บทนำ 2
"ก็ยายนั่นน่าหมั่นไส้มากเลยไม่ใช่เหรอ ทำตัวอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์อังกฤษชี้นิ้วใช้งานคนอื่นไปทั่ว แต่ตัวเองกลับไม่ทำอะไรสักอย่าง” กิลเบิร์ตอดแสดงความคิดเห็นไม่ได้เมื่อพวกเขาพูดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น แล้วอีกสองคนที่เหลือก็พากันร่วมผสมโรงกันอย่างสนุกสนาน
ชายหนุ่มสามคนคุยกันอย่างได้อรรถรสจนกระทั่งมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา เนื่องจากเวลาตอนนี้ก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว “ของฉันเองแหละ” เซททริกเอ่ยขึ้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับและเดินเลี่ยงออกไปคุยด้านนอกร้าน
“มาสนุกกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีทั้งที ยังปล่อยให้คู่หมั้นโทรตามอีกนะ” กิลเบิร์ตแซวขึ้นเพราะเขาเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ยังคงไว้ซึ่งความโสด
“ใครจะไปอิสระเหมือนนาย แฟนไม่มี ครอบครัวพ่อแม่พี่น้องก็ไม่มีใครเป็นห่วง”
กิลเบิร์ตมองหน้าพอลทันทีที่พูดจบ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาทั้งพอลและกิลเบิร์ตจะเป็นเหมือนคู่กัดที่คอยขัดแย้งกันเสมอมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร แล้วก็จะมีแซททริกที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการคอยห้ามมาตลอด แต่หากเวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นก็ไม่มีใครทิ้งใครก่อนเช่นเดียวกัน พวกเขาจะอยู่ข้างกันเสมอจนเท่าทุกวันนี้ แม้ว่าจะต้องแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของแต่ละคนและยากที่จะหาเวลามาพบปะกันได้บ่อยๆ เหมือนในอดีต
“ขอเตกีลาเพิ่มช็อตหนึ่งเร็วๆ ”
“แต่คุณซูซี่เมามากแล้วนะครับ ผมว่าอย่าดื่มต่อเลย กลับบ้านดีกว่าครับ”
เสียงโวยวายของหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งดื่มอยู่คนเดียวตรงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ดังขึ้นจนทำให้กลายเป็นจุดสนใจของลูกค้าคนอื่นๆ รวมทั้งโต๊ะของพวกเขาด้วย โดยเฉพาะกิลเบิร์ตที่ทอดสายตามองหญิงสาวคนนั้นตั้งแต่ที่หล่อนเดินเข้ามานั่งในร้านได้สักพักแล้ว เท่าที่ดูเธอคนนั้นกำลังทะเลาะกับบาร์เทนเดอร์อยู่
“บอกว่าเอาเตกีลามาเพิ่ม นายฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไงกัน” พอลได้แต่ส่ายหัวให้กับหญิงสาวคนนั้นเพราะเขารับไม่ได้ที่เห็นเธอเมาคอพับคออ่อนแล้วยังอยากจะเดิมต่อ แถมยังต่อว่าพนักงานว่าฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องทั้งๆ ที่เป็นตัวเองต่างหากที่พูดไม่เป็นภาษาเพราะเมาจนลิ้นรัวพันกันไปหมดแล้ว
ทั้งคู่นั่งดูเหตุการณ์ของหญิงสาวขี้เมากับบาร์เทนเดอร์ต่อ โดยไม่มีใครคิดจะลุกไปให้ความช่วยเหลือเธอเลยจนกระทั่งเจ้าของร้านมาเคลียร์ด้วยตัวเอง ถึงกระนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ตั้งท่าจะดื่มต่ออย่างเดียว
“เมาเละแบบนั้นทำไมเขาไม่ให้การ์ดมาหิ้วปีกพาออกไปนอกร้านให้จบๆ เรื่องไป ไม่เกรงใจลูกค้าคนอื่นเลย” กิลเบิร์ตที่เริ่มขัดหูขัดตากับสิ่งที่เห็นพูดขึ้นเพราะเขาเริ่มรำคาญ ผู้หญิงคนนี้ทำให้บรรยากาศการนั่งดื่มเหล้าแบบชนบทดั้งเดิมที่กำลังไปได้สวยของเขาพังไม่เป็นท่าเพราะหมดอารมณ์ ทั้งที่ตอนแรกเขาก็นั่งมองเธออยู่นานเพราะความสวยของเธอสะดุดตา แต่ถ้าเป็นแบบนี้เขาเองรับไม่ได้เช่นเดียวกัน
“เธอเป็นลูกค้าประจำครับ เมาแบบนี้เกือบทุกคืนและยังเป็นลูกสาวคนเดียวของหุ้นส่วนร้านนี้ด้วยครับ” บริกรคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ โต๊ะของพวกเขาพูดขึ้น ทั้งคู่จึงได้แต่พากันพยักหน้ารับรู้ในความ ‘เส้นใหญ่’ ของผู้หญิงคนนั้น
“พี่สิ!”
