2. เดินทางถึงประเทศไทย【2】
อีกฟากหนึ่งของภูเก็ต
ร้านค้าเล็ก ๆ ในตึกสองคูหา ข้างบนทำเป็นที่พักอาศัย ข้างล่างทำเป็นร้านอาหารตามสั่ง อยู่ไม่ไกลจากสถานบันเทิงขึ้นชื่อของเมืองป่าตอง ถึงแม้ว่าร้านค้าจะไม่ใหญ่โตแต่กลับมีลูกค้ามาอุดหนุนกันอย่างคับคั่งในช่วงเย็น ลูกค้าส่วนมากคือชาวบ้าน หมอนวดแผนไทย เหล่าฝีเสื้อกลางคืน และพนักงานโรงแรมต่าง ๆ ทำเอาใครบางคนต้องทำงานหนักกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ในร้านอาหารตามสั่งที่ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจนี้ ปรากฏหญิงสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มคนหนึ่ง ที่ดูไม่เข้ากับสภาพแววล้อมