6 ไม่เหงาเหรอ
ข้าวหมูทอดและข้าวผัดกะเพราหมูกรอบอย่างละจานหมดในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที พาลินเชื่อแล้วว่าที่พี่เขาบอกว่าหิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวก็คงจะเป็นจริงตามนั้น
เขานั่งมองคนตัวโตทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนตัวเองนั้นทานข้าวแล้วตั้งแต่ก่อนไปบ้านน้องเบจิง จึงสั่งแค่หมูสะเต๊ะมานั่งทานระหว่างรอ
“อร่อยนะครับ พี่กินไหม ร้านนี้น้ำอาจาดอร่อยแตงกว่าก็สดมากเลย” พูดพลางจิ้มแตงกว่าในถ้วยน้ำอาจาดเข้าปากเคี้ยวตุ้ย
“มันต้องกินคู่กันไม่ใช่เหรอทั้งสองน้ำจิ้ม” ดลธรรมจิ้มทั้งอาจาดและน้ำจิ้มอีกถ้วยซึ่งมีเครื่องเทศส่งกลิ่นหอมเข้าปาก
“ครับ แต่ผมไม่ค่อยกล้ากินเท่าไหร่”
“ทำไมไม่กินเผ็ดเหรอ” คนถามเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
“เปล่าครับ ผมเคยแพ้ถั่วลิสงครับ กินแล้วผื่นมันจะขึ้นคัน ไปทั้งตัว”
“พี่ขอโทษพี่ไม่รู้ ดูสิเกือบทำน้ำจิ้มสองถ้วยปนกันแล้ว”
“ก็พี่ไม่รู้นี่ครับ แต่ถ้านิดหน่อยแค่นี้ไปไม่เป็นไรหรอกครับ”
“แล้วแพ้อะไรอีกไหม พี่จะได้ระวัง”
“ไม่ครับ” พาลินอยากอยากบอกว่าเขาแพ้คนหล่อและใจดีเหมือนคนตรงหน้า แต่ก็ไม่สนิทพอที่จะพูดออกไปแบบนั้น
พอทานจนอิ่มดลธรรมก็เพิ่งสังเกตว่าคนที่นั่งคุยด้วยมีแผลถลอกที่แขนทั้งสองข้าง คงจะเป็นตอนที่ล้มลงไปในพุ่มดอกเข็ม เขาเอื้อมมาจับแขนของพาลินพลิกไปพลิกมาก่อนจะส่ายหัว
“มีแผลทำไมไม่บอกละครับ” เขาถามอย่างเป็นห่วง
“แผลนิดเดียวเองครับพี่ เดี๋ยวกลับไปทายาก็หายแล้ว” พาลินเองก็เพิ่งเห็นว่าแขนของตัวเองมีรอยข่วน ชายหนุ่มไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด แต่เพราะเป็นคนตัวขาวแผลที่เห็นมันเลยดูชัดเจน
“ที่ห้องมียาใช่ไหม ยาอะไรนะที่ขวดมันเหลืองๆ ส้มๆ”
“เบตาดีนครับ เดี๋ยวผมซื้อที่เซเว่นก็ได้ พี่โดมรอตรงนี้ก่อนเดี๋ยวผมมานะครับ”
“ไปซื้อพร้อมกันเลยพี่อิ่มแล้ว” เขากำลังจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแต่ก็ช้ากว่าอีกคนที่เดินไปจ่ายเงินที่แม่ค้าแล้ว
“มื้อนี้ผมเลี้ยงครับ พี่มาส่งผมสองวันแล้ว”
“แต่พี่กินเยอะกว่าเรานะ ให้พี่จ่ายดีกว่า” ดลธรรมรีบท้วงรู้สึกไม่ดีที่ให้คนอายุน้อยกว่าต้องมาจ่ายค่าอาหารให้ตัวเอง
“ถ้าพี่จ่ายค่าข้าว ผมจะจ่ายค่ารถ” พาลินพูดพลางหันมามองตาแป๋ว จนคนพี่เห็นแล้วต้องยอมใจอ่อน
ทั้งสองพากันเดินไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล พาลินได้เบตาดีนกับสำสีและน้ำเกลือสำหรับล้างแผลมาหนึ่งขวด แต่ครั้งนี้คนที่จ่ายเงินคือดลธรรม ด้วยเหตุผลที่เขาบอกคือเขาเป็นคนทำให้พาลินเจ็บ
