Chapter 6
“เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ”
“...”
“หรืองอนที่พี่ไม่ได้ไปรับ”
“...”
“พี่ขอโทษนะครับ ข้าวเหนียวมูน”
“อี๋ ขนลุกอย่ามาพูดเสียงอ่อนเสียงหวานได้ปะ มูนไม่ชิน” เขาพยายามเอ่ยถามและแกล้งถามนั่นถามนี่ทั้งที่ก็พอจะเดาออก ขึ้นมาบนรถเข้าก็พูดจ้อไม่หยุดฉันที่ขี้เกียจคุยกับพี่เอิร์ธก็ฟังแต่ไม่ยอมตอบจนเขาใช้ไม้ตายทำเสียงอ่อนเสียงหวานแล้วยังพูดมีหางเสียงเหมือนตอนที่เราพูดกับผู้หญิงในคลังของเขาอีก
“ฮ่าๆ” เขากลั้วหัวเราะ
“แล้วคุยอะไรกับคุณป้าเมื่อกี้ พี่เห็นนะ”
“...” ฉันเงียบ
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร”
“มูนปวดหัวนิดหน่อยขอนอนพักสายตาแป๊บนะพี่เอิร์ธ ถึงแล้วปลุกด้วย”
“อาฮะ” เขารับปากทั้งยังเปิดเพลงคลอระหว่างขับรถในยามค่ำคืน รถติดตลอดสายไม่รู้ว่าจะถึงกี่คอนโดตอนไหน ฉันปิดเปลือกตาลงช้า ๆ สักพักกลับรู้สึกเย็นจนหนาวขยุกขยิกไม่สบายตัว ต่อมากลับอบอุ่นจนหลับสบายเพราะมีใครบางคนหยิบเสื้อแขนยาวบนเบาะหลังรถยื่นมาคลุมให้
“...”
ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลับมาฝันเรื่องราวเดิม ๆ ผุดขึ้นมาอีกในความทรงจำอีกครั้ง ในความฝันฉันเข้าไปในห้องของใครบางคน แต่กลับได้ยินเสียงร้องครวญครางไม่รู้ว่ากำลังเจ็บปวดหรือมีความสุขกันแน่ ทว่าเสียงที่ลอดเข้ามาในขณะที่ฉันเผลอหยุดยืนที่หน้าประตูที่ปิดไม่สนิท พร้อมกับถือก้อนเค้กที่จะมาเซอร์ไพรส์ต้องชะงักลง เมื่อเห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่ากำลังค่อมร่างบางและเคลื่อนไหวร่างกายราวกับควบขี่ม้าบนท้องหญ้าเขียวชอุ่ม
“มูน---ข้าวเหนียวมูน” เสียงที่หลุดออกจากปากเขากลับเป็นชื่อเรียกฉัน ไม่นะ!
“ไม่!” ฉันเด้งตัวขึ้นเพื่อหลุดจากความฝัน แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้ายเมื่อตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนในสภาพเหงื่อไหลลงตามแนวขมับทั้งสองข้าง แผ่นหลังเปียกชื้น ส่วนคนในฝันกำลังนั่งมองบนข้างเตียงระคนสงสัยว่าฉันเป็นอะไร พี่เอิร์ธเป็นคนอุ้มขึ้นมานอนบนเตียงโดยที่ฉันไม่รู้สึกตัว ไม่น่าเผลอหลับเลย
“ฝันร้ายเหรอ”
“อืม”
“ฝันว่าอะไร ทำไมถึงเรียกชื่อพี่” เขาพูดพลางจะใช้มือหนาอังหน้าผากแต่ฉันทำทีเขยิบรักษาระยะห่างและอิงหัวเตียงพลันส่ายหน้าเพื่อจะบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก
