ตอนที่ 6 ยิ่งทำใจลืม ยิ่งกลับจำ
นีนนาราอดที่จะเหลือบหางตามองตามหลังรถที่แล่นออกไปไม่ได้ พลางความน้อยใจก็เกิดขึ้น เขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าระหว่างเธอกับเขาไม่มีเยื่อใยอะไรต่อกันจริงๆ
“เป็นไรไปตาแดงๆ” วิสุทธิ์ขมวดคิ้วมุ่นมองตามสายตาของลูกน้องสาวไป ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้งด้วยสายตาสงสัย นีนนาราจึงกะพริบตาถี่ๆ และฝืนคลี่ยิ้มให้รุ่นพี่
“ฝุ่นมันเข้าตาน่ะพี่” เธอยกมือขึ้นขยี้ตาของตัวเอง
“แต่พี่เห็นน้ำมองตามรถของเจ้าชายไปนี่นา มันต้องมีอะไรแน่ๆ” วิสุทธิ์มองอย่างคาดคั้น เขาไม่ใช่เด็กอมมือที่หญิงสาวจะเอามุกหลอกเด็กมาใช้ได้
“ไม่มีอะไรจริงๆ พี่ ฝุ่นมันเข้าตาแล้วที่มองตามรถของเจ้าชายก็เพราะเป็นห่วงอัมพิกากลัวว่าจะโดนคู่หมั้นของเจ้าชายแหกอกเอา น้ำเพิ่งรู้ข่าวมาเมื่อเช้านี่เองว่าองค์ราชินีของเจ้าชายคาร์ดาลสิ้นพระชนม์ไปเมื่อ 2 ปีก่อน และตอนนี้ก็มีว่าที่องค์ราชินีองค์ใหม่รออยู่ ขืนอัมพิกาเข้าไปวุ่นวายกับเจ้าชายคาร์ดาลมากๆ จะเกิดอันตรายได้นะพี่ พี่เตือนเธอบ้างก็ดีจะได้ไม่ต้องเปลืองตัวและเจ็บตัวฟรี” นีนนารามองสบตากับวิสุทธิ์อย่างแน่วแน่ซึ่งอีกฝ่ายก็มองเธอนิ่งก่อนจะถอนใจออกมาเฮือกใหญ่
“ใครจะกล้าเตือนล่ะ แม่นั่นน่ะเคยฟังใครที่ไหน ต้องรอให้เจอกับตัวถึงจะเชื่อ แล้วดูท่าทางเจ้าชายจะพอใจอัมพิกามากเสียด้วย แต่ก็เอาเถอะพี่จะลองดูถึงยังไงเราก็เป็นคนไทยเหมือนกันเห็นไม่ดีไม่สมควรก็ทนอยู่เฉยไม่ได้เหมือนกัน”
นีนนารายิ้มน้อยๆ ให้กับหัวหน้าหนุ่มก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเข้าไปนั่งทานอาหารกลางวันในเต็นท์ที่พักซึ่งมีทีมงานอีก 3 คนนั่งรออยู่แล้ว
หลังพระกระยาหารมื้อเที่ยงกษัตริย์หนุ่มก็พาพิธีกรสาวไทยกลับมาส่งยังสถานที่ถ่ายทำและประทับอยู่ที่นั่นด้วยจนกระทั่งถึงเวลาเย็นทางทีมงานก็เริ่มถ่ายทำบรรยากาศยามเย็นของท้องทะเลทราย ที่มีแสงแดดสีส้มอมแดงมาตกกระทบเม็ดทราย ทำให้ทะเลทรายสีทองเปลี่ยนเป็นสีส้ม
เมื่อเริ่มเดินกล้องนีนนาราก็เดินหลบออกมานั่งเล่นบนเนินทรายหลังที่ตั้งเต็นท์ แสงแดดเริ่มอ่อนแสงลง แต่ไอร้อนจากพื้นทรายก็ยังคงอยู่ มือเรียวลูบผ่านพื้นทรายที่ร้อนนั่นอย่างเบามือพลางคิดในใจ
