7
“ก็ดีเหมือนกันนะจ๊ะ แม่จะได้มีลูกมือ ทำอาหารเสร็จเร็วๆ” ยิ้มใสลอบผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ เธอรีบงับประตูปิดและตามมารดาลงไปที่ห้องครัวชั้นล่าง
ประโยคของสองแม่ลูกทำให้คนที่หลบอยู่ในห้องน้ำรีบแต่งเนื้อแต่งตัว ออกมาจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
อาหารเย็นในค่ำคืนนั้นเป็นไปอย่างอบอุ่น อบอวลไปด้วยความสุข อาจเพราะว่าทุกคนต่างยอมรับซึ่งกันและกันอย่างเงียบๆ
“เรายังไม่เล่าให้ฟังเลยว่ารู้จักกับหนูยิ้มได้ยังไงกัน” ธีรกรเอ่ยถามบุตรชาย
“ผมเคยช่วยหนูยิ้มเอาไว้จากพวกจิ๊กโก๋ติดยาน่ะครับ”
“ไม่เห็นธีร์เคยเล่าให้พ่อฟังเลย” นี่ถือเป็นความรู้ใหม่ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
“คุณธีร์คือคนที่ช่วยหนูยิ้มเอาไว้เหรอคะ” ยุวดีเอ่ยถาม
“ใช่ค่ะคุณแม่” ยิ้มใสเอ่ยตอบมารดาแทนธีรวัชร
“โลกกลมจังเลยนะคะ วันนั้นหนูยิ้มเล่าเรื่องของคุณธีร์ให้น้าฟังทุกวันเลย” ยุวดีไม่คิดว่าจะได้เจอผู้มีพระคุณของบุตรสาว เพราะในครั้งนั้นถ้าไม่ได้ธีรวัชรช่วยเหลือเอาไว้ เธอยังไม่รู้เลยว่าบุตรสาวจะเป็นเช่นไร
“เล่าว่ายังไงเหรอครับ”
“ชื่นชมค่ะ หนูยิ้มเข้าครัวทำอาหารไปฝากคุณธีร์ทุกวันเลย”
“ใช่ครับ หนูยิ้มทำอาหารอร่อยมากครับ”
“น้าขอโทษนะคะ วันนั้นขาแพลง รีบไปส่งขนมให้ร้านประจำ เลยไม่ได้ไปเยี่ยมคุณธีร์เลย”
“ไม่เป็นไรครับ ขนาดไม่ได้มาเยี่ยมยังทำอาหารอร่อย ๆ มาให้ผมเลยครับ ผมต้องขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับ”
“เราทานอาหารกันดีกว่า วันนี้ถือว่าวันดี ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา” ธีรกรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขารู้สึกยินดีที่ทุกคนต่างก็เข้ากันได้ดี มีน้ำใจไมตรีต่อกัน เคยช่วยเหลือกันมาก่อน
“อุ๊ย!” ยิ้มใสอุทานเมื่อรับประทานอาหารไปได้สักครู่ ธีรวัชรก็ใช้เท้าไล้เบาๆ ที่หลังเท้าของเธอ
“หนูเป็นอะไรจ๊ะ” ยุวดีเอ่ยถามบุตรสาว
“ปะ... เปล่าค่ะคุณแม่” ยิ้มใสรีบเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าแดงก่ำเมื่อเท้าของธีรวัชรไล้ อยู่ที่ขาของเธอ
เขาแค่ต้องการให้เธอเงยหน้ามองเขาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่หลบหน้าหลบตาเช่นนี้
“ย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้างหนูยิ้ม” ธีรกรเอ่ยถามลูกเลี้ยงสาว
“ดีค่ะคุณลุง”
“ช่วงนี้ปิดเทอมอยู่ เปิดเทอมเราก็จะได้ที่เรียนที่ใหม่แล้วนะ ตื่นเต้นหรือเปล่า”
“ตื่นเต้นค่ะ” เธอย้ายมาในปีการศึกษาสุดท้ายก่อนจะจบมัธยมศึกษาปีที่หก เป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้สึกตื่นเต้นเพราะที่นี่คือที่เรียนใหม่ เพื่อนใหม่ สถานที่แปลกใหม่ ที่สำคัญก็คือ ที่นี่คือกรุงเทพฯ เมืองใหญ่ที่แสนวุ่นวายแต่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย
“เรื่องที่เรียนไม่มีปัญหาอะไร แต่เรื่องการเดินทาง หนูยิ้มไม่เคยอยู่กรุงเทพฯ มาก่อน คงต้องพึ่งพี่ธีร์เขานะลูก พี่เขาจะพาหนูไปส่งที่โรงเรียนเอง”
“ค่ะคุณลุง” เธอรับคำ เพราะจะให้มารดาพาเธอไปส่งโรงเรียน ก็คงทำไม่ได้เพราะท่านก็ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุงมาก่อน ยิ่งจะให้เธอนั่งรถไปเองยิ่งแล้วใหญ่ เธอไม่รู้จักหนทางในเมืองใหญ่เอาเสียเลย คงอีกนานกว่าที่เธอจะสามารถนั่งรถราไปไหนมาไหนเองได้
“ตอนมัธยมพี่ธีร์เขาเรียนที่นี่ เขารู้จักถนนหนทางดี เราไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะหลง”
“ค่ะคุณลุง”
“ธีร์พ่อฝากน้องด้วยนะลูก ช่วยดูแลกันด้วย น้องไม่รู้จักถนนหนทาง ไปไหนไม่ถูกแน่นอน ต้องให้ธีร์พาไปทำความรู้จักกับกรุงเทพฯ สักพัก เดี๋ยวก็คงชิน” ธีรกรหันไปบอกลูกชาย
“ครับคุณพ่อ” ธีรวัชรรับคำอย่างไม่เกี่ยงงอน
“อาหารเย็นนี้อร่อยมากเลยคุณยุ ต่อไปเราสองคนพ่อลูกจะมีอาหารอร่อยๆ รับประทานทุกวัน” ธีรกรพูดด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มใสดีที่ยุวดีตกหลุมรักหลังจากที่บิดาของยิ้มใสจากโลกนี้ไป
เธอและธีรกรต่างตกหลุมรักกันและกันอย่างมิอาจหักห้ามใจ แค่แรกพบสบตาก็ตกอยู่ในห้วงภวังค์หวานอันแสนวาบหวามอุ่นซ่านในหัวใจ
“หนูยิ้มเป็นลูกมือน่ะค่ะ” ยุวดีเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มอ่อนหวานละมุนที่เจือไปด้วยความใจดี
ธีรวัชรเองก็ชอบรอยยิ้มของมารดาเลี้ยงไม่ต่างกัน
ในสายตาของธีรวัชรนั้น มารดาเลี้ยงดูท่าทางใจดี พูดจาไพเราะ อ่อนหวานน่ารัก ที่สำคัญก็คือสายตาที่ดูจริงใจไร้แววเสแสร้ง เขาโตพอที่จะดูคนออกว่าใครดีหรือไม่ดี แตกต่างจากผู้หญิงบางคนที่เข้าหากบิดาในอดีต ซึ่งดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ได้จริงใจ ซึ่งมีมากมายนับไม่ถ้วน
ใช่ว่าจะไม่มีคนดีอยู่เลย แต่เพราะบิดาไม่ได้สนใจอยากจะสานสัมพันธ์ด้วยเสียมากกว่า ซึ่งเขาก็เข้าใจท่าน ไม่ได้อยากให้ท่านต้องฝืนทนอยู่กับใครเพียงเพราะต้องการหาแม่ให้ลูก
“หนูยิ้มคงได้เคล็ดลับการทำอาหารจากคุณไปเยอะมากเลยนะคุณยุ เด็กเดี๋ยวนี้หายากที่จะทำอาหารได้อร่อยหรือชอบเข้าครัวแบบนี้ หนูยิ้มถือว่าใช้ได้เชียว” อาจเพราะธีรกรเป็นชายหนุ่มที่ยังชอบผู้หญิงเรียบร้อยอ่อนหวาน ทำอาหารเก่ง เขาจึงนิยมชมชอบสองแม่ลูกเป็นอันมาก แต่เขาก็ไม่ได้ด้อยค่าผู้หญิงทำงานเก่งนอกบ้าน แต่กลับทำอาหารไม่เก่งหรือไม่ชอบทำงานบ้าน เพราะใครชอบแบบไหนก็เลือกคนแบบนั้นมาอยู่ด้วย ก็แค่นั้นเอง เขาให้เกียรติและเคารพผู้อื่นเสมือนเคารพตนเอง