“ทำไม” มือเรียวค้างบนอากาศและแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ เขาเผยสีหน้าเยือกเย็นลง ก่อนจะยิ้มแค่น
“พี่ก็ทำตามสัญญาแล้วไง ทำไมต้องเหินห่างขนาดนี้ด้วย” เขาพูดเสียงตัดพ้อ
“มูนแค่ยังไม่ชินน่ะ”
“ไม่ชิน ทำไมถึงไม่ชิน” ใบหน้าที่จับจ้องด้วยความไม่เข้าใจและกำลังกดดันกลาย ๆ
“มันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”
“รู้มั้ย ทั้งหมดที่เราแสดงออกมันเฉยชาจนพี่ทำทุกวิถีทางให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนยิ่งทำก็ยิ่งไกลห่างไปทุกที”
“ใครกันแน่ที่เป็นคนเริ่ม”
“พี่ผิดเองที่ก้าวก่ายชีวิตของมูน พี่ขอโทษ” เขาพูดเสียงแผ่วเบา
“มูนผิดเอง”
“ทำไมเราต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยพี่ไม่เข้าใจ”
“ไม่รู้”
“งั้นจะทำยังไงต่อไป”
“ก็เป็นเหมือนเดิม” ฉันพูดหน้าตาย
“ทำไมต้องมารู้จักยัยเด็กดื้อคนนี้ด้วยนะ”
“หึ งั้นเราปิดเป็นความลับดีมั้ยคะ”
“เอ๊ะ” พี่เอิร์ธงงงวยแต่สีหน้าเริ่มพอใจ ฉันรู้น่าว่าเขาคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าตัดสินใจถูกไหม แต่ยอมรับว่าฉันหวั่นใจและใจเริ่มกลัว กลัวจะเสียเขาไปให้ใครคนอื่น ความลับระหว่างเรามันเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน ฉันและเขาเราต่างก้าวข้ามเส้นความสัมพันธ์อย่างงง ๆ เพียงเพราะฉันเผลอหลุดปากพูดจาแปลก ๆ เขาเองก็ค่อนข้างตกตะลึง
‘พี่เป็นเจ้าชายสูงศักดิ์หรือไง ทำไมต้องมีลำดับชั้นด้วย คุณหญิงก็คอยแต่จับผิดมูน ถ้ามูนชอบพี่เอิร์ธมันผิดด้วยเหรอ!’ ฉันบ่นคนเดียวหลังจากเดินโซซัดโซเซออกมาจากงานวันเกิดคุณป้า เดินถือรองเท้าส้นสูงและเปลือยเท้าเปล่าตะโกนเสียงดังลั่น ไม่มีใครได้ยินหรอกทว่าเสียงกล่องของขวัญหล่นมาจากด้านหลัง ฉันรีบหันขวับไปมองด้วยแววตาปรือของคนมีแอลกอฮอล์ในระดับหนึ่งจนใบหน้าแดงก่ำ
‘เราชอบพี่เหรอ’
‘พี่เอิร์ธ…’
ฉันรู้ว่ามันไม่สมควรที่รู้สึกแบบนั้นกับครอบครัวผู้มีพระคุณ ชอบพยายามถามตัวเองทุกครั้งว่า หรือเพราะเขาเอาใจใส่ดั่งน้องสาว ฉันหวงพี่เอิร์ธไม่อยากให้เขามีแฟน มีแค่ฉันคนเดียว เอาใจใส่ แกล้งกันเวลาที่เจอหน้า เป็นพี่ชายที่บางทีก็ชอบก่อกวน หรือบางครั้งเขาก็คอยปลอบใจเวลาฉันเศร้า บางทีเราอาจผูกพันมากกว่านั้น ฉันปัดความรู้สึกและแสดงออกเหมือนเคย ไม่ให้เขารู้สึกว่าฉันเปลี่ยนไป
