7 เสือลำบาก
ซากบ้านถูกไฟเผาดำจนเป็นตอตะโกคือภาพหลอนกัดกร่อนความรู้สึกของพยัคฆ์จนแทบทนไม่ได้ เขารู้แต่เพียงว่าจะต้องหนีจากตรงนั้นไปให้ไกลที่สุด ทนเห็นสภาพบ้านไม่ได้อีกต่อไป เท้าคู่นั้นวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องดังๆ ราวกับคนเสียสติดังยาวติดต่อกันเป็นเวลานาน
น้ำตาอุ่นๆ ไหลออกมาอาบแก้มเป็นทางยาว เสียใจสุดขีดเมื่อรู้ถึงสาเหตุการตายที่แท้จริงของพ่อแม่ว่าถูกปล้นแล้วฆ่าและเผาบ้านซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย
นรกส่งพวกมันมาเกิดจริงๆ จิตใจทำไมชั่วร้ายไร้สิ้นความเป็นมนุษย์อย่างนี้ ปล้นฆ่าคนที่ไร้หนทางต่อสู้ก็เลวพอแล้ว ยังเผาบ้านให้วายวอดไปด้วยอีกแล้วนี่เขาจะเหลืออะไร พยัคฆ์ขบกรามแน่น โกรธ เกลียด เคียดแค้นโจรชั่ว หากรู้ว่าเป็นใครเขาจะตามไปล้างแค้นให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันทำ
เวลานี้เขาหมดสิ้นทุกสิ่ง ไม่มีพ่อแม่ไม่มีบ้าน หมดเนื้อหมดตัว เขาจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่ เจ็บปวดที่สุดในวันรับปริญญาที่ไร้ผู้ให้กำเนิด
ท่านบุญน้อยถูกพรากชีวิตก่อนที่จะเห็นวันแห่งความสำเร็จของลูกชาย หลังจากสู้ทนอดออมทำงานเก็บเงินส่งให้เขาได้เรียนหนังสือ
“บ้าเอ๊ย พวกมึงเป็นใครกูจะไปฆ่ามึง”
พยัคฆ์ตะโกนสุดเสียงหลังจากเท้าสะดุดกับรากไม้ ร่างใหญ่ล้มลงไปนอนคลุกฝุ่น ใบหน้าแนบพื้นดิน แต่เขาไม่ลุกยังคงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น มือข้างหนึ่งกำยอดหญ้าเอาไว้แน่นแล้วกระชากออกสุดแรงเป็นการระบายความแค้นที่สุมแน่นอก
ก้องวิ่งตามพยัคฆ์ด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าเขาล้มลงแล้วตะโกนอาฆาตพวกโจรชั่ว ได้แต่มองด้วยความเวทนาและนั่งลงไปจับมือเพื่อนเอาไว้แน่น
“ไม่เป็นไรพยัคฆ์ อย่างน้อยนายก็ยังมีเรา เราสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างนายตลอดไปไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม”
“ก้อง ก้อง เราไม่เหลือใครแล้ว ไม่เหลือเลยจริงๆ”
“เราเข้าใจความรู้สึกของนายว่าเวลานี้เป็นอย่างไร แต่อย่าท้อในเมื่อเราเป็นผู้ชายจะต้องสู้ อย่ายอมแพ้ต่อชะตาชีวิตเด็ดขาด”
“ตอนนี้เราไม่มีแรง สภาพจิตใจแย่มาก เราไม่ไหวแล้ว”
“นายต้องลุกขึ้นมาให้ได้ นี่เป็นแค่เพียงเริ่มต้นบททดสอบเท่านั้น ในอนาคตนายจะต้องเจออะไรอีกเยอะ หากว่ายอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ นายจะไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่เกียรติของความเป็นคน”
