บทย่อ
“หม่อมฉันไม่ใช่ภรรยาของใคร เพราะถ้าหม่อมฉันมีสามี เขาก็คงจะไม่ปล่อยภรรยาที่บอบช้ำทั้งใจและกายหนีไปแบบนั้นหรอกเพคะ” “คุณคิดโยนความผิดให้กับผมหรือไงน้ำ ในเมื่อคุณเป็นคนทิ้งผมไป” พระหัตถ์หนาออกแรงบีบที่ต้นแขนนวลอย่างลืมพระองค์ “แล้วทรงคิดบ้างหรือเปล่าว่า จะมีผู้หญิงคนไหนทนได้ถ้าสามีไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่น แล้วตัวเองก็ต้องมานั่งอยู่ในฐานะชู้ลับ เห็นแก่ตัวที่สุด” ประโยคสุดท้ายเธอกระแทกเสียงใส่พระพักตร์หล่อเหลานั้นด้วยความโกรธ “อย่าบังอาจมาด่าผมนะน้ำ ไม่งั้นคุณเจอดีแน่” พระสุรเสียงนั้นเข้มจัด สันพระกรามทั้งสองข้างนูนขึ้น ก่อนจะยื่นพระพักตร์เข้าไปใกล้ใบหน้าเนียน “ผมได้เตรียมโทษทัณฑ์ที่สาสมเอาไว้ให้คุณแล้ว” ราชนิกูลหนุ่มเน้นพระสุรเสียงอย่างเชื่องช้าและเยือกเย็น ฟังดูราวกับเสียงของยมทูต“คุณกลัวว่าเจ้าหัวหน้าของคุณจะมาเห็นมากกว่าละมั้ง ฮึ ฮึ มันรู้หรือเปล่าละว่าคุณเคยเป็นเมียผมมาแล้ว หรือว่ามันยินดีที่จะรับเดนของคนอื่น อาจจะไม่ใช่ผมคนเดียวก็ได้จริงไหม”“เพี๊ยะ!” “อย่ามาดูถูกหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ใช่คนมักง่ายอย่างฝ่าบาท ปล่อยนะ!” เธอตะคอกใส่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ“อย่ามาทำอวดดีและทำร้ายผมอีก ผมจะบอกเอาไว้ให้เอาบุญนะว่าความรักที่ผมเคยมีให้กับคุณมันจบสิ้นไปแล้ว ตั้งแต่ตอนที่คุณก้าวออกจากเซฟเฮ้าส์ของผม และสิ่งที่ผมมีให้ในตอนนี้ก็คือความเคียดแค้นชิงชังในตัวคุณ จำเอาไว้!” “ปล่อยนะ!” นีนนาราสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อหวังให้ตัวเองเป็นอิสระพร้อมๆ กับน้ำใสอุ่นๆ ที่ไหลลงมาอาบแก้ม แต่ยิ่งดิ้นรนเธอก็ยิ่งเจ็บมากขึ้น กษัตริย์หนุ่มยังคงบดขยี้ริมพระโอษฐ์ลงมาอย่างไม่ยั้ง เพื่อให้สาวไทยได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดและโกรธแค้นที่พระองค์มี นีนนาราสะอื้นไห้อยู่ใต้ร่างหนา ความเจ็บที่ร่างกายได้รับมันยังน้อยกว่าที่หัวใจมากนัก “นี่คือการสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณตบผม แต่สำหรับโทษทัณฑ์ที่คุณทิ้งผมไปมันหนักยิ่งกว่านี้หลายเท่า คุณเตรียมตัวรับมันก็แล้วกัน ฮึ ฮึ”
ตอนที่ 1 จากัสต้า
บรรยากาศภายในอาคารผู้โดยสารของสนามบินนานาชาติจากัสต้า พลุกพล่านไปด้วยผู้คนทั้งในประเทศและนอกประเทศ ที่เดินทางมาเพื่อท่องเที่ยวหรือเพื่อทำธุรกิจและหนึ่งในนักเดินทางชาวต่างชาตินั้นก็มีกลุ่มของคนไทยรวมอยู่ด้วย ทั้งหมดเป็นทีมงานถ่ายทำสารคดีของบริษัทเอกซ์กรุ๊ปมีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับนิตยสารการท่องเที่ยวและสารคดีท่องเที่ยวทั่วโลก
