บทที่ 1
“วางลงเบาๆ นะลูก”
ดอกเบญจมาศสีขาวช่อเล็กถูกวางลงตรงหินอ่อนด้านหน้าเหนือ ขึ้นไปเป็นชื่อของผู้วายชนม์ที่หลับใหลอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ สถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้นำพาดวงจิตของพวกเขาออกไปจากโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทุกข์โศกและความเศร้าทั้งหลายที่วนเวียนอยู่ไม่รู้จบสิ้นให้ได้พบซึ่งความสงบสุขที่แท้จริงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
มือน้อยๆ ของเด็กหญิงวัยสองขวบค่อยๆ วางดอกไม้ลงตรงหน้าป้ายหินอ่อนแล้วเดินกลับไปหาผู้เป็นมารดาที่ยืนมองอยู่ด้านหลัง ใบหน้าน้อยๆ นั้นแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนบริสุทธิ์และไร้เดียงสาโดยที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตนเองเพิ่งทำไปนั้นหมายถึงอะไร กุหลาบขาวดอกเล็กถูกวางไว้ใกล้ๆ กับดอกเบญจมาศขาวเมื่อครู่ หญิงสาวจำได้ว่ามันเป็นดอกไม้ที่เจ้าของพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงหน้านี้ชอบที่สุด แม้ว่าเธอจะปลูกมันไว้โดยรอบแล้วก็ตามแต่วันนี้เป็นวันที่พิเศษมากวันหนึ่งเธอจึงนำมันมาให้อีกพร้อมกับดอกเบญจมาศที่หนูน้อยเลือกด้วยตัวเอง นอกจากการนำดอกไม้ที่ชอบมาวางไว้ให้ที่หน้าหลุมศพ เธอก็ทำอะไรเพื่อคนที่จากไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“พี่สิ” หญิงสาวเรียกชื่อของคนที่จากไปเมื่อสองปีก่อนปัจจุบันเหลือไว้แต่เพียงรูปภาพและชื่อที่ติดไว้หน้าหลุมศพ “พายไม่ได้มาเยี่ยมตั้งนาน พี่สิสบายดีนะคะ ปีที่แล้วพายก็ไม่ได้มาเยี่ยมเพราะติดที่ยายหนูไม่สบาย ปีนี้พายพาแกมาหาพี่ด้วยนะ อายุครบสองขวบพอดี เริ่มซนขึ้นทุกวันพูดก็เก่งออดอ้อนก็ที่หนึ่ง ไม่รู้ว่าถ้าโตขึ้นกว่านี้พายจะรับมือไหวรึเปล่า ต้องเหนื่อยกว่าเดิมแน่ๆ พี่สิต้องช่วยพายด้วยนะคะ ช่วยเป็นกำลังใจให้พายแล้วก็คุ้มครองยายหนูของเราให้ปลอดภัยและเติบโตอย่างมีความสุข พายสัญญาว่าจะดูแลแกให้ดีที่สุด พี่สิไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“มุสเทอร์ มุสเทอร์จ๋า...” เสียงเรียกแม่เป็นภาษาเยอรมันปนไทยของหนูน้อยดังมาก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งกลับมาจากการไปเที่ยวชมดอกไม้นานาชนิดที่ญาติของผู้ตายนำมาปลูกไว้โดยรอบของสุสาน เมื่อถึงตัวผู้เป็นแม่หนูน้อยก็กระโจนใส่ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดให้ผู้เป็นแม่รับไว้พร้อมกับกอดคออย่างต้องการออดอ้อนเอาใจ หญิงสาวโอบกอดหนูน้อยเข้าสู่อ้อมอกหอมแก้มนุ่มๆ ของคนตัวเล็กไปหนึ่งฟอดด้วยความเอ็นดู
“มุสเทอร์จ๋า เรากลับบ้านกันได้รึยังคะ หนูพิ้งค์หิวแล้ว” ไม่พูดเปล่ามือเล็กลูบท้องตัวเองพร้อมทำตาปรอยใส่คนเป็นแม่อย่างเรียกร้องขอความเห็นใจ แล้วมีหรือที่คนเป็นแม่จะไม่ใจอ่อนกับลูกสาวสุดที่รัก
“ถ้าอย่างนั้นหนูพิ้งค์ไปบอกลาแม่สิก่อนนะคะ แล้วเราค่อยไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน” หนูน้อยพยักหน้ารับพร้อมกับลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา ‘แม่สิ’ ตรงจุดที่แกวางดอกไม้ไว้ในตอนแรก
“หนูพิ้งค์กลับแล้วนะคะ หนูพิ้งค์หิวแล้ว คุณแม่บอกว่าวันหลังจะมาเยี่ยมแม่สิใหม่ กลับแล้วนะคะ” พูดจบก็โบกมือบ๊ายบายพร้อมเสร็จสรรพ พรพระพายได้แต่นึกโทษตัวเองในใจว่าสิ่งที่เธอสอนลูกนั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าเกิดมีใครมาเห็นเข้า พวกเขาจะคิดว่าลูกสาวเธอเป็นบ้ารึเปล่าที่ยืนโบกมือบ๊ายบายหลุมศพคนตายแบบนั้น