‘ที่นี่เกือบจะเป็นสถานที่ที่เธอจะให้มันกลบหน้าตอนตาย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็พลิกผันไปเพราะความแตกต่างที่มีมากกันเกินไปของเธอกับเขา เหมือนกับเม็ดทรายและดวงดาวที่ไม่มีทางจะมาอยู่เคียงข้างกันได้’
“คุณสนิทกับนายวิสุทธิ์มากจนถึงจับมือถือแขนกันได้เลยยังงั้นเหรอ” พระสุรเสียงที่ดังขึ้นทำให้นีนนาราชะงักมือ แต่ก็ไม่ได้หันไปมองคนพูด และยังคงนั่งนิ่งไม่ตอบใดๆ อยู่กับที่
“ผมถามทำไมไม่ตอบ” ชีคหนุ่มกัดพระทนต์แน่นพร้อมกับเสด็จเข้าไปกระชากร่างบางให้ลุกขึ้นยืน แล้วจับให้หันมาเผชิญพระพักตร์กับพระองค์
“ปล่อยนะเพคะหม่อมฉันเจ็บ!” สาวไทยมองพระพักตร์กษัตริย์หนุ่มอย่างไม่พอใจ มือบางพยายามแกะพระหัตถ์แกร่งออกจากต้นแขนเรียวของตนเองแต่มันก็ไร้ผล
“เจ็บเป็นเหมือนกันเหรอ นึกว่าไร้ความรู้สึกเสียอีก ตอบสิ่งที่ผมถามมาเดี๋ยวนี้”
“หม่อมฉันไม่จำเป็นต้องตอบนี่เพคะ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของหม่อมฉัน แต่ว่าฝ่าบาทจะมาสนพระทัยทำไมเพคะเรื่องของคนอื่นแท้ๆ” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นอย่างทะนง แต่เธอหารู้ไม่ว่ากำลังก่อกองไฟกองใหญ่ขึ้นในพระหทัยของเจ้าชายหนุ่ม ดวงเนตรคมดุดันจึงหรี่ลงเล็กน้อยพร้อมกับออกแรงบีบต้นแขนเรียวแรงขึ้น แต่นีนนาราก็กัดฟันทนต่อความเจ็บปวดเอาไว้ และมองสบสายพระเนตรอย่างไม่หวั่นเกรง
“ฮึ ฮึ อยากให้ผมประกาศหรือเปล่าล่ะว่าเราเคยเป็นอะไรกัน ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าหัวหน้าไก่อ่อนของคุณจะรับคุณได้หรือเปล่า” เจ้าชายคาร์ดาลกระตุกมุมพระโอษฐ์ขึ้นอย่างหยันๆ
“ก็เอาสิเพคะ พี่วิสุทธิ์เขาไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว เขารับสภาพของหม่อมฉันได้เสมอ แต่คู่หมั้นของพระองค์สิเพคะคงรับไม่ได้แน่ๆ ลองคิดดูเอาเองนะเพคะว่าใครที่จะต้องเสียหายมากกว่ากัน” คราวนี้เป็นทีของหญิงสาวบางที่จะยิ้มเยาะ
“ไม่คิดเลยว่าเวลาแค่ 3 ปีจะทำให้ผู้หญิงที่อ่อนโยนและอ่อนหวานอย่างคุณเก่งกล้าขึ้นมากถึงขนาดกล้ายอกย้อนผมได้ แบบนี้ผมก็ยิ่งสนุกมากขึ้นไปอีกน่ะสิ มาดูกันสิว่าปากของคุณยังหวานเหมือนเดิมหรือเปล่า” สิ้นรับสั่งริมพระโอษฐ์หนานุ่มก็ประทับลงมาบนเรียวปากบางสีชมพูระเรื่อนั่นอย่างรวดเร็ว จนร่างบางตั้งตัวไม่ทันได้แต่ส่งเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ พระหัตถ์หนานุ่มสอดเข้าไปใต้เสื้อยีนสีน้ำเงินเข้มแล้วลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเนียนขาว กลิ่นแป้งอ่อนๆ บวกกับกลิ่นกายสาวที่พระองค์คุ้นเคยมาก่อน สร้างความตื่นตัวให้กับพระวรกายกำยำได้เป็นอย่างดี พระชิวหาร้อนชื้นตวัดควานหาความหอมหวานของน้ำหวานจากอุ้งปากบาง ราวกับผีเสื้อกำลังดูดกลืนน้ำหวานของเกสรดอกไม้
ร่างบางเริ่มสั่นระริกกับสัมผัสที่ห่างหายมานาน เจ้าชายหนุ่มเหมือนกับคนที่มาจุดไฟในกองที่กำลังจะมอดดับไปให้ลุกกระพือขึ้นอีกครั้ง แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเกินเลยไปมากกว่านั้น เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นทางเบื้องหลัง ดึงสติของทั้งคู่ให้กลับมาอีกครั้ง ชีคหนุ่มจึงผลักร่างบางออกห่างพร้อมทอดพระเนตรจ้องเขม็งอย่างแสนเสียดาย
“ทรงทำอะไรกันเพคะ!” อัมพิกาเดินเข้าไปหากษัตริย์หนุ่มกับเพื่อนร่วมงานสาวด้วยสีหน้าบึ้งตึง และตวัดสายตาเขียวปัดไปยังนีนนาราที่ยืนหน้าแดงก่ำอยู่
“ว่าไงน้ำ เธอกำลังทำอะไรอยู่!” อัมพิกาตะคอกใส่เพื่อนสาว พร้อมกับดึงข้อมือของอีกฝ่ายมากำเอาไว้อย่างโมโห เพราะภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่มันเหมือนกับเข็มเล่มใหญ่ทิ่มแทงลงบนหัวใจอย่างแรง
“อยากรู้ก็ถามเจ้าชายเอาเองสิ ฉันไม่มีอะไรจะพูด” พูดจบนีนนาราก็สะบัดมือออกจากการจับกุมของอัมพิกาแล้วเดินลงเนินไป
“นังน้ำ!” อัมพิกาเน้นเสียงลอดไรฟันเบาๆ อย่างโกรธแค้น ก่อนจะหันมาทางเจ้าชายหนุ่ม แล้วทูลถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
“เมื่อครู่ฝ่าบาททรงทำอะไรกับเพื่อนของหม่อมฉันหรือเพคะ”
“แล้วคุณเห็นว่าผมทำอะไรล่ะ” ทรงรับสั่งเสียงเรียบ ก่อนจะดึงร่างบางของอัมพิกาเข้ามาใกล้ แล้วก้มพระพักตร์ลงไปหาริมฝีปากสีแดงฉ่ำ หญิงสาวถึงกับลืมความโกรธแค้นเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น และยิ้มกริ่มอยู่ในใจ วงแขนเรียวขาวตวัดขึ้นโอบรอบพระศอของชีคหนุ่ม พร้อมกับเขย่งปลายเท้ารับจุมพิตอันเร่าร้อนของกษัตริย์หนุ่มอย่างเต็มใจ
“คุณพอใจหรือยัง” เจ้าชายคาร์ดาลดันร่างบางที่สั่นระริกของสาวไทยออกห่าง และทอดพระเนตรอย่างเหยียดๆ อัมพิกามัวแต่ก้มหน้าด้วยความเขินอาย จึงไม่เห็นรอยแย้มพระสรวลแบบเยาะหยันที่ริมพระโอษฐ์นั้น