ความจริงคงกำลังทำให้ฉันเผยความในใจให้เร็วขึ้น อย่างมีพี่เฟิร์นเข้ามาเดิมพัน ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับฉันตั้งแต่แรก แต่พอฉันไม่เห็นด้วยถึงความสัมพันธ์ดั่งคู่รักเพียงเพื่อไม่มั่นใจว่าเราจะไปกันรอด ไม่เคยมั่นใจแม้แต่น้อย เพราะพี่เอิร์ธอาจเป็นพี่ชายที่ดีถึงแม้จะห่างเหินไปบ้าง แต่การเป็นแฟนมันอาจมีรายละเอียดที่มากกว่านั้น
ฉันกลัวว่าความสัมพันธ์เฉกเช่นคู่รักมันจะไม่ยั่งยืนพอเหมือนกับเราในตอนนี้ จึงปฏิเสธความสัมพันธ์แบบนี้ เขาเข้าใจและยอมรับ และหายหน้าหายตาไปเกือบเดือน พอกลับมาก็ทำราวกับเรื่องก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรมาก่อน ยังชอบแกล้งและเป็นพี่ชายที่ดีเสมอมา
แต่ฉันรู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม
“ลองดูมั้ยคะ ลองเป็นแฟนกันถ้ามันไม่เวิร์คเราค่อยกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม” ฉันเอ่ยถามอย่างซื่อตรง เพราะความกล้าที่มีน้อยนิดหลังจากที่เห็นเขาเคียงคู่กับคนที่เหมาะสมกว่า และเจอคำพูดที่บั่นทอนความรู้สึกจากคุณหญิงธาริณี ฉันกลัวว่าจะเสียพี่เอิร์ธไปให้เธอต่างหากล่ะ
“อื้ม” เขายกยิ้มมุมปากอย่างคนอารมณ์ดี ในใจกลัวว่าถ้าเราสองคนไปไม่รอดจริง ๆ ฉันจะสามารถกลับไปเป็นพี่น้องกับเขาได้เหรอ ก็ยังไม่รู้หรอก แต่ไม่ลองก็ไม่รู้
เด็กที่ถูกทิ้งตั้งแต่เล็ก แค่ถูกคนให้ความสำคัญมาตั้งแต่จำความได้จะยึดติดแค่เขามันไม่ได้เชียวหรือ
“มาสิ” เขาอ้าแขนกว้างเพื่อรอฉัน ไม่รอช้าก็โน้มตัวโถมเข้าไปกอดเพื่อต้องการไออุ่นตลอดมา ความรู้สึกที่ถูกเติมเต็มมันดีอย่างนี้นี่เอง
จุ๊บ เขาหอมแก้มหนึ่งฟอดด้วยความเคยชิน “อะไรคบกันยังไม่ทันไรจะแต๊ะอั๋งแล้ว บอกเลยว่ามูนไม่ง่ายนะขอบอก”
“แก้มเรานุ่ม พี่ชอบ” เขาพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ขณะที่จะโน้มตัวเข้าหามองริมฝีปากบางอย่างเจ้าเล่ห์แต่ฉันจะยอมเหรอ ไม่มีทาง ฉันรีบผละจากอกแกร่งและลุกขึ้นเพื่อจะเตรียมไปอาบน้ำนอน เมื่อเห็นสายตาคล้ายหมาหงอยข้างหลัง
“...” ระหว่างที่คนบนเตียงเผลอไผลฉันก็รีบเข้าไปจุ๊บหน้าผากอย่างรวดเร็ว จนเขาชะงักค้าง ฉันรีบปิดประตูห้องนอนอย่างรวดเร็วกลัวว่าเขาจะตามมา
“อะไรอะ แอบแต๊ะอั๋งพี่เหรอเดี๋ยวจะโดน”
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป หลังจากที่เช็ดทำความสะอาดใบหน้า สระผม อาบน้ำชำระล้างร่างกายเรียบร้อยก็เดินออกมาพร้อมชุดคลุมอาบน้ำ ไม่พบเขาจึงชะเง้อคอหาอยู่สักพัก
“พี่อยู่ข้างนอก”
“จะกลับไปงานหรือเปล่าคะ” ฉันได้ยินคุณป้าบอกเขาว่า ให้มาส่งและรีบกลับเข้าในไปงาน
“...” เขาโคลงศีรษะเบา ๆ