คำเตือนของเพื่อนรักคือแรงฮึดกระตุ้นให้ร่างใหญ่ค่อยลุกขึ้นยืน ดวงตากล้าแกร่งคู่นั้นโชนแสงวาบ น้ำตาที่เคยไหลอาบแก้มบัดนี้แห้งเหือดหายไป ก้องมองด้วยสายตาชื่นชม ตบมือลงบนบ่าแรงๆ เป็นการให้กำลังใจ พยัคฆ์ยังคงตรึงเท้านิ่งอยู่กับที่ ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกจากริมฝีปากคู่นั้น
“เก่งมากเพื่อน เราเชื่อว่านายจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต”
“ขอบใจมากก้องที่ช่วยเตือนสติและเป็นกำลังใจให้เรา”
“เราต้องการเห็นพยัคฆ์ผู้ไม่กลัวใครผงาดความยิ่งใหญ่ให้ผู้คนได้รู้จัก ต่อจากนี้ไปนายจะทำอย่างไรกับชีวิต เข้ากรุงเทพฯ หางานทำ หรือว่า”
“เราจะไปอยู่กับตายาย ท่านก็ไม่มีใคร ที่ดินหลายสิบไร่ปล่อยให้รกร้าง เราจะไปฟื้นฟูที่นั่น”
“พยัคฆ์ นายจะไปทำไร่”
“ใช่ เป็นชาวไร่ที่มีความรู้ทางด้านการเกษตรอย่างจริงจัง นายจะไปกับเราไหมหรือว่าจะกลับเข้ากรุงเทพฯ ไปทำงานตามที่คิดเอาไว้”
พยัคฆ์บอกจุดประสงค์ในการดำเนินชีวิตในอนาคตของตัวเองว่าจะไปอยู่กับตายายที่อำเภอหนึ่ง ยึดอาชีพทำไร่ทั้งที่เรียนจบปริญญาตรีและถามก้องว่าจะเอาอย่างไรกับอนาคต ก้องอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะจับมือพยัคฆ์เอาไว้แน่น
“เราเองก็ไม่มีใคร พ่อแม่แยกกันอยู่ ช่วยตัวเองตั้งแต่เด็ก เราเคยพูดกับนายว่าจะไม่ทิ้งแม้ว่าสุขหรือทุกข์”
“ก้อง หมายความว่านายจะไปทำไร่กับเราใช่ไหม”
“ใช่ เราไม่ทิ้งนาย อดด้วยกัน อิ่มด้วยกัน”
“ไอ้เพื่อนยาก เรา เรารักนาย”
พยัคฆ์โผกอดร่างบึกบึนของก้องเอาไว้แน่น น้ำตาแห่งความดีใจไหลออกมาเมื่อรู้ว่าในยามทุกข์ยาก ไร้สิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อนคนนี้ไม่ทิ้ง ยอมลำบากด้วยกัน ก้องเองก็อดที่จะปล่อยน้ำตาออกมาไม่ได้ ในชีวิตนี้ขอมีเพื่อนแท้ที่ชื่อพยัคฆ์เพียงคนเดียว ไม่ว่าเกิดเรื่องร้ายใดๆ เขาจะอยู่เคียงข้างและยื่นมือช่วยแก้ปัญหาแม้ว่าจะได้รับความลำบากแค่ไหนก็ตาม
ชายหญิงสูงวัยผมหงอกขาวในชุดดำนั่งเคียงคู่กันอยู่บนแคร่ใต้ร่มไม้หน้าบ้าน สายตาเศร้าๆ มองดูชายหนุ่มทั้งสองที่ก้มกราบที่ตัก ก่อนที่จะนั่งลงบนแคร่อีกตัวที่ตั้งใกล้ๆ กัน ไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากความเงียบครู่หนึ่งหญิงชราส่งเสียงร้องไห้ออกมาเบาๆ
“ยาย ร้องไห้ทำไมครับ”
“พยัคฆ์ ยายเสียใจที่นังม้วนกับไอ้อ่ำอายุสั้นก่อนที่จะเห็นเอ็งรับปริญญา”
“เพราะไอ้คนชั่วแท้ๆ ทำให้ลูกเรามาตายจากอย่างนี้ คิดแล้วแค้นจริงๆ”
“ตาสอนเอ๊ย กรรมของคนเรามันต่างกัน คิดเสียว่าชาติที่แล้วนังม้วนกับไอ้อ่ำมันเคยไปทำเขาเอาไว้ ชาตินี้ก็เลยเป็นอย่างนี้แหละ”