สองแม่ลูกเดินจูงมือกันออกมาจากสุสานหลังจากเสร็จธุระในวันนี้แล้ว เมื่อถึงรถคนเป็นแม่ก็อุ้มหนูน้อยขึ้นนั่งประจำที่เบาะด้านหลังพร้อมรัดเข็มขัดนิรภัยให้ ตรวจเช็คความเรียบร้อยของลูกเสร็จหญิงสาวก็ไปประจำที่ตำแหน่งคนขับก่อนจะออกรถไปด้วยความระมัดระวัง กระทั่งรถวิ่งเข้าใกล้เขตตัวเมืองที่เต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ นานามากมาย เจ้าตัวเล็กที่นั่งเรียบร้อยมาตลอดทางก็แสดงอาการอยากรู้อยากเห็นในทันทีทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่พบเห็นอยู่เป็นประจำ แต่หนูน้อยก็ยังตื่นเต้นกับการได้เห็นรถคันอื่นวิ่งผ่านไปมาหรือแม้กระทั่งต้นไม้ที่ผลัดใบเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล
“มาม็องขา” หนูน้อยเรียกผู้เป็นแม่ด้วยภาษาฝรั่งเศสพร้อมกับน้ำเสียงออดอ้อน ซึ่งจะเป็นแบบนี้แทบทุกครั้งที่เจ้าตัวอยากได้อะไรสักอย่าง บางครั้งพรพระพายเองก็ไม่เข้าใจในตัวลูกสาวเหมือนกันว่าทำไมหนูน้อยจะต้องพูดภาษานั้นภาษานี้สลับกันไปมาทั้งไทย เยอรมัน ฝรั่งเศสบางทีก็มีภาษาอิตาลีกับอังกฤษปนมาด้วย แต่เจ้าตัวน้อยของเธอจะเจาะจงเลยว่าต้องพูดฝรั่งเศสเท่านั้นเวลาที่อยากอะไรสักอย่าง ซึ่งคนเป็นแม่เองก็ยังไม่รู้สาเหตุว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แต่ที่เธอมั่นใจแน่ๆ คือลูกสาวของเธอเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ในด้านภาษามาก
ตอนที่หนูพิ้งค์เริ่มหัดพูด เธอสอนให้ลูกสาวพูดภาษาไทยกับภาษาเยอรมันเท่านั้นแต่ก็มีบางครั้งที่เธอหลุดภาษาฝรั่งเศสออกมา ไปๆ มาๆ หนูพิ้งค์กลับพูดได้ชัดแจ๋วทั้งภาษาไทย ภาษาเยอรมันและภาษาฝรั่งเศสทั้งที่อายุเพิ่งเต็มสองขวบและอีกไม่นานเธอเชื่อว่าลูกสาวของเธอก็คงจะพูดอังกฤษกับอิตาลีได้คล่องก่อนอายุครบห้าขวบแน่ๆ
“ว่าไงคะ เด็กดีของแม่เรียกด้วยน้ำเสียงแบบนี้แสดงว่าต้องอยากได้อะไรแน่ๆ เลย แม่เดาถูกไหมคะ?” เธอเอ่ยดักทางลูกสาวตัวน้อยซึ่งเด็กหญิงพริมาก็ยิ้มอวดฟันน้ำนมขาวที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบเมื่อผู้เป็นแม่รู้ทันความคิด
“หนูพิ้งค์อยากกินไอติมวนิลาค่ะ ที่ร้านพี่กระต่าย” หนูน้อยหมายถึงร้านไอศกรีมที่พนักงานในร้านสวมชุดตุ๊กตากระต่าย “หนูพิ้งค์ชอบ” ไม่พูดเปล่าเด็กน้อยทำท่าทางประกอบให้คนเป็นแม่ดูอีกด้วย พรพระพายได้แต่ยิ้มกับท่าทางลูกสาวที่ดูเหมือนว่าจะรู้ความเกินวัยมากไปซะแล้ว
“ได้ค่ะ มาม็องจะพาไปกิน แต่ต้องเป็นหลังจากที่เราทานข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนูพิ้งค์ตกลงไหมคะ?” หนูน้อยพยักรับอย่างว่าง่าย พรพระพายจึงขับรถมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่เป็นจุดนัดพบในวันนี้
รถยนต์ขนาดกะทัดรัดของหญิงสาวจอดเทียบด้านหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีทางเดินเล็กๆ ขึ้นไปบนเนินเขาในระดับความสูงในที่ไม่น่ากลัวเกินไปนัก เหมาะสำหรับการนั่งชมวิวของเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความแตกต่างแห่งนี้ไปพร้อมกับการทานอาหารเลิศรสที่มาจากหลายเชื้อชาติ เจนีวาถือว่าเป็นเมืองนานาชาติที่ทั่วโลกต่างให้การยอมรับในทุกๆ ด้านและความมีอิสระอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเมืองนี้ทำให้กลายเป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ของเมืองไปโดยปริยาย
“เชิญครับคุณผู้หญิง”