ตอนที่ 5 กำเนิดนางมารร้าย
ในคืนแรกนั้นนีนนารารู้สึกหลับไม่เต็มอิ่มสักเท่าไร เพราะยังหวั่นๆ กับการกระทำของประมุขหนุ่มแห่งจากัสต้า แต่พอคืนต่อมาด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางไปถ่ายทำในสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีแต่แสงแดดและไอร้อน บวกกับไม่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าชายหนุ่มที่เป็นอดีตสามีจึงทำให้หญิงสาวหลับได้อย่างสนิท
ในช่วง 3 วันที่ผ่านมาหลังจากที่เจอหน้ากันในวันแรก เธอก็ไม่ได้พบพระพักตร์กษัตริย์หนุ่มอีกเลย มีแต่เพียงคาริมเท่านั้นที่เข้ามาช่วยจัดการอำนวยความสะดวกในสถานที่ต่างๆ ให้ รวมถึงดูแลในเรื่องอาหารการกินด้วย
แต่แล้วในเช้าวันที่ 4 นั่นเอง ตอนที่นีนนารากำลังจะเดินลงจากตำหนักรับรองเพื่อไปสมทบกับกลุ่มทีมงานที่ด้านล่าง เธอก็ได้ยินนางกำนัล 2 คนคุยกัน หญิงสาวซึ่งเคยเรียนภาษาของจากัสต้ามาบ้าง ตอนที่อยู่ที่เซฟเฮาส์ของเจ้าชายคาร์ดาลเมื่อ 3 ปีก่อนพอจะจับใจความที่ทั้ง 2 นางคุยกันได้
“ช่วงนี้ดูคุณหนูโซไรดาหน้าบานเป็นพิเศษเชียวนะ แค่ได้ออกงานคู่กับเจ้าชาย 2-3 ครั้งเอง” นางกำนัลร่างผอมสูงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่หมั่นไส้
“นี่อย่าพูดดังไปนะ ถ้าเกิดใครมาได้ยินแล้วเอาไปฟ้องล่ะก็เธอโดนเล่นงานแน่ อย่าลืมสิว่าต่อไปคุณหนูโซไรดาก็คือราชินีองค์ต่อไป” นางกำนัลร่างท้วมผิวขาวเอ่ยเตือนเพื่อนสาวอย่างเป็นห่วง
“แหม...ก็มันคันปากนี่เธอ แต่จะว่าไปฉันก็ยังอดคิดถึงองค์ราชินีนูรีนไม่ได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าพระนางจะมีพระชนม์ชีพสั้นขนาดนั้น ฉันบอกตามตรงนะว่าฉันไม่ชอบคุณหนูโซไรดาเลย ถ้าได้ตำแหน่งราชินีเมื่อไรมีหวังฝ่ายในได้ลุกเป็นไฟแน่” สีหน้าและแววตาของนางกำนัลร่างสูงมีแวววิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเราก็คงได้แต่ทำใจเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะถึงยังไงก็คงหนีไม่พ้นอยู่ดี อย่าคิดมากเลยเราทำตามหน้าที่ของเราก็พอแล้วไปเถอะรีบไปทำงานกันดีกว่า” นางกำนัลร่างท้วมพยักพเยิดให้กับเพื่อนนางกำนัลด้วยกัน ก่อนจะพากันเดินไปทางตำหนักหลวง นีนนาราจึงก้าวออกมาจากตรงมุมโค้งของบันได แม้ว่าจะพยายามข่มใจไม่ให้นึกถึงเจ้าของวรกายสูงสง่านั้น แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวนี้แล้วกลับทำให้หัวใจของเธอกระตุกวูบและรู้สึกเสียวแปลบตรงกลางอก
‘ราชินีองค์ก่อนสิ้นพระชนม์แล้วงั้นเหรอ และเจ้าชายก็กำลังจะอภิเษกสมรสใหม่อีกครั้งกับผู้หญิงที่ชื่อโซไรดา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราด้วย ทำไมเราต้องรู้สึกเจ็บแปลบแบบนี้นะ’ นีนนาราคิดในใจพร้อมกับเม้มริมฝีปากเข้าหากัน และหลับตายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วสะบัดศีรษะไปมาน้อยๆ
“ไม่เกี่ยวกับเธอซะหน่อยนะน้ำ ทุกอย่างมันจบลงไปตั้งนานแล้ว หน้าที่ของเธอคือรีบทำงานให้เสร็จแล้วรีบไปจากที่นี่” หญิงสาวพึมพำบอกตัวเองและสูดลมเข้าจนเต็มปอด ก่อนจะปล่อยออกมาอย่างช้าๆ แล้วเดินลงไปร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆ ทีมงานที่ชั้นล่าง
อัมพิการู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากที่ไม่ได้พบกษัตริย์หนุ่มของที่นี่มาหลายวันแล้ว เธอพยายามถามคาริมแต่คำตอบที่ได้รับก็คือ ฝ่าบาทมีภารกิจมากมายที่ต้องรีบจัดการ ซึ่งคำตอบนั้นก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของเธอดีขึ้นได้เลย
“เธอเป็นอะไรนะพิวันนี้พูดผิดตั้งหลายรอบแถมสีหน้าก็ยังบึ้งๆ อีก ไม่พอใจอะไรหรือเปล่า” วิสุทธิ์เดินมานั่งลงข้างๆ กับพิธีกรสาวที่นั่งหน้าบึ้งตึงอยู่บนเก้าอี้สนามหลังจากหยุดพักกอง 20 นาที
“เปล่า อย่ามาสนใจพิเลย เอาเวลาไปสนใจผู้ช่วยของพี่ดีกว่ามั้ง” อัมพิกาเบนสายตาดุๆ ของตนเองไปยังนีนนาราที่นั่งทำท่าใจลอยอยู่อีกด้านหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน
“ดูท่าทางจะใจลอยไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ฮึ ฮึ” พูดจบร่างบางก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในเต็นท์ที่พักเพื่อแต่งเติมเครื่องสำอางเพิ่ม
วิสุทธิ์มองตามร่างบางของอัมพิกาไปพร้อมกับถอนใจออกมาอย่างหน่ายๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปหาหญิงสาวอีกคน
“แอ้ม แอ้ม” เขาทำเสียงกระแอมกระไอ เพื่อส่งสัญญาณให้คนที่นั่งเหม่อลอยรู้ตัว ซึ่งมันก็ทำให้นีนนาราสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มให้หัวหน้าทีม
“มีอะไรจะให้น้ำทำหรือคะพี่วิสุทธิ์?” หญิงสาวหันมาทางชายหนุ่มอย่างเต็มตัว
“เปล่าหรอกจ้ะ แค่หาเพื่อนคุยน่ะ ว่าแต่น้ำเถอะตั้งแต่มาถึงที่นี่พี่ว่าน้ำแปลกๆ ไปนะ มีอะไรในใจก็บอกพี่ได้ พี่ยินดีรับฟังและช่วยเหลือน้องสาวคนนี้ทุกอย่าง” อุ้งมือใหญ่ตบลงบนหลังมือบางเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เธอคลี่ยิ้มส่งกลับไปให้ด้วยความซาบซึ้งใจ ตลอดเวลาที่ทำงานด้วยกันมาวิสุทธิ์จะคอยช่วยเหลือเธอตลอด ทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ทำให้เธอทั้งรักทั้งบูชาเขาดุจดังพี่ชาย ซึ่งวิสุทธิ์เองก็รักและเอ็นดูนีนนาราเหมือนกับน้องสาว ความสนิทสนมของคนทั้งคู่ทำให้หลายๆ คนคิดว่าทั้งสองเป็นคู่รักกัน
“พักการถ่ายทำอยู่หรือว่ากำลังสร้างบรรยากาศโรแมนติก” น้ำเสียงแข็งกระด้างดังขึ้นทางด้านหลังของบุคคลทั้งคู่ และเมื่อทั้งสอลหันไปมองก็เห็นวรกายสูงประทับยืนเด่นอยู่ ดวงเนตรที่ทอดมองมาที่นีนนาราดุดันน่ากลัว แต่หญิงสาวก็มองสบแววพระเนตรสีน้ำตาลเข้มนั้นอย่างไม่หวั่นเกรง
วรกายสูงในชุดสูทสีดำตามแบบสากลพระราชดำเนินเข้าไปหยุดประทับยืนที่เบื้องหน้าของคนทั้งคู่พร้อมกับแย้มพระโอษฐ์แบบดูหมิ่นขึ้นน้อยๆ วิสุทธิ์กับนีนนาราจึงค้อมศีรษะและย่อตัวลงเพื่อทำความเคารพตามระเบียบ
“กระหม่อมไม่คิดว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาจึงไม่ได้ไปรับเสด็จ” วิสุทธิ์ออกตัวเพราะเกรงว่ากษัตริย์หนุ่มจะไม่พอพระทัย
“ไม่เป็นไร พอดีผมเสร็จงานเร็วก็เลยแวะมาดูพวกคุณว่าเป็นยังไงกันบ้าง ยังต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า?” เจ้าชายคาร์ดาลรับสั่ง แต่สายพระเนตรกลับทอดไปยังร่างบางที่ยืนอยู่ข้างๆ กับวิสุทธิ์
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ” วิสุทธิ์คลี่ยิ้มให้และลอบสังเกตเห็นว่าเจ้าชายหนุ่มจะทอดพระเนตรไปที่ผู้ช่วยสาวของเขาอย่างเอาจริงเอาจัง ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่ยืนนิ่งไม่ยอมพูดยอมจา