“ไปอาบน้ำได้แล้ว เสื้อผ้าของพี่อยู่ในตู้เสื้อผ้าในห้องนอน” เขาทำตาโตและหรี่ตาลงอย่างคนจะเอ่ยแซวแต่ฉันไหวตัวทันและค่อนข้างหน้าหนาและหน้าทนมาก เรื่องพวกนี้ได้รับนิสัยมาจากเขาล้วน ๆ
“มูนมีเรื่องจะถามพี่เอิร์ธด้วย”
“ได้ครับ น้องหนูของพี่” ระหว่างที่เดินผ่านไม่วายขยิบตาส่งให้อย่างแพรวพราว มีเพียงมุม-ปากที่กระตุกขึ้นเล็กน้อย ฉันรู้สึกมีความสุขอย่างที่เคยมีมาก่อน คนมีความรักโลกทั้งใบก็มักจะสดใส
“มาแล้ว” เขากลับมาแทนที่จะใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแต่กลับใส่เพียงกางเกงผ้ายืดขายาวตัว-เดียว โชว์แผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างคนอวดเบ่ง ไม่เท่านั้นนะยังโชว์กล้ามแขนให้ดูเป็นขวัญตาอย่างไม่ลดละ จนฉันหลุดหัวเราะเขาพลอยหัวเราะตาม
“มานั่งนี่ค่ะ” ฉันตบลงโซฟาข้าง ๆ กัน พี่เอิร์ธยกมือปิดปากและสายตาล่อกแล่กไปมาอย่างกับคนกำลังดีใจอะไรบางอย่างเขาคงไม่ได้คิดอะไรลามกอยู่หรอกนะ ไม่ไว้ใจซะด้วยสิ
“ห้ามคิดเรื่องสิบแปดบวก”
“ข้าวเหนียวมูนของพี่อายุยี่สิบปีแล้วครับ”
“แล้วไงคะ”
“ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ชายหล่อเหลาอย่างพี่ที่จะมีอารมณ์ทางเพศที่ค่อนข้างสูงปรี๊ด” ฉันครางหึในลำคอ ลูกกระเดือกเคลื่อนลงอย่างช้า ๆ นัยน์ตาส่อกิริยาที่ไม่น่าไว้ใจ
“เราอยู่ด้วยกันมาตั้งนานไม่รู้จักได้ยังไงกันฮึ”
“...?”
“ผมนายไอศูรย์ อัศวรวรา ชื่อเล่นว่าเอิร์ธที่แปลว่าโลกกำลังตกหลุมรักใครบางคนอยู่”
“...”
“เธอชื่อ มูนที่แปลว่ามูน หรือข้าวเหนียวมูนซึ่งผมมีสิทธิ์เรียกคนเดียวเท่านั้น”
“หวงซะด้วย” ฉันยิ้มล้อเลียน
“อะแน่นอน”
“พูดต่อสิคะ มูนอยากฟัง”
“ผมจะไม่ให้สัญญาใด ๆ กับความรักครั้งนี้ แต่จะซื่อตรงและให้ความรักกับยัยเด็กแก้มกลมคนเดียว ข้าวเหนียวมูนของพี่ล่ะ”
“อื้อ มูนเชื่อพี่เอิร์ธ แต่เรื่องของเราห้ามบอกคุณป้าได้มั้ยคะ จนกว่าที่เราจะพร้อมทั้งสองฝ่าย”
“พี่แล้วแต่เรา” นั่นแหละคือความสัมพันธ์ของเราสองคน ฉันกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้ราวเที่ยงคืนฉันนั่งดูซีรีส์ฝรั่งแนวไฮสคูลอย่างสนุก ส่วนเขากลับหันหน้ามาทางนี้และเท้าคางจับจ้องไม่คลาดสายตาแม้เพียงวินาทีเดียว
“อ๊ะ” เสียงครวญครางที่กำลังดำเนินไปอย่างเร่าร้อน ทำฉันที่จ้องตาไม่กะพริบรู้สึกร้อนวูบวาบชอบกล ทั้งที่แต่ก่อนเคยดูสด ๆ มาแล้วก็เถอะ ไอ้อาการคอแห้งร้อนผ่าวนี่มันอะไรกัน ฉันกลืนน้ำลายหนึ่งเฮือกและรีบปิดหน้าจอแอลซีดีอย่างรวดเร็ว เมื่อหันมามองคนข้างกายที่ยิ้มกรุ้มกริ่มก็อยากกระชากลำตัวเขย่าถามว่าเป็นอะไรไปถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดเวลา
“พี่ขอถามหนึ่งอย่างได้ปะ”
“อื้อ ถามอะไรคะมูนง่วงนอนแล้ว” ฉันง่วงนอนและอยากพักผ่อนเต็มแก่ แต่ไอ้คำถามของเขานี่มันควรจะโดนหมอนฟาดสักทีสองทีแล้วมั้ง
“มูนเคยมีประสบการณ์เรื่องแบบนั้นกับใครที่พี่ไม่รู้หรือเปล่า”
“มีค่ะ”
“มีเหรอมันเป็นใคร” เขาพูดเสียงเหี้ยมนัยน์ตาลุกโชนราวกับจะไปฆ่าเขาคนนั้น เขาคิดได้ยังไงว่าฉันจะมีเรื่องกุ๊กกิ๊กแบบนั้น
“นอกจากคุณเคที่เผลอจุ๊บ ก็ไม่มีใครหรอกค่ะ”
“เหอะ”
“ไม่ต้องมาทำเสียงไม่พอใจเลยนะคะ ทีพี่เอิร์ธมีผู้หญิงในสต๊อกมูนยังไม่เคยว่าอะไรเลย”
“แหะ ๆ”
“งั้นมูนขอถามอะไรพี่อย่างสิ”
“พี่ชอบมูนตั้งแต่เมื่อไหร่”
“...” เขาไม่ตอบแต่ใบหูเริ่มแดงก่ำจนสังเกตได้ เขาก็มีมุมน่ารักอยู่นะเนี่ย “ตอนพี่ไปเคาะประตูเพื่อจะเรียกไปกินข้าวแล้วแอบเห็นเราแต่งตัวและเผลอทำผ้าหล่นน่ะ”
“หน็อย ทำไมลามกได้ขนาดนี้” ฉันกระแทกเสียงและเม้มปากสนิทช่างเป็นคนซื่อตรงกับความคิดความอ่านของตนเองเหลือเกิน
“มันเป็นเรื่องปกตินะ”
“ไปนอนก่อนละ”
“แล้วให้พี่นอนตรงไหน”
“โซฟาค่ะ”
“แต่พี่เป็นแฟนเรานะ”
“แฟนก็นอนข้างนอกค่ะ คะแนนติดลบละ”
“มากู๊ดไนท์คิสก่อนสิแล้วพี่จะได้หลับสนิท” ฉันหันกลับไปมองคนพูดหน้าตาย กดดันทางสายตาจนฉันเดินกลับเข้าไปหาและโน้มตัวไปหอมแก้มข้างขวาที่มันพองป่องอยู่ข้างเดียว
“กู๊ดไนท์ครับ”
“กู๊ดไนท์ค่ะ”
เป็นคืนที่ฝันหวานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน วันต่อมาฉันรีบตื่นและเพื่อจะออกไปข้างนอกดูพี่เอิร์ธข้างนอกกลัวว่าเรื่องเมื่อคืนจะเป็นเพียงความฝัน แต่เมื่อออกมาจึงเห็นว่าเขากำลังนอนหลับสบายใจ
ฉันไม่ได้ปลุกเขา แต่ตรงดิ่งไปยังโซนครัวเล็ก ๆ และทำมื้อเช้ากินอย่างเรียบง่าย แซนด์วิชใส่ทูน่าสลัดและชงกาแฟร้อน ๆ หนึ่งแก้ว ไม่นานเสียงทุ้มต่ำทักทายอย่างคนตื่นนอนเพราะได้กลิ่นอาหารเช้า
“อรุณสวัสดิ์ครับข้าวเหนียวมูน”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ไปล้างหน้าล้างตามาทานแซนด์วิชค่ะ มูนทำเผื่อให้พี่ด้วย”
“น่ารักจัง” เขาเหยียดแขนสุดตัวและลูบใบหน้าเพื่อไล่อาการเมื่อยล้าจากการนอนโซฟา ร่างสูงโปร่งเดินเข้าไปในห้องนอนและกลับมาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่เสื้อยืดสีดำกางเกงยีน เขาชอบแวะมานอนค้างบ้างตามโอกาสจึงพอมีชุดเขาอยู่ในตู้เสื้อผ้า
