอบ บอกแค่ว่ายังไม่อยากคบใคร แต่เมื่อวันก่อนป้าณีกลับบอกว่าชอบพอลูกสาวคุณหญิงเกศรากับท่านนายพล”
“เรื่องนี้มูนก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” ฉันได้แต่ตอบแบบอ้อมแอ้มไม่กล้าฟันธงอะไรทั้งนั้นถ้าเป็นเรื่องของพี่เอิร์ธพี่ชายที่เอาแน่เอานอนไม่ได้
“แน่นะ ไม่ใช่ว่ากำลังปกปิดอะไรอยู่ใช่มั้ย ฮึ” ป้าภาหรี่ตาลงเพื่อสังเกตอากัปกิริยา ส่วนฉันได้ยืนยันเสียงแข็ง
“จริง ๆ นะคะ มูนน่ะเหรอจะโกหกคุณป้า ไม่มีจริง ๆ น้า” ฉันพูดเสียงทะเล้น จนป้าภายอมเชื่อ
“ป้าเชื่อก็ได้ ว่าแต่เราเถอะได้ข่าวว่ามีผู้ชายเข้ามาทักทายพี่เราบอกแม่แล้ว เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน ทำไมน้องไม่พามาแนะนำกับแม่”
“คุณเคน่ะเหรอคะ เป็นแค่เพื่อนค่ะ จริงๆ”
“นั่นก็ไม่ใช่นี่ก็ไม่โดน เราไม่อยากมีแฟนเหรอฮึ” คุณป้าเข้ามาตบที่หลังมือเบา ๆ ทั้งยังแอบจิ้มหน้าผากฉันไปหนึ่งที
“มูนยังไม่สนใจหรอกค่ะ มูนจะรอพี่เอิร์ธแต่งงานก่อนค่อยมีแฟน”
“แหนะ คงมีวันนั้นหรอกนะ”
“ต้องมีสิคะ” เราหลุดหัวเราะกันเสียงดังขณะที่รถกำลังเคลื่อนออกจากคอนโดเพื่อไปร้านตัดเสื้อผ้าอย่างทุกครั้งที่มีงาน ความจริงฉันก็มีนะชุดเดรสออกงาน แต่คุณป้าไม่ยอมบางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงได้เอาใจใส่ฉันมากขนาดนี้ ฉันได้รับความรักจนรู้สึกมีความสุขล้นปรี่ออกมาราวกับความฝัน แต่บางทีก็กลัวว่าทุกอย่างจะหายไปราวกับไม่มีอยู่จริง
การเดินทางกินเวลาราวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงร้านประจำของคุณป้า ชื่อว่าร้าน le vestiaire มาจากภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ตู้เสื้อผ้า คงจะเน้นถึงความเข้าถึงได้ง่ายแต่ก็ยังคงเรียบหรูเหมาะกับบรรยากาศภายในที่มีความสวยงามในการตกแต่งภายในร้านโทนสีขาว-ครีม น้าเชิดชะลอและจอดเลียบข้างถนนหน้าร้านตัดเสื้อผ้าในย่านเศรษฐกิจแห่งนี้
“ไปหาอะไรทานก่อนก็ได้นะเชิดอีกหนึ่งชั่วโมงค่อยวนรถมารับ” ป้าภาบอกน้าเชิดและพยักหน้าให้ฉันลงจากรถเพื่อจะทำธุระ
“ครับ คุณผู้หญิง”
ฉันและคุณป้ารีบลงจากรถลีมูซีน พลางเดินตามเข้าไปยังร้าน ไม่นานคุณแนนเจ้าของร้านจึงออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“โธ่ คุณภาคะ แนนกำลังจะไปส่งชุดราตรีที่สั่งตัดล่าสุดอยู่พอดี ทำไมคราวนี้ต้องมารับเองล่ะคะ” เธอนอบน้อมและผายมือให้มานั่งตรงโซนรับแขก ภายในร้านมีสองชั้น จะมีห้องลองชุดอยู่ชั้นสอง ส่วนชั้นแรกจะโชว์ผลงานหน้าร้านเพื่อดึงดูดลูกค้าหน้าร้าน พนักงานต่างกำลังยุ่งวุ่นวาย ทั้งจัดชุดใส่กล่องเพื่อจะจัดส่งให้ลูกค้าเจ้าประจำ และเตรียมเปลี่ยนชุดให้หุ่นลอง เมื่อมานั่งโซฟาฉันก็นั่งเงียบแต่กวาดตามองรอบ ๆ อย่างเพลิดเพลิน มากี่ครั้งก็มักจะดูนั่นดูนี่เสมอ
“ความจริงพาลูกสาวมาตัดชุดไปงานวันเกิดน่ะคุณแนน” ป้าภาบุ้ยปากมาทางฉัน คุณแนนมองตามและยิ้มสดใส
“แหม แนนเดาผิดซะที่ไหนปกติคุณมูนก็ชอบมากับคุณเอิร์ธเป็นประจำเกือบทุกปี งั้นแนนจะให้เด็กมาวัดตัวเลยนะคะ”
“ตามสบายเลยค่ะ” ป้าภาตอบตกลง พลันหันหน้ามาบอกฉันให้เดินตามพนักงานในร้านไปยังชั้นสอง ส่วนชุดแบบไหนป้าภาก็มักจะเป็นคนเลือกที่มันเหมาะสมกับฉันที่สุด ฉันชอบความใส่ใจและตามใจคุณป้าทุกครั้ง