16 พี่เสืออย่า
ความรู้สึกดีๆ ที่เข้ามาเยือนในหัวใจสร้างความสุขให้มณีมากที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร ใบหน้าพยัคฆ์จะปรากฏให้เห็นตลอดเวลา ดวงตาคมๆ คู่นั้นแทบจะเผาไหม้หัวใจให้ละลาย รอยยิ้มหวานกับคำพูดเพราะๆ ประทับใจไม่รู้ลืม
อะไรไม่ร้ายเท่ากับการสัมผัสเนื้อตัวอย่างไม่จงใจ เรียกเลือดสาวในร่างกายให้วิ่งพล่าน แทบหยุดหายใจเสียเดี๋ยวนั้น
เธอได้แต่ถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่าความรัก ทุกครั้งที่นึกถึงเขาจะมีแต่ความสุขและเผลอยิ้มออกมา โดยไม่รู้ว่าเพชรรุ่งมองด้วยความสงสัย
“มณีเป็นอะไร ยิ้มคนเดียวบ่อยๆ หรือว่าบ้าไปแล้ว มณี!”
หญิงสาวเรียกชื่อด้วยเสียงดังๆ ซึ่งก็ทำให้มณีตกใจสะดุ้งสุดตัว ใจหายวาบ หันไปมองเพชรรุ่งด้วยใบหน้าซีดขาว
“พี่เพชร มีอะไรจ๊ะ เรียกฉันเสียดังจนตกใจหมดแล้ว”
“ขวัญอ่อนจริงนะแม่คุณ เป็นอะไร ฉันสังเกตเห็นว่าหมู่นี้ใจแกไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่”
“พี่รู้ได้ไง”
“รู้สิ เห็นยิ้มคนเดียวบ่อยๆ บ้าหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไร แค่คิดอะไรเพลินๆ เท่านั้นเอง”
“เหรอ คิดว่าสติเพี้ยนไป ฉันขอบอกเสียก่อนนะว่า อย่ายิ้มคนเดียวให้คนอื่นเห็น เดี๋ยวเขาจะเอาไปลือว่าลูกสาวกำนันพูนเป็นบ้า อายคนเปล่าๆ”
คำพูดของพี่สาวราวกับเข็มทิ่มแทงหัวใจให้เจ็บปวด มณีไม่เข้าใจว่าทำไมเพชรรุ่งถึงได้สรรหาคำพูดที่ทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจเสมอ ไม่เคยที่จะให้กำลังใจ ด้วยเหตุนี้เวลามีเรื่องอะไรเธอไม่กล้าที่จะขอคำปรึกษาเพราะรู้ว่าพึ่งไม่ได้
ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้พยัคฆ์ คือพลังที่ผลักดันให้มณีกล้าแอบมาพบกับเขาในเวลากลางคืน ทั้งที่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะ แต่ทนฝืนต่อความต้องการของตัวเองไม่ได้ กว่าจะหลบออกมาจากบ้านได้เกือบแย่เพราะกำนันพูนยังคงนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน
เมื่อกำนันพูนสูบบุหรี่หมดมวนแล้วเข้าห้องนอน มณีเห็นดังนั้นได้แอบลงจากบ้าน เดินลัดเลาะตามความมืดมาด้วยความระมัดระวัง กระทั่งมาถึงกระท่อมท้ายไร่ของพยัคฆ์ ทว่ากลับไม่เห็นเขา หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ที่มีแต่ความมืดด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น
“พี่เสือ...พี่เสือ ฉันมาแล้ว”