“หม่อมฉันมาตามฝ่าบาทเพคะ พวกเราจะกลับกันแล้ว” พิธีกรสาวช้อนสายตาขึ้นมองอย่างมีจริตก่อนจะถอยห่างออกมาด้วยท่าทางขวยเขิน
“หม่อมฉันไม่เคยให้ใครทำแบบนี้เลย ฝ่าบาทเป็นคนแรกนะเพคะ”
“งั้นเหรอ” กษัตริย์หนุ่มทรงพระสรวลในลำพระศอ พระองค์ไม่ใช่หนุ่มน้อยที่จะไม่รู้ว่าอันไหนใส่จริตมารยา อันไหนมาจากใจจริง ทรงจับคางเรียวให้เงยขึ้นสบพระเนตรอีกครั้ง แล้วจึงโอบเอวคอดกิ้วพาเสด็จลงมาจากเนินทราย แต่ในพระทัยกลับกำลังครุ่นคิดถึงหญิงสาวอีกคนที่เหมือนกับกระต่ายน้อยในกรงเล็บของราชสีห์อย่างพระองค์ที่ไม่มีทางจะหนีรอดไปได้
“ผมว่าให้คุณผู้หญิงสองคนไปรถผมดีกว่า จะได้ไม่ต้องอัดกันไปเป็นเนื้ออัดแบบนั้น” เจ้าชายคาร์ดาลรับสั่งขึ้นเมื่อทุกคนกำลังจะก้าวขึ้นรถคันเดียวกัน แต่นั่นมันก็เป็นแค่ข้ออ้างของชีคหนุ่มเท่านั้น พระทัยจริงๆแล้วพระองค์ต้องการจะแกล้งนีนนาราให้อยู่ห่างจากวิสุทธิ์
“เอ่อ...” วิสุทธิ์ทำหน้าปั้นยากก่อนจะหันมาทางนีนนาราที่ยืนอยู่ข้างๆ ถ้าผู้ชายตรงหน้าเป็นแค่ชายหนุ่มธรรมดาเขาคงปฏิเสธแทนผู้ช่วยสาวไปแล้ว แต่นี่เป็นถึงองค์กษัตริย์แห่งจากัสต้าใครล่ะจะกล้า
ส่วนนีนนารานั้นก็ยืนนิ่งมองสบพระเนตรสีน้ำตาลเข้มตาขวาง เธอรู้ดีว่าความหวังดีของเจ้าชายหนุ่มทำเพื่อที่จะแกล้งเธอนั้นเอง
“ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันชอบที่จะนั่งเบียดกันไป เชิญฝ่าบาทกับอัมพิกาเถอะเพคะ” พูดจบหญิงสาวก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถโดยดึงแขนวิสุทธิ์ให้ก้าวตามเธอขึ้นมาด้วย แล้วสั่งให้ออกรถไปจากที่ตรงนั่น
‘คุณท้าทายผมมากเกินไปแล้ว ของที่เคยเป็นของผมมาก่อน ถ้าผมไม่ยกให้ใคร ใครหน้าไหนก็มาเอาไปไม่ได้’
กษัตริย์หนุ่มลอบคิดในพระทัยอย่างขุ่นเคือง แววเนตรที่มองตามหลังรถแลนด์โรเวอร์คันสีขาวไปดุดันและแข็งกร้าวอย่างน่ากลัว สันพระกรามทั้งสองข้างขบแน่นเช่นเดียวกับพระหัตถ์ที่เกร็งกำแน่น
อัมพิกาลอบมองเสี้ยวหน้าคมที่บึ้งตึงของเจ้าชายหนุ่มอย่างเจ็บใจ เธอพอจะดูออกว่าเจ้าชายมีทีท่าสนใจเพื่อนร่วมงานของเธออยู่ไม่น้อยทีเดียวดูจากวันนี้สิยังแอบมากอดจูบกันในที่ลับสายตาเลย
‘นังน้ำ แกคิดจะมาทาบรัศมีของฉันงั้นเหรอฝันไปเถอะ’ หญิงสาวคิดอาฆาตแค้นอยู่ในใจ
“เชิญ” เจ้าชายคาร์ดาลพาอัมพิกามาขึ้นรถด้วยสีพระพักตร์บึ้งตึง จากนั้นรถยนต์ส่วนพระองค์ก็เคลื่อนตามรถสีขาวคันหน้าไป