“ขอบคุณครับพี่โดม เดี๋ยวผมเดินกลับเองก็ได้ อีกนิดเดียวก็จะถึงหออยู่แล้ว พี่จะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
“เดี๋ยวพี่เดินไปส่งนะ”
“โธ่! พี่ผมไม่ใช่เด็กๆ นะครับจะต้องเดินไปส่งทำไม”
“ไม่ใช่เด็กแต่ก็ซุ่มซ่ามไง เกิดเดินไปเตะอะไรหรือไปล้มใส่เท้าใครขึ้นมาจะแย่เอานะ”
“พลาดล้มแค่ครั้งเดียวนี่เหมือนเป็นตราบาปเลยนะครับ” พาลินพูดพลางหัวเราะ แต่ก็ยอมให้เขาเดินมาส่งเพราะขี้เกียจจะเถียง
การได้เดินคู่กันไปบนทางเดินที่ค่อนข้างมืดทำให้เขารู้สึกดี อดจะเปรียบเทียบคนที่เพิ่งรู้จักกับแฟนหนุ่มไม่ได้
แต่ก่อนกันต์ธีร์ก็อบอุ่นและใจดีแบบนี้ จนเขายอมใจอ่อนตกลงเป็นแฟน แต่โปรโมชั่นก็หมดลงในเวลาอันรวดเร็ว
“ทำไมหอมันเงียบจัง” ดลธรรมเงยหน้ามองไปบนหอพักแทบจะไม่มีห้องไหนเปิดไฟเลย
“ก็ปิดเทอมนี่ครับ บางคนก็ย้ายออกเพราะจบ บางคนก็กลับบ้าน”
“แล้วเราล่ะ อยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ”
“ครับ ผมไม่มีบ้านให้กลับ”
น้ำเสียงของพาลินฟังดูเหงาจนดลธรรมรู้สึกผิดที่ถามไปแบบนั้น
“พี่ขอโทษ”
“ผมชินกับการอยู่คนเดียวแล้ว ตั้งแต่พ่อกับแม่จากไป ผมก็อยู่คนเดียวมาตลอด”
“นานแล้วเหรอ”
“ห้าปีแล้วครับ ตั้งแต่ผมอยู่ ม.5 ผมกับตายายไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ก็เลยขอมาอยู่คนเดียว ส่วนปู่กับย่าอยู่อังกฤษครับ ท่านชวนผมไปอยู่ด้วย แต่ผมอยากลองอยู่ด้วยตัวเองครับ”
“ไม่เหงาแย่เหรอ”
“เหงาสิครับ ผมถึงต้องไปสอนที่โรงเรียนสอนภาษา ไปสอนเบจิง อยู่กับเด็กแล้วมันหายเหงาครับ”
“พี่นึกว่าที่ทำงานเพราะอยากได้เงิน”
“ก็ทั้งสองอย่างครับ เด็กๆ เป็นยาชั้นดีเลยครับ เหงา หรือเศร้าแค่ไหน พวกเขาก็ทำให้ยิ้มได้ครับ”
“นั้นสินะ” ดลธรรมคิดถึงหลานชายที่เขาอยู่ใกล้แล้วมีความสุขทุกอย่างมันดูสดใสไปหมด
“ขอบคุณนะครับที่เดินมาส่ง เดินกลับคนเดียวได้ใช่ไหมครับ”
“ถ้าบอกไม่ได้ เราก็จะเดินไปส่ง แล้วก็คงไม่ต้องได้กลับกันล่ะ ส่งกันไปส่งกันมา” ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะเผลอยกมือขึ้นขยี้เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างเอ็นดู
“พี่โดม ยุ่งหมดแล้ว” อีกคนพยายามดึงมือออก เขาไม่ได้กลัวผมยุ่ง แต่เขากลัวใจตัวเองต่างหาก กลัวว่ามันจะไม่รักดีไปชอบเขาทั้งที่ตัวเองมีแฟนอยู่แล้ว
“ไปละ รีบขึ้นหอได้แล้ว ระวังด้วยนะ มืดๆ อย่างนี้น่ากลัวออก”
“ขอโทษครับพี่ผมไม่ใช่เด็ก ที่จะกลัวความมืดหรือกลัวผีนะครับ” พาลินพูดจบก็วิ่งขึ้นบันไดหอพักไปอย่างรวดเร็ว
คนที่มองตามได้แต่หัวเราะก่อนจะเดินยิ้มออกมาจากซอยอย่างมีความสุข