“สูตรเด็ดเคล็ดลับการทำอาหารมาจากคุณแม่ของยุน่ะค่ะ ซึ่งเป็นคุณยายของหนูยิ้ม ท่านพายุเข้าครัวตั้งแต่เด็ก”
“คุณถึงได้ทำอาหารอร่อยแบบนี้”
“ทำอาหารแล้วคนกินมีความสุข อร่อยกับอาหารที่เราทำ ที่สำคัญได้ทำอาหารดีมีประโยชน์ต่อคนกิน แค่นี้ก็เป็นสุขแล้วค่ะ” รอยยิ้มของยุวดีทำให้ธีรกรยิ้มตาม มีความสุขเสมอที่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้ หัวใจของเขาชุ่มชื่นเหลือประมาณ
“ปิดเทอมแบบนี้หนูยิ้มอยากทำกิจกรรมอะไรบ้าง บอกพี่ธีร์เขานะลูก พี่เขาจะได้พาไปทำโน่นทำนี่” ธีรกรเอ่ยถามลูกเลี้ยง เมื่อเห็นว่าทั้งสองสนิทสนมกันมาก่อนที่จะรู้จักกันด้วยซ้ำ
“หนูยิ้มยังไม่ได้คิดเลยค่ะ”
“แม่ของหนูบอกว่าหนูยิ้มว่ายน้ำไม่เป็น เพราะเคยจมน้ำใช่ไหม”
“ค่ะคุณลุง”
“ปิดเทอมนี้ไปเรียนว่ายน้ำดีไหมลูก ให้พี่เขาพาไปเรียน”
“เอ่อ... หนูยิ้มเกรงใจพี่ธีร์น่ะค่ะ” จริงๆ เธอกลัวการว่ายน้ำจึงไม่อยากลงน้ำนั่นเอง ตอนเด็กๆ เคยจมน้ำทำให้จำฝังใจ กลัวว่าตัวเองจะจมน้ำอีก
“ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอกครับ พี่ยินดี”
“ค่ะ” เธอรับคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ดีเหมือนกันนะ จะได้มีกิจกรรมทำ อีกอย่างถ้าเราว่ายน้ำไม่เป็น เกิดไปเที่ยวไหนขึ้นมา ตกน้ำตกท่าจะลำบาก การว่ายน้ำเป็นจึงเป็นสิ่งสำคัญมากนะ” ธีรวัชรให้เหตุผล เขาเห็นด้วยกับบิดาว่าควรให้ยิ้มใสไปหัดว่ายน้ำ
“เอ่อ...” ยิ้มใสอยากจะปฏิเสธ แต่ยุวดีผู้เป็นมารดาก็สนับสนุนด้วยเช่นกัน
“แม่ก็ว่าดีนะลูก”
“ค่ะคุณแม่” ในเมื่อทุกคนเห็นด้วยเธอจึงขัดใครไม่ได้อีก
“งั้นธีช่วยจัดการเรื่องเรียนว่ายน้ำของน้องด้วยนะลูก” คุณธีร์รกรหันไปบอกลูกชาย
“ครับคุณพ่อ” ธีรวัชรรับคำ มองหน้าสาวน้อยที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว เธอหลบวูบ ในขณะที่เขายกยิ้มมุมปาก
ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนหลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ข้อความในไลน์ของยิ้มใสก็ดังขึ้น เมื่อเธอเดินขึ้นมาถึงห้องนอน
เด็กสาวรีบเปิดข้อความอ่าน ก่อนจะหัวใจระทึกเมื่อข้อความนั้นมาจากธีรวัชร
-ตามสัญญามาหาพี่ที่ห้องเดี๋ยวนี้-
ยิ้มใสกัดริมฝีปากตัวเองแล้วเดินวนเวียนไปมาในห้องนอนเหมือนหนูติดจั่น
เธอจะไปหาธีรวัชรจริงๆ เหรอ นั่นคือคำถามที่เธอถามตัวเอง
-ถ้าไม่มาหาพี่ที่ห้อง พี่จะบุกเข้าไปที่ห้องของหนูยิ้มนะ-
ประโยคในไลน์ของเขาทำให้เธอมองประตูห้องนิ่ง เธอล็อกประตูก็สิ้นเรื่อง เขาบุกเข้ามาหาเธอไม่ได้หรอก
-พี่มีกุญแจห้องของเธอนะยิ้มใส อย่านึกว่าจะล็อกประตูห้อง แล้วจะหนีพี่พ้น-
ข้อความที่พิมพ์ตอบกลับมาเหมือนรู้ใจทำให้เธอกะพริบตาปริบๆ เธออ่านมันทุกประโยค ธีรวัชรเองก็รู้ เธอแค่ไม่ได้พิมพ์ตอบกลับไปเท่านั้น