“งั้นเหรอ แต่ถ้าต้องการสิ่งใดก็บอกคาริมได้ เขาจะจัดการให้ทุกอย่าง” กษัตริย์หนุ่มหันมาแย้มสรวลกับวิสุทธิ์อีกครั้ง แต่ก่อนที่หนุ่มไทยจะได้ทันพูดอะไรต่อ ร่างบางของอัมพิกาก็วิ่งถลามายืนข้างหน้าของวิสุทธิ์กับนีนนารา และคลี่ยิ้มหวานซึ้งส่งให้ชีคหนุ่ม
“ฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาทเสด็จมาดูพวกเราหรือเพคะ หม่อมฉันดีใจเหลือเกินเพคะที่เสด็จมา หลายวันมาเนี่ยหม่อมฉันไม่พบฝ่าบาทเลยนะเพคะ ถามคุณคาริมเขาก็บอกว่าฝ่าบาททรงยุ่งมาก”
“ใช่ ผมยุ่งมาก ยุ่งหลายเรื่องด้วย แต่ผมก็สั่งให้คาริมเข้ามาดูแลแล้วนี่ หรือว่าเขาดูแลคุณไม่ดี” ชีคหนุ่มแย้มพระโอษฐ์อย่างอ่อนหวานให้
“ดีเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันอยากให้ฝ่าบาทมาดูแลด้วยพระองค์เองมากกว่าเพคะ” อัมพิกามองสบดวงพระเนตรหวานฉ่ำ พร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ราวกับโดนมนต์สะกด
เจ้าชายคาร์ดาลทอดพระเนตรมองร่างบางตรงเบื้องพระพักตร์ ก่อนจะเบนสายพระเนตรไปมองทางนีนนารา และยกมุมโอษฐ์ขึ้นนิดหนึ่งเหมือนกับเยาะหยัน แล้วตวัดวงพระกรรั้งร่างบางของอัมพิกาเข้ามาปะทะพระวรกายแกร่งของพระองค์
“วันนี้ผมขอยืมตัวพิธีกรของคุณหน่อยก็แล้วกันนะคุณวิสุทธิ์ นี่ก็จะเที่ยงแล้วคุณคงไม่ว่ากันนะ”
“เอ่อ...พ่ะย่ะค่ะ” วิสุทธิ์ทูลตอบอย่างอึกอักพร้อมกับลอบคิดในใจ
‘ใครจะไม่กล้าอนุญาตในเมื่อทรงรับสั่งออกมาแบบนี้ อีกอย่างถึงเขาไม่อนุญาต แม่พิธีการสาวก็คงจะไม่ยอม ก็ดูท่าทางจะต้องมนต์เสน่หาเข้าอย่างจังขนาดนั้น นี่ถ้าเปลี่ยนจากอัมพิกาเป็นนีนนาราล่ะก็ เขาคงจะยิ้มได้กว้างกว่านี้แน่’
“งั้นเราก็ไปกันเลยนะเพคะ หม่อมฉันหิวเหลือเกินแล้วเพคะ” อัมพิกาบอกเสียงหวานพร้อมกับส่งสายตายั่วยวนไปให้เจ้าชายหนุ่ม ซึ่งแย้มพระโอษฐ์รับไม่แพ้กัน
ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของนีนนาราปวดหนึบ ทั้งๆ ที่ข่มใจไม่ให้คิดสิ่งใดแล้ว แต่ความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจกลับมีอำนาจมากกว่า หญิงสาวจึงตัดสินใจเดินออกมาจากที่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะเจ็บปวดมากไปกว่านี้
วิสุทธิ์เห็นผู้ช่วยสาวเดินหนีไป จึงหันมาโค้งต่ำให้เจ้าชายคาร์ดาลอีกครั้งหนึ่งและเดินตามนีนนาราไป เพราะเขาเองก็ไม่อยากอยู่ขัดพระทัยองค์กษัตริย์หนุ่มกับแม่พิธีกรสาวไวไฟของตนเอง แต่ก็นั่นแหละดูท่าทางของชีคหนุ่มก็สนใจในตัวของอัมพิกาไม่น้อย เรื่องแบบนี้ตัวใครตัวมัน ขืนเข้าไปยุ่งมีหวังเสียคนแน่ๆ
ท่าทางเมินเฉยและเย็นชาของนีนนารา ทำให้ชีคหนุ่มมีสีพระพักตร์บึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด สันพระกรามขบแน่นเข้าหากันจนเป็นสันนูน พระกรแกร่งรัดร่างบางในอ้อมพระกรแน่นขึ้นอย่างลืมพระองค์ จนคนถูกรัดร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย! ฝ่าบาททรงรัดแน่นไปแล้วนะเพคะ” อัมพิกามองสบดวงเนตรสีน้ำตาลเข้มที่ดุดันนั้นอย่างงุนงง เพราะเมื่อครู่ยังหวานเยิ้มอยู่เลย แต่ทำไมตอนนี้ถึงดูน่ากลัวนัก
“ขอโทษ เราไปกันเถอะ” รับสั่งนั้นห้วนและแข็งกร้าว แต่หญิงสาวก็ไม่สนใจเพราะเธอขอแค่ได้อยู่ในอ้อมพระกรของเจ้าชายหนุ่มแบบนี้ก็พอใจแล้ว