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาดังเรียกคนเมาที่ดูท่าว่ากำลังจะมีเรื่องกับบาร์เทนเดอร์ เสียงของเธอดังมากจนกลบเสียงเพลงคันทรีป็อปที่เปิดกล่อมเบาๆ เพราะใกล้จะถึงเวลาปิดร้าน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น พี่สิพี่เป็นอะไรไป ยังสติดีอยู่รึเปล่า” หญิงสาวผู้มาใหม่พูดรัวๆ ออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพของลูกพี่ลูกน้องของเธอที่เกิดก่อนเธอเพียงหนึ่งปีในสภาพที่น่าเหลือเชื่อจนเธอคิดว่าตัวเองกำลังฝัน
“พาย” คนเมาเรียกชื่อน้องสาวเสียงอ้อแอ้
“พี่สิ” พรพระพายรู้สึกใจคอไม่ดี ตั้งแต่เด็กๆ สิริศรไม่เคยมีสภาพที่เธอคิดว่าอีกฝ่ายจะ ‘แย่’ ได้มากขนาดนี้ แต่ไหนแต่ไรมาสิริศรก็มักจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เธอเห็นอยู่เสมอ ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้มากราวกับเป็นคนละคน สายตาของเธอกวาดมองไปรอบๆ โต๊ะที่สิริศรนั่งอยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยแก้วเหล้าเปล่าวางเรียงรายเกลื่อนกลาดอยู่รอบตัวเต็มไปหมด
“อย่าบอกนะว่าแก้วเหล้าพวกนี้เป็นของพี่!” น้ำเสียงของเธอแข็งกร้าวขึ้นเมื่อคิดว่าพี่สาวตนดื่มเหล้าหนัก ทั้งๆ ที่สิริศรไม่ใช่คนชอบดื่มและเธอก็จดจำพี่สาวในภาพลักษณ์นั้นมาตลอด เมื่อมาเห็นพี่สาวเป็นแบบนี้เธอจึงรู้สึกผิดหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งอีกฝ่ายนั่งเงียบเหม่อลอยไม่ยอมพูดจาก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่
“พี่สิ! ถ้าพี่จะโทรเรียกพายให้มาหาเพื่อจะมาดูพี่นั่งเงียบใบ้กินไม่พูดไม่จาแบบนี้ พายก็จะกลับ” คนเมายังนั่งนิ่งกับสิ่งที่น้องสาวพูด จนคนเป็นน้องเริ่มหงุดหงิด แค่มาเห็นสิริศรในสภาพแบบนี้ก็ลดคะแนนความชื่นชมจากเธอไปเยอะแล้ว ยังจะมานั่งนิ่งเป็นร่างไร้วิญญาณไม่ได้ยินที่เธอพูดอีก เป็นใครก็อดโมโหไม่ได้รวมทั้งตัวเธอเองด้วย
“ได้! ถ้าอย่างนั้นก็นั่งกลุ้มจมกองทุกข์อยู่แบบนี้ต่อไป ในเมื่อเลือกที่จะไม่พูดเองก็ช่วยไม่ได้ เพราะพายไม่ได้บินจากสวิสมาเลสเตอร์เพื่อดูคนเมาแถมยังเป็นใบ้อีกด้วย”
คนแอบดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ อย่างพอลและกิลเบิร์ตเผลอมองหน้ากันด้วยความบังเอิญ หญิงสาวคนนั้นมีอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกเขาละสายตาจากเรื่องนี้ไปไม่ได้ ทั้งที่ปกติก็ไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่สำหรับเรื่องนี้ถือว่าเป็นกรณียกเว้น
“พี่เลิกกับเขาแล้วพาย พี่เลิกกับครูซแล้ว” สิริศรพูดขึ้นลอยๆ แล้วก็ฟุบหน้าร้องไห้กับเคาน์เตอร์บาร์ ดีที่ตอนนี้ลูกค้าในร้านเหลืออยู่เพียงสองสามโต๊ะเท่านั้นและส่วนใหญ่ก็เมา จึงไม่มีใครเห็นที่เธอกำลังร้องไห้มากนัก