หญิงสาวเรียกเสือด้วยเสียงเบาๆ เพราะกลัวคนได้ยิน แต่สรรพสิ่งรอบตัวเงียบสงบ มณีใจไม่ดีทำท่าจะกลับบ้าน ถ้าร่างใหญ่ไม่เข้ามากอดเอาไว้ทางด้านหลัง เธอสะดุ้งสุดตัว อุทานด้วยความตกใจ
“ว้าย! อย่านะ”
“กลัวอะไร นี่พี่เสือเอง”
“พี่เสือ ปล่อยฉันก่อน กอดอย่างนี้หายใจไม่ออก ถ้าใครมาเห็นเข้า คราวนี้ล่ะเละเลย”
“เราจะให้ใครเห็นทำไมล่ะ เข้าไปในกระท่อมนะ”
เสียงชายหนุ่มสั่นๆ พร้อมกับลมหายใจร้อนกรุ่นเป่ารดที่ลำคอ หญิงสาวไหวหวั่นไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงหายไปไหนหมดเมื่อเขาหอมแก้มแล้วทำท่าจะประกบริมฝีปากลงมาที่ปากนุ่มบาง
“มะ...ไม่ พี่เสือ อย่าทำอย่างนี้”
“มณี อย่ากลัวพี่ ในเมื่อเรารักกัน”
“แต่ว่า การกอดจูบอย่างนี้ไม่สมควร อย่าให้ฉันรู้สึกไม่ดีเลยนะ”
“คนรักกันก็อยากที่จะอยู่ใกล้ กอดจูบแบบนี้ให้ชื่นหัวใจหรือว่ามณีไม่รักพี่ล่ะ”
คำถามที่เต็มไปด้วยความน้อยใจในน้ำเสียงจากชายคนรัก มณีใจหายวาบ คิดว่าการไม่ยอมให้เขากอดจูบจะทำร้ายความรู้สึกของเขาอย่างรุนแรง
“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่เสือเข้าใจมณีด้วย”
“ให้พี่เข้าใจอะไร”
“มณีเป็นผู้หญิง แค่แอบมาพบพี่ในเวลากลางคืน มันไม่ดีอยู่แล้วและยังปล่อยพี่ทำอย่างนี้อีก”
“เอาล่ะพี่เข้าใจ มณีเป็นกุลสตรี พี่ไม่กอดไม่จูบแล้วล่ะ เราคุยกันเฉยๆ นะ แต่ว่าต้องมานั่งในกระท่อมก่อน มณีสงสัยอะไรถามได้เลย”
หญิงสาวค่อยหายใจโล่งอกเมื่อวงแขนแข็งแรงปล่อยออกจากเนื้อตัวของเธอ พร้อมกับร่างใหญ่เดินนำหน้าเข้าไปในกระท่อมไม้ไผ่ขัดแตะ ภายในมีแค่เพียงพื้นกระดานหยาบๆ มีผ้าห่มผืนเล็กๆ ปูทับเอาไว้ เธอนั่งลงอย่างเงียบๆ ต่างจากพยัคฆ์ได้ขยับเข้ามาจนชิดติดกัน
“แค่แปลกใจว่าพี่เรียนจบปริญญาตรี แต่ว่ามาทำไร่น่ะ”
“เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะพ่อแม่ของพี่ถูกปล้นแล้วฆ่าตายก่อนที่จะเห็นใบปริญญา พี่คิดว่าทำไร่ดีกว่าหางานทำเพราะงานบางอย่างกินเฉพาะเงินเดือนก็อยู่อย่างนั้น ถ้าเราออกมาทำอะไรด้วยตัวเอง ถ้าขยันและมีลู่ทาง คงมีเงินมากกว่า พี่ก็เลยยึดอาชีพทำไร่โชคดีที่ตากับยายยกที่ให้ เจ้าก้องก็ช่วยงานเต็มที่ แรกๆ เหนื่อยมากที่ต้องทำงานหนัก เมื่อผลผลิตออกมาเก็บขายได้ค่อยชื่นใจ”
“พี่คิดยังไงถึงรับซื้อพืชผัก ผลไม้ของชาวบ้านมาขาย”
“พี่คิดว่าเป็นการสร้างรายได้อีกทางหนึ่งซึ่งก็ได้ผลดี พี่สามารถซื้อรถกระบะ มีเงินเก็บเอาไว้ใช้จ่าย ถ้ามีเงินเยอะๆ พี่จะซื้อไร่เพิ่มแล้วทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรให้ครบวงจรรวมทั้งตลาดขายส่งผักผลไม้”