บทย่อ
ผู้ชายคนแรก ตั้งท้อง เด็กน้อย สิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นกับวันไนท์สแตนที่ผ่านนานแล้วหลายปีได้ยังไง? มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แต่เขาก็ยังยัดเยียดตัวเองใส่พานให้เป็นพ่อของลูกเธออยู่ได้!
บทนำ 1
เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ
ขายาวๆ ของชายหนุ่มก้าวออกมาจากประตูทางออกของโรงแรมที่พักในแถบใจกลางนครเมืองเลสเตอร์ เขามุ่งหน้าออกสู่ถนนสายหลักด้านหน้าโรงแรมที่ตอนนี้กำลังหนาแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาทุกเพศทุกวัยที่เดินผ่านไปมาในช่วงเย็นหลังเลิกงาน แม้จะดูคราคร่ำไปด้วยผู้คน แต่ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์นั่นคือความเงียบสงบตามแบบฉบับเฉพาะของเมืองไว้อย่างดีเยี่ยม เหมือนกับคำขวัญประจำเมืองที่ว่า ‘คงไว้ซึ่งความเสมอต้นเสมอปลายที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง’ เลสเตอร์เป็นเมืองใหญ่อันดับต้นๆ ของอังกฤษและอยู่ไม่ไกลจากลอนดอนซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ
ชายหนุ่มเดินเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบไปจนถึงสวนสาธารณะและทะเลสาบที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองแห่งนี้ เขาสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนเต็มปอดและปล่อยออกมาด้วยความรู้สึกผ่อนคลายซึ่งหาได้ยากเมื่อเทียบกับลอนดอน เมืองที่เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ การเงิน การเมืองไปจนถึงประวัติศาสตร์ แต่สำหรับตัวเขาเองกลับคิดว่าสิ่งที่ไม่มีหรือเป็นสิ่งที่หาได้ยากจากเมืองศรีวิไลอย่างลอนดอนนั้นก็คือความเฉื่อย เฉื่อยที่ไม่ต้องรีบวิ่งตามคนอื่น ไม่ต้องรีบวิ่งตามตลาดหุ้นหรืเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและแปรเปลี่ยนอยู่ทุกช่วงเวลายิ่งกว่าสภาพอากาศในฤดูมรสุม
ขณะที่เขากำลังเก็บเกี่ยวอารมณ์ของความสงบสุขอยู่นั้น วัตถุบางอย่างก็สั่นสะเทือนอยู่ภายในกระเป๋ากางเกงขาสั้นสีขาวยาวคลุมเข่าที่เขาใส่อยู่คู่กับเสื้อโปโลสีกรมท่าที่ใส่แล้วให้ความรู้สึกสบายๆ ไม่อึดอัด ไม่ต้องทำตัวให้ดูน่าเชื่อถือเพราะสามวันจากนี้ไปเป็นวันพักผ่อนของเขาอย่างแท้จริง หลังจากที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานมาตั้งแต่ยังไม่จบไฮสคูลด้วยซ้ำจนตอนนี้ก็เหลืออีกไม่กี่ปีอายุก็จะย่างเข้าเลขสามแล้วการจะหาโอกาสมาอยู่เงียบๆ คนเดียวแบบสบายใจๆ แบบนี้คงเป็นเรื่องยากไปอีก ฉะนั้นเขาจะใช้เวลาสามวันที่มีอยู่อย่างน้อยนิดให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อชดเชยช่วงเวลาชีวิตตอนวัยรุ่นที่ขาดหายไปของเขาให้สมบูรณ์
“ว่าไง? ทำไมถึงโผล่หัวโทรมาป่านนี้”
ชายหนุ่มรับสายใครคนหนึ่งที่เขานัดไว้เพื่อเป็นเพื่อนเที่ยวด้วยตลอดเวลาสามวันที่เขาอยู่เมืองนี้ เพราะตอนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยในลอนดอนนั้น เขาก็เคยได้มีโอกาสมาเมืองนี้อยู่สองสามครั้งเนื่องจากใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟจากลอนดอนไม่นานแค่ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น แต่เป็นการมาแบบไปเช้าเย็นกลับและส่วนมากก็จะจำกัดอยู่แค่ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยเท่านั้น เขาจึงเลือกมาพักผ่อนที่เมืองนี้ด้วยเหตุผลที่ว่าอยู่ใกล้กับลอนดอนและเป็นเมืองที่เขายังไม่ได้มาสัมผัสอย่างจริงจัง
“ก็ไม่ว่าไงหรอก แค่จะถามนายว่าลงทุนลางานมาเที่ยวเมืองเลสเตอร์ทั้งที นายจะอยู่แค่สวนสาธารณะกับทะเลสาบแค่นั้นเหรอ?”