พี่เอิร์ธเดินเข้ามาทางฝั่งที่ฉันนั่ง ก่อนจะจุ๊บแก้มเบา ๆ หนึ่งที การแสดงออกของเขาทำให้เลิกคิ้วถาม
“พี่ชอบสกินชิพกับแฟน”
“แฟนที่คบไม่เกินหกเดือนอะนะ”
“...” เขาหัวเราะเล็กน้อย และหยิบแซนด์วิชที่เรียงอยู่บนจานขึ้นกัดหนึ่งคำ ทั้งยั้งส่งเสียงราวกับอร่อยมากเหลือเกิน รีแอคชั่นที่ดูเหมือนโอเวอร์แต่กลับทำให้คนทำให้รู้สึกอุ่นวาบเข้ามาในความรู้สึก
เวลาที่ฉันทำข้าวเหนียวมะม่วงที่เขาชอบกินประจำก็มักจะได้รับคำพูดขอบคุณและรอยยิ้ม
‘อื้ม อร่อยมาก’
“น้องหนูของพี่ทำอะไรก็อร่อย” ฉันเหลือบตามองคนกินท่าทางมีความสุขเคี้ยวตุ้ย ๆ และมีเศษขนมปังเลอะขอบปากจึงส่ายหน้าระคนเอ็นดูใช้นิ้วมือหัวแม่โป้งปาดเบาๆ แล้วเผลอแตะเข้าปากอย่างอัตโนมัติ เขาชะงักงันและตาเบิกกว้างก่อนจะอมยิ้มราวกับพึงพอใจ
“น่ารักจริงๆ ด้วย”
“...”
อย่างน้อยเราสองคนก็เปลี่ยนสถานะที่เป็นไปได้ด้วยดีล่ะนะ ฉันเหม่อมองตรงระเบียง ท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนกำลังเฉลิมฉลองและกล่าวยินดีกับความรักครั้งนี้ให้ผ่านไปได้ด้วยดี
ครืด ครืด ครืด
เสียงสมาร์ตโฟนที่วางบนโต๊ะกลางทำไมให้เราผละออกจากกัน ฉันเก็บจานและแก้วกาแฟที่เขากินเสร็จไปวางบนซิงค์เพื่อจะล้างแล้วคว่ำภาชนะให้เรียบร้อย แต่ใบหูได้ยินเขารับสาย
“ขอโทษจริงๆ นะ เฟิร์นว่างหรือเปล่า เอิร์ธมีเรื่องจะบอก”
“...”
“เรื่องสำคัญน่ะ”
“...”
“ครับ ไว้เจอกัน” ขณะที่วางสายฉันก็มาหยุดที่ด้านหน้าเขา และนั่งบนพื้นแนบหน้าลงบนตัก เอียงศีรษะเข้าหน้าท้องพลันช้อนดวงหน้ามองผู้ชายที่เพิ่งเลื่อนสถานะเป็นแฟนไปหมาด ๆ
“จะอ้อนอะไรหึ หรือหึงพี่”
“...”
“ไม่ตอบซะด้วย”
“ไม่หึงค่ะ มูนเป็นคนมีเหตุผล”
“เหรอ”
“อือฮึ”
“แล้วมานั่งแบบนี้พี่จะไปไหนได้” เขาแทรกนิ้วมือเข้ามาในกลุ่มผมเบา ๆ จนฉันเคลิบเคลิ้มอยากอยู่แบบนี้ไปนาน ๆ จัง
สุดท้ายเขาก็อยู่กับฉันเกือบทั้งวัน เพิ่งออกไปเมื่อครู่ คงไปสะสางปัญหากับพี่เฟิร์นล่ะมั้ง อย่างน้อยก็ถือว่าระหว่างเรายังไม่มีปัญหามากวนใจ ฉันยังเชื่อในตัวเขาหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เพราะเขาเพิ่งสารภาพนี่นาว่าเรื่องทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด
“ให้ตายสิ ต้องเตรียมเอกสารไปรายงานตัวฝึกงานนี่นา!” หลังจากนั้นฉันก็ต้องเตรียมนั่นเตรียมนี่จนไม่ได้คิดเรื่องของเขาอีกเลย เพราะสิ่งที่สำคัญตอนนี้คือเตรียมไปฝึกงานก่อนเรียนจบ