บทที่ 4
ไร่กาแฟอาราบิก้าคิง...
ในยามอรุณรุ่ง พระสุริยาค่อยๆ โผล่ขึ้นบนขอบฟ้าสาดแสงสีทองให้พลังงานแก่มวลมนุษย์ พ่อเลี้ยงคิวากร จิรภาส ผู้เป็นเจ้าของพื้นดินนับร้อยไร่แห่งนี้ ได้ยืนนิ่งอยู่บนระเบียงที่ยื่นออกมาทางด้านหลังของตัวคฤหาสน์หรู เพื่อทอดสายตามองผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นกาแฟเขียวขจีพันธุ์อาราบิก้าอันเลื่องชื่อ และดีที่สุดของไร่แห่งนี้ สมกับชื่อไร่ที่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่ว่า ไร่กาแฟอาราบิก้าคิง
แต่เดิม...ไร่กาแฟแห่งนี้เป็นของพ่อค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นที่หมายหัวของทางราชการนั่นก็คือพ่อเลี้ยงสันชัย เลิศกิจวัฒนา แต่เมื่อพ่อค้ายาสิ้นลายถูกทางการเด็ดปีกเด็ดหาง โดยมีเขาเป็นคนส่งข้อมูลลับของพ่อเลี้ยงสันชัยให้กับทางราชการ พ่อเลี้ยงชั่วคนนี้จึงต้องออกจากคฤหาสน์หรูเข้าไปอยู่ในห้องลูกกรงแคบๆ กินข้าวแดงแทนอาหารเหลาที่เคยกินในทุกๆ วัน
หลังจากพ่อเลี้ยงสันชัยต้องเข้าไปชดใช้กรรมในคุกแล้ว ชายหนุ่มได้ติดต่อขอซื้อไร่แห่งนี้จากทางราชการ ซึ่งมีพี่เขย สิงหนาท วรสรณ์ หรือผู้พันสิงห์ อดีตนาวาเอกแห่งราชนาวีไทย ผู้เป็นสไนเปอร์มือหนึ่งแห่งองค์กรลับที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้ว่ามีอยู่ในประเทศไทย ได้ให้ความช่วยเหลือในการติดต่อกับผู้หลักผู้ใหญ่บางท่าน เพื่อขอซื้อไร่กาแฟแห่งนี้ ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปี กว่าจะมีชื่อของเขาเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินผืนนี้
สมัยที่แผ่นดินผืนนี้ยังตกเป็นของพ่อเลี้ยงสันชัย ต้นกาแฟนับร้อยๆ ต้นไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ กาแฟบางต้นก็ยืนต้นตาย หรือบางต้นออกดอกบานสะพรั่ง จวบจนแปรเปลี่ยนเป็นเมล็ดกาแฟที่สุกแดงก่ำราวกับอัญมณีที่เรียกว่าทับทิม ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สุกงอมพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ทว่าเมล็ดกาแฟเหล่านี้ก็ถูกปล่อยให้ร่วงโรยราลงสู่พื้นดิน โดยไม่มีใครสนใจเก็บผลผลิตนำออกไปจำหน่าย ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่า พ่อเลี้ยงสันชัยทำไร่กาแฟเป็นการบังหน้าเท่านั้น ธุรกิจที่พ่อเลี้ยงสันชัยทำอยู่เบื้องหลังคือการค้ายาเสพติดทุกชนิดที่จะสามารถสร้างเมล็ดเงินอันแสนสกปรกจำนวนมหาศาลให้กับตัวเขาได้
แต่เมื่อไร่กาแฟแห่งนี้ตกมาอยู่ในมือของพ่อเลี้ยงคิวากร อดีตนักฆ่าขององค์กรพยัคฆ์ทมิฬ องค์กรลับที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปลิดชีวิตสวะสังคม ซึ่งกฎหมายไม่อาจเอื้อมไปถึง ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดิน ที่ได้วางมือจากการจับด้ามปืน มาจับจอบจับเสียมแทน ก็ได้พลิกแผ่นดินที่เคยแห้งแล้งให้กลับมาเขียวขจีไปทั่วอาณาบริเวณนับร้อยๆ ไร่
ต้นกาแฟที่เคยยืนต้นตาย บัดนี้กลับแผ่กิ่งก้านสาขาเติบโตออกดอก และให้ผลผลิตจนเต็มต้น เมล็ดกาแฟที่เคยสุกงอมจนโรยราลงสู่พื้นดินก็ถูกคนงานในไร่ช่วยกันเก็บมาเต็มตะกร้าหวายเพื่อรอการนำไปแปรรูปสร้างผลกำไรเป็นกอบเป็นกำให้แก่ผู้เป็นเจ้าของไร่ และสร้างงานให้กับชาวเขาและคนงานนับสิบๆ ชีวิต ที่อยู่ภายใต้การปกครองของพ่อเลี้ยงคิวากรผู้เคยเป็นอดีตนักฆ่าระดับพระกาฬ
“พ่อเลี้ยงครับ คุณเมธวีมาขอพบครับ”
ทิม ซึ่งเป็นคนงานในไร่ชิดารัณ อันเป็นไร่ของสิงหนาทผู้เป็นพี่เขยของคิวากร ถูกพ่อเลี้ยงหนุ่มซึ่งยังด้อยประสบการณ์เรื่องการปลูกกาแฟ ขอยืมตัวให้มาช่วยทำงานในไร่กาแฟอาราบิก้าคิงเป็นการชั่วคราว เพราะทิมมีประสบการณ์ในการปลูกและดูแลต้นกาแฟมานานพอสมควร แรกๆ นั้นพ่อเลี้ยงคิวากรตั้งใจจะยืมตัวคนงานของพี่เขยแค่สักสี่ห้าเดือน แต่พออยู่นานวันเข้าก็เลยยึดทิมให้เป็นลูกน้องคนสนิทของตัวเอง ให้อีกฝ่ายปักหลักอยู่ในไร่กาแฟอาราบิก้าคิงเลย
พ่อเลี้ยงคิวากรละสายตาจากภาพความงดงามเขียวขจีของต้นกาแฟ อันเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง หันมามองลูกน้องคนสนิท พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นสูงราวกับงุนงงในคำรายงานของทิม
“เมธวีไหนวะไอ้ทิม ในละแวกนี้มีผู้หญิงชื่อเมธวีตั้งสามคน ช่วยบอกชัดๆ หน่อยว่าเมธวีที่แกพูดถึงคือผู้หญิงคนไหน”
พ่อเลี้ยงคิวากรเอ่ยถามสั้นๆ ไม่ยอมผละออกจากบริเวณระเบียงด้านหลังบ้าน ที่ยังคงยืนชื่นชมสูดโอโซนอันสะอาดบริสุทธิ์เข้าปอดลึกๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขามักจะทำเช่นนี้ในทุกๆ เช้า
“พ่อเลี้ยงนะพ่อเลี้ยง ชาตินี้จะจำผู้หญิงให้ได้สักคนไม่ได้เลยหรืออย่างไรกันสงสัยจะจำได้แต่เชื่อพันธุ์กาแฟที่ปลูกอยู่ในไร่” ทิมเกาศีรษะ ตีหน้ายุ่ง ทำปากขมุบขมิบพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความเหนื่อยใจ
“ก็ผู้หญิงแต่ละคนไม่เห็นมีใครน่าสนใจนี่ ไอ้ทิม”
พ่อเลี้ยงคิวากรสวนกลับทันควัน โดยไม่ลืมถลึงตาจ้องมองลูกน้องคนสนิทที่บังอาจนินทาเขา แต่จะว่าไปแล้ว สิ่งที่ทิมนินทาต่อว่านั้น เห็นจะเป็นเรื่องจริงทุกประการ เพราะชีวิตนี้นอกจากมารดาและพี่สาวคือรัณชิดาแล้ว เขาไม่เคยให้ความสนใจผู้หญิงคนไหนอีก ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนอยู่ในสายตาของเขาแม้แต่คนเดียว
“พ่อเลี้ยง...ได้ยินด้วยหรือครับ อุตส่าห์นินทาเบาๆ แล้วนะเนี่ย”
ทิมมองค้อน ต่อว่าผู้เป็นเจ้านายเบาๆ ที่ดันหูดีได้ยินไปทุกเรื่อง ขนาดว่าตัวเขานินทาเสียงแผ่วเบาแล้ว พ่อเลี้ยงก็ดันได้ยินอีก
“เบาบ้านแกนะสิ เสียงแกดังยิ่งกว่าโทรโข่งอีก พูดทีได้ยินไปถึงห้องรับแขกโน้น”
พ่อเลี้ยงคิวากรต่อว่าลูกน้องคนสนิทอีกครั้ง พอเดินเข้าไปใกล้ทิมซึ่งเป็นหนุ่มชาวอีสานที่ดั้นด้นมาทำงานไกลถึงแดนเหนือสุดของประเทศไทย ก็ยกมือเขกไปบนศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ พลางถามต่อด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ
“จะตอบได้หรือยังว่า คุณเมธนีนี้คือใครกัน”
ทิมยกมือขึ้นลูบตรงบริเวณที่ได้รับแจกมะเหงกจากผู้เป็นนาย พลางก้าวเท้ายาวๆ ตามร่างสูงใหญ่ล่ำสันที่กำลังเดินลงไปยังห้องรับแขก โดยไม่ลืมตอบคำถามในก่อนหน้านี้
“คุณเมธวีเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่เลี้ยงรัศมีกับพ่อเลี้ยงเกิดแก้วที่อยู่ไร่ถัดไปจากไร่ของเราราวๆ 5 กิโลฯ นะครับ และคุณเมธวีเป็นรองนายกอบต. ด้วยครับ”
คราวนี้พ่อเลี้ยงคิวากรชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน จนคนที่เดินตามหลังมาติดๆ และพูดรายงานชีวประวัติของอาคันตุกะสาวอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงกับหยุดไม่ทันชนร่างสูงใหญ่กำยำของผู้เป็นนายเข้าอย่างจัง
“ไอ้ทิม เดินดูตาม้าตาเรือบ้างสิวะ”
พ่อเลี้ยงคิวากรหันมาตวาดด่าลูกน้อง ก่อนจะเอ่ยแขวะอีกฝ่ายต่อ รู้สึกหมั่นไส้จับใจที่ทิมรู้เรื่องราวของลูกสาวบ้านอื่นเป็นอย่างดี
“ดูเหมือนแกจะรู้เรื่องของผู้หญิงคนนี้ไปทุกอย่างเลยนะไอ้ทิม”
ทิมหัวเราะเบาๆ แสดงอาการเขินอายให้เห็นอยู่บ้างเล็กน้อย แล้วพูดถึงชีวประวัติของเมธวีต่อตามที่ตนเองสืบทราบมาจากฝีปากของชาวบ้านในละแวกนี้
“คุณเมธวีเป็นรองนายกอบต. ได้ก็เพราะอำนาจบารมีของพ่อแม่ของเธอที่ช่วยซื้อตำแหน่งให้ ถึงจะเป็นตำแหน่งหน้าที่การงานที่ต้องแลกมาด้วยน้ำเงิน แต่ผมก็เห็นว่า เธอทำงานเก่งมากๆ เลยนะครับ”
น้ำเสียงที่เอ่ยถึงเมธวีอย่างชื่นชม ทำเอาพ่อเลี้ยงคิวากรต้องมองหน้าลูกน้องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ด้วยความเวทนา รู้ว่าลูกน้องของตนเองกำลังเข้าข่ายเป็นจำพวก หมาเห่าเครื่องบิน หมายปองในหญิงที่สูงส่งมีฐานะ ทั้งๆ ที่รู้ว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้
“ตัดใจเถอะไอ้ทิม ดอกฟ้าอย่างเมธวีไม่มีทางมามองหมาวัดอย่างแกหรอก”
คำพูดตรงๆ ของพ่อเลี้ยงคิวากร ทำให้สีเลือดต้องจางหายไปจากใบหน้าของทิม ก่อนที่เจ้าตัวจะทำหน้ามุ่ยตัดพ้อต่อว่าเจ้านายทันที
“โธ่...พ่อเลี้ยง ไม่ให้กำลังใจไอ้ทิมเลยนะครับ”
“ทำไมต้องให้กำลังใจด้วยวะ ข้าพูดเรื่องจริงทั้งหมด เมธวีคงไม่มองชาวไร่ชาวสวนอย่างพวกเราหรอก อย่างเธอต้องระดับลูกปลัด ลูกนายอำเภอถึงจะเหมาะสมกัน”
พ่อเลี้ยงคิวากรพูดแทงใจดำของลูกน้องคนสนิทอีกหน เขาไม่อยากให้ทิมปักใจหลงรักเมธวีไปมากกว่านี้ จึงเอ่ยพูดให้ลูกน้องได้คิด ไม่เช่นนั้นรังแต่จะเจ็บปวดใจไปมากกว่าเดิม กับการมอบความรักให้กับดอกฟ้าแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่อาจเอื้อมไปแตะต้องได้
คำพูดของพ่อเลี้ยงคิวากร ได้ซึมเข้าสู่โสตประสาทของผู้เป็นลูกน้อง ทิมตีหน้าสลดพยักหน้างึกๆ เห็นด้วยกับคำพูดของเจ้านาย แต่กระนั้นก็ไม่วายเอ่ยแย้งออกมาอีกหน
“คุณเมธวีอาจจะไม่สนใจชาวไร่ชาวสวน ที่กระจอกๆ อย่างผม แต่ถ้าเป็นพ่อเลี้ยง ซึ่งเป็นเจ้าของไร่นับร้อยๆ ไร่และรวยมากๆ คุณเมธวีต้องให้ความสนใจอย่างแน่นอนครับ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ตามจีบพ่อเลี้ยงหรอกครับ”
พ่อเลี้ยงคิวากรลอบถอนหายใจ ขณะได้ยินคำพูดของทิม
“โลกมันกลับตาลปัตรหรือยังไงวะไอ้ทิม แต่ก่อนเคยได้ยินว่า ผู้ชายตามจีบผู้หญิง ในสมัยนี้กลับได้ยินคำว่า ผู้หญิงตามจีบผู้ชายแทน”
“ก็พ่อเลี้ยงของไอ้ทิมหล่อเหลาร่ำรวยปานนี้ สาวๆ คนไหนก็หมายปองกันทั้งนั้นแหละครับ”
ทิมยกยอปอปั้นผู้เป็นนาย พร้อมกันนั้นก็ขยับกายบึกบึนใหญ่โตของคนที่ใช้แรงงานมาตลอดทั้งชีวิต เข้าไปใกล้เจ้านายหนุ่มอีกนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดต่อโดยไม่ลืมชม้ายตาให้กับเจ้านาย เลียนกริยาสาวประเภทสองที่ตนเองเคยดูตามละครทีวี
“ถ้าผมเป็นผู้หญิงนะฮ่ะ ผมก็จะจีบพ่อเลี้ยงเหมือนกัน คนอะไร? ทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งนิสัยดี ถ้าได้เป็นสามีสงสัยจะโชคดียิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งอีก”
สิ้นคำพูด คนที่ทำท่าทางมีจริตจะก้านเลียนกริยาของสาวประเภทสองก็ได้รับบาทาหนักๆ ที่ซัดลงไปบนลำตัวเป็นการตอบแทน