“เดี๋ยวตรวจสอบกระเป๋าเดินทางของตัวเองและกระเป๋าอุปกรณ์ต่างๆ ให้เรียบร้อย แล้วอีกครึ่งชั่วโมงรถของทางโรงแรมที่บอสจองเอาไว้จะมารับเราที่นี่” วิสุทธิ์ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมงานบอกกับลูกทีมทั้งหมด ก่อนจะหันไปมองร่างบางในชุดยีนสีดำทั้งชุด ซึ่งยืนเหม่อมองออกไปด้านนอกของอาคารโดยสาร และเรียกชื่อเจ้าของร่างบางเบาๆ
“น้ำ”
“คะ? พี่วิสุทธิ์เรียกน้ำหรือคะ?” นีนนาราหรือ น้ำ หันมาตามเสียงก่อนจะยิ้มให้กับคนเรียกน้อยๆ
“ใช่จ้ะ เป็นอะไรหรือเปล่าดูน้ำเหม่อๆ พิกลตั้งแต่ขึ้นเครื่องแล้ว” วิสุทธิ์ขมวดคิ้วมองหน้าผู้ช่วยสาวอย่างสงสัย
“เปล่านี่คะ น้ำแค่ตื่นเต้นนิดหน่อยค่ะ” สิ้นเสียงของนีนนาราก็มีเสียงพูดเหน็บแหนมดังมาจากร่างเพรียวบางในชุดหนังสีดำรัดรูปที่เดินตรงมาหา
“ทำยังกับเพิ่งเคยมาต่างประเทศครั้งแรกงั้นแหละ ชิ! เรียกร้องความสนใจสิไม่ว่า” อัมพิกามองเพื่อนร่วมงานที่ตนเองไม่ชอบขี้หน้าอย่างหมิ่นๆ พร้อมกับเหยียดมุมปากเรียวสวยสีแดงของตนเองออกอย่างเยาะๆ
“ถ้าคุณไม่พูดอะไรก็ไม่มีใครเขาว่าหรอกนะคุณพิ” วิสุทธิ์หันมามองอัมพิกาซึ่งเป็นพิธีกรภาคสนามที่มีผลงานดีเด่นมาแล้วหลายครั้งด้วยสายตาตำหนิและเบื่อหน่าย ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะทำงานได้ดีมาก แต่เรื่องนิสัยที่ชอบเหน็บแหนมดูแคลนคนอื่นคงต้องปรับปรุงอย่างมาก ส่วน
นีนนาราเองก็ไม่อยากจะมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานอย่างอัมพิกา ถ้าเลี่ยงได้เธอก็จะเลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็จะโต้ตอบกลับไปเหมือนกับครั้งนี้
“ช่างเขาเถอะค่ะพี่วิสุทธิ์ พวกปากไม่มีหูรูดก็แบบนี้แหละค่ะ เดี๋ยวน้ำขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ” พูดจบนีนนาราก็เดินแยกไป ทิ้งให้อัมพิกายืนหน้าบูดบึ้ง มือสั่น กัดกรามกรอดอยู่ด้วยความโกรธ ก่อนจะหันมาตวัดค้อนใส่เพื่อนร่วมงานที่ยืนหัวเราะคิกคักกันอยู่ทางด้านหลัง
ในขณะเดียวกันภายในห้องพัก ที่ตกแต่งอย่างสวยงามของเขตพระราชฐานชั้นในก็ปรากฎร่างสูงของบุรุษในชุดโต๊ป ยาวสีขาว โพกผ้าคลุมศีรษะสีเดียวกัน ยืนทอดสายพระเนตรมองออกไปยังสวนดอกไม้ที่อยู่เบื้องล่างด้วยสีพระพักตร์ที่เรียบเฉย แต่แววเนตรคมกริบและเย็นชาคู่นั้นกลับดูดุดันน่ากลัว ราวกับพญาเหยี่ยวกำลังจ้องมองเหยื่อ ก่อนที่มุมพระโอษฐ์ข้างหนึ่งจะถูกยกขึ้นเหมือนกับยิ้มเยาะบางสิ่งบางอย่างอยู่
‘คุณวิ่งเข้ามาในกรงเล็บของผมเอง อย่าหวังว่าจะรอดกลับไปอีกเลย’