ชายหนุ่มยิ้มเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ก่อนจะหันมองไปด้านซ้ายมือของตนที่เป็นภาพของผืนน้ำที่นิ่งสงบ
“แล้วตอนนี้นายอยู่ที่ไหน?” เขาถามกลับอีกฝ่ายเพราะว่าจริงๆ แล้วตามที่คุยกันไว้คือหมอนั่นจะต้องมารับเขาตอนบ่ายสามโมง เพื่อไปเที่ยวชมเมืองตามโปรแกรมที่เจ้าถิ่นเตรียมไว้ แต่ก็เงียบหายไปและติดต่อไม่ได้จนเขาต้องเดินออกจากโรงแรมมาเรื่อยๆ จนมาถึงสวนสาธารณะแห่งนี้
“ที่นัดกันไว้คือบ่ายสามโมงไม่ใช่เหรอ? แต่นี่มันจะหกโมงเย็นแล้วนายเพิ่งโทรกลับมาทั้งๆ ที่ฉันติดต่อนายไปตั้งหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ก็ติดต่อไม่ได้”
“โธ่! ใจเย็นๆ น่า มาเที่ยวทั้งทีอย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ ฉันแค่อยากให้นายได้พักผ่อนก่อนที่จะเที่ยวกันแบบนอนสต็อบเลยยังไงล่ะ”คู่สนทนารีบแก้ตัวเมื่อชายหนุ่มมีน้ำเสียงคล้ายจะไม่พอใจที่ตนผิดเวลานัด
“ขอบใจ! แต่ฉันลงเครื่องมาตั้งแต่เที่ยงถึงโรงแรมตอนบ่ายโมงเศษๆ มีเวลาพักเยอะกว่าจะถึงบ่ายสาม อีกอย่างคนที่ทำให้ฉันอารมณ์เสียก็คือนาย!” ปลายสายไม่พูดอะไรต่อแต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดเพราะชินแล้วกับพฤติกรรมการพูดตรงๆ แบบนี้และชายหนุ่มเองก็ชินกับนิสัยชอบผิดเวลาของอีกฝ่ายเช่นกันเพราะทั้งคู่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนจบปริญญาโท ต่างฝ่ายจึงไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองกันจริงจังอะไร อย่างมากก็แค่โวยวายให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดเท่านั้นเอง
“ฉันอยู่ห่างจากนายมาประมาณเศษหนึ่งส่วนสามไมล์ที่สามนาฬิกา ให้เวลาสิบนาทีเดินเร็วๆ เข้าล่ะ”
“เดี๋ยวๆ กิล กิล” แล้วคู่สนทนาของเขาก็วางสายไปซะอย่างนั้น โดยที่เขายังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ
เมื่อมาถึงจุดนัดหมายชายหนุ่มก็พบว่ามันเป็นสถานบันเทิงที่ตกแต่งแบบบาร์เล็กๆ เหมือนในชนบทอังกฤษดั้งเดิมเพราะเมืองเลสเตอร์ก็ถือว่าเป็นเมืองที่มีความเก่าแก่มากแห่งหนึ่งของอังกฤษ เมื่อเดินเข้ามาภายในของร้านสิ่งแรกที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นก็คือกำแพงและฝาผนังที่ถูกสร้างด้วยหินสีน้ำผึ้งอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมอังกฤษดั้งเดิม
“เฮ้! พอลทางนี้” เสียงของชายคนหนึ่งเรียกเขาจากโต๊ะมุมด้านในสุดของร้าน เขาเดินตรงไปที่โต๊ะก่อนที่ใครอีกคนจะกระโดดออกมาจากที่ไหนสักแห่งของร้านแล้วกอดคอของเขาไว้
“เซททริก!” เขาเรียกชื่อคนที่กระโดดคอเขาไว้ด้วยความแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่นี้
“ไงพอล ไม่เจอกันตั้งนานยังขี้หงุดหงิดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบกลับเพื่อนสมัยเรียนปริญญาตรีอีกคนหนึ่ง ที่ไม่ได้เจอกันนานแล้วนับตั้งแต่เรียนจบ
เซททริกเป็นลูกครึ่งอังกฤษ – ไทย พวกเขาสามคนตกบันไดพลอยโจรได้เป็นเพื่อนรักกันก็เพราะสร้างวีรกรรมไว้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกและถูกทำโทษโดยอาจารย์ให้ใส่กระโปร่งเต้นเชียร์อยู่กลางสนามของมหาวิทยาลัยเพราะพวกเขาดันร่วมมือกันแกล้งรุ่นพี่ผู้หญิงตอนรับน้องใหม่ ทั้งๆ ที่พวกเขาสามคนยังไม่รู้จักกันเลย