ดวงเนตรคมหรี่ลงก่อนจะยกพระกรขึ้นกอดพระอุระแล้วหันกลับเข้ามาภายในห้องของตนเอง วรกายสูงเสด็จไปทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวสวย ที่บุด้วยผ้ากำมะหยี่สีทองเดินขอบด้วยเส้นไหมสีแดง จากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่ร่างขององครักษ์จะเดินเข้ามาแล้วโค้งต่ำลงตรงเบื้องพระพักตร์ของเจ้าชายหนุ่มพร้อมกับทูลรายงาน
“ทุกอย่างที่ฝ่าบาทรับสั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก ขอบใจ ออกไปได้แล้ว” ชีคคาร์ดาลรับสั่งเสียงเรียบ ก่อนจะยกถ้วยพระสุธารสชาขึ้นจิบ แล้วหันมาทางองครักษ์เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังยืนอยู่ที่เดิม พร้อมกับทอดพระเนตรเป็นเชิงตั้งคำถาม ทำให้องครักษ์หนุ่มต้องรีบทูลรายงานอีกครั้ง
“คุณโซไรดาต้องการเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องด่วนหรือเปล่า? ถ้าไม่ด่วนให้เธอกลับไป ก่อนฉันยังไม่ต้องการพบใครในตอนนี้” คำพูดนั้นเหมือนเป็นคำสั่งที่เฉียบขาดสำหรับองครักษ์หนุ่ม
“พ่ะย่ะค่ะ” เขาโค้งต่ำลงให้กับองค์เหนือหัวของตน ก่อนจะถอยออกไปจากห้อง
กษัตริย์หนุ่มก้มลงทอดพระเนตรถ้วยพระสุธารสชาที่อยู่ในพระหัตถ์ พร้อมกับนึกถึงหญิงสาวที่องครักษ์หนุ่มเอ่ยชื่อเมื่อครู่ โซไรดา คือว่าที่ชายาคนที่ 2 ของพระองค์ หลังจากที่ชายาคนแรกได้เสียชีวิตไปเมื่อ 2 ปีก่อนด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ และพระองค์ก็จำเป็นจะต้องมีชายาคนใหม่เพื่อมีทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป แล้วโซไรดาก็คือหญิงสาวที่เหล่าข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่เห็นสมควร เพราะเป็นบุตรสาวของรัฐมนตรีฟากัส ผู้ซึ่งดูแลกระทรวงกลาโหมและเป็นบุคคลที่มีอำนาจอยู่มากในจากัสต้า การแต่งงานของพระองค์จึงเหมือนกับเป็นการถ่วงดุล และส่งเสริมราชบัลลังก์ให้มั่นคงยิ่งขึ้น...ชีคหนุ่มกระตุกมุมพระโอษฐ์ขึ้นอย่างเยาะๆ ก่อนจะทรงยกถ้วยพระสุธารสชาขึ้นจิบอีกครั้ง
นีนนาราเดินกลับไปยังกลุ่มเพื่อนร่วมงานอีกครั้ง หลังจากทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อย แต่เท้าบางก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นกลุ่มชายร่างสูงในชุดสูทสากลสีดำ โพกศีรษะด้วย ผ้ากุตตร้า และคาดทับด้วยเชือกไอกาล์ จำนวน 5 คน ยืนอยู่กับเพื่อนร่วมงานของเธอ
หญิงสาวรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ฝืนก้าวไปข้างหน้าต่อ พร้อมกับมองไปที่บุรุษกลุ่มดังกล่าวอย่างไม่วางตา แล้วหัวใจของหญิงสาวก็ต้องกระตุกวูบ เมื่อเห็นหน้าชายร่างสูงที่ยืนคุยอยู่กับวิสุทธิ์อย่างชัดเจน ร่างบางยืนนิ่งและรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน
คาริมหันมาทางหญิงสาวที่ก้าวเข้ามาใหม่ ก่อนจะก้มศีรษะลงนิดหนึ่งเพื่อเป็นการทักทายและคลี่ยิ้มให้น้อยๆ ซึ่งนีนนาราเองก็ฝืนยิ้มตอบกลับไป เธอมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสัย แต่ชายหนุ่มชาวจากัสต้าก็วางท่านิ่งเฉยแล้วหันไปทางวิสุทธิ์อีกครั้ง
“เจ้าชายคาร์ดาลให้คุณคาริมมารับพวกเราเข้าไปพักในวัง พี่กำลังจะถามความเห็นของทุกคนอยู่พอดีว่าจะเอายังไง” วิสุทธิ์บอกเรื่องที่เขากำลังคุยอยู่กับองครักษ์คาริมให้กับนีนนารารับรู้
“พิเห็นว่าเราควรจะไปตามคำเชิญนะคะ เพราะถ้าไม่ไปก็เท่ากับขัดคำสั่ง แล้วอีกอย่างไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับโอกาสแบบเรานะคะ พิอยากเห็นเจ้าชายตัวจริงค่ะ ว่าจะหล่อเท่ากับในรูปถ่ายหรือเปล่า” อัมพิกาออกความเห็นแล้วก็หันไปมองเพื่อนๆ ในทีมซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย ยกเว้น
นีนนาราที่ยืนนิ่งเงียบอยู่
“น้ำล่ะว่ายังไง?” วิสุทธิ์จึงหันมาถามหญิงสาว
“เอ่อ....แล้วแต่เสียงส่วนมากค่ะ” หญิงสาวนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบออกไปด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“แหม...พูดยังกับว่าไม่อยากจะเข้าไปในวังอย่างนั้นแหละ ชอบทำตัวเด่นทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรให้อวด” อัมพิกาพูดเยาะเย้ยพร้อมกับมองค้อน นีนนาราก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสีย เพราะไม่อยากจะทะเลาะกับคนไทยด้วยกันเองต่อหน้าคนชาติอื่น
“ถ้างั้นเป็นอันว่าตกลงนะ” วิสุทธิ์รีบสรุป ก่อนจะหันมายิ้มให้คาริม พร้อมกับคำตอบที่อีกฝ่ายรอฟังอยู่
“พวกเรายินดีไปตามคำเชิญของเจ้าชายครับคุณคาริม”
“ดีครับ งั้นเชิญทางนี้ครับ” คาริมยิ้มให้ก่อนจะเดินนำหน้ากลุ่มคนทั้งหมดออกมาจากอาคารผู้โดยสาร แล้วตรงไปยังรถตู้คันสีดำมันวาวที่จอดเทียบอยู่ตรงประตูทางออก
ภายในรถตู้มีเสียงพูดคุยกันเบาๆ ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นกับภาพทิวทัศน์ของสองข้างทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่อาณาเขตพระราชวังหลวง แต่สำหรับนีนนาราแล้วมันเหมือนกับว่ากำลังวิ่งเข้าไปในกรงของราชสีห์ที่หิวกระหายเนื้อสดๆ หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ และเอนหลังพิงลงกับเบาะนั่งพร้อมกับหลับตาลง ก่อนจะมาที่นี่นีนนาราก็ศึกษารายละเอียดของจากัสต้ามาบ้างพอสมควร และพอจะรู้มาว่าเจ้าชายคาร์ดาลคือกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ที่ปกครองราชอาณาจักรจากัสต้าสืบต่อจากพระราชบิดาที่สวรรคตไป...
“เฮ้อ...” นีนนาราลืมตาขึ้นพร้อมกับถอนใจออกมาอีกครั้ง อาการที่เหมือนกับมีเรื่องไม่สบายใจของเธอ ทำให้คนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ หันมามองด้วยความห่วงใย
“เป็นอะไรหรือเปล่าน้ำ พี่เห็นเธอมีสีหน้าไม่ค่อยดีเลยหรือว่าไม่สบายตรงไหน?” วิสุทธิ์ถามพร้อมกับมองหน้าผู้ช่วยสาว
“คงจะเพลียจากการเดินทางน่ะค่ะพี่ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” นีนนาราหันมายิ้มให้ก่อนจะตอบ
“แน่ใจนะ” เพื่อนรุ่นพี่ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ค่ะ” หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างให้อีกรอบ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับแล้วหันกลับไปมองที่เดิม
นีนนาราจึงหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างรถ พลางนึกถึงความฝันที่ทำให้ตนเองนอนไม่หลับเกือบค่อนคืน
...เมื่อคืนเธอฝันถึงบิดากับมารดา ท่านทั้งสองมาหาเพื่อมาบอกลา ใบหน้าของทั้งคู่ยิ้มแย้มและสดใส เธอถามออกไปด้วยความตกใจว่าท่านจะไปไหนกัน แต่พวกท่านก็ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มให้แล้วก็ค่อยๆ ลอยห่างไปจนลับสายตา หลังจากนั้นเธอก็สะดุ้งตื่นแล้วก็นอนไม่หลับอีกเลย...
นีนนาราหลับตาลงอีกครั้งและรู้สึกว่าใจมันหวิวๆ และว่างเปล่าพิกลเมื่อนึกถึงบิดากับมารดาที่เสียชีวิตไปเมื่อ 2 ปีก่อนด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ตกเขาที่จังหวัดกาญจนบุรี สมบัติที่ทั้งคู่ทิ้งเอาไว้ให้เธอก็คือร้านขายดอกไม้นาราฟลาวเวอร์ที่ทั้งคู่ช่วยกันสร้างขึ้นมา แต่นีนนาราไม่ได้เรียนมาทางด้านแบบนี้ จึงรับสมัครพนักงานหญิงคนหนึ่งเข้ามาดูแลแทน และตัวเธอจะเข้าไปตรวจบัญชีเป็นช่วงๆ ความจริงในตอนแรกเธอตั้งใจจะขายร้านนี้ แต่ก็ตัดใจขายไม่ได้เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เอาไว้ดูต่างหน้าบิดาและมารดา
“ว้าว! สวยจังเลย ไม่เคยเห็นวังที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อนเลย ดูสิสระว่ายน้ำก็ใหญ่โต สวนดอกไม้ก็สวย” น้ำเสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นของอัมพิกา ทำให้นีนนาราต้องลืมตาขึ้น และภาพที่เห็นอยู่ด้านนอกหน้าต่างรถก็คือพระราชวังสีขาวอมเทาตั้งตระหง่านอยู่อย่างสง่างาม รถตู้แล่นผ่านประตูเหล็กสีทองไปตามทางคอนกรีตสีขาวที่ทอดเข้าไปสู่ตัวพระราชวัง ก่อนจะชะลอความเร็วลง แต่หัวใจของนีนนารากลับเต้นแรงและเร็วขึ้นอย่างห้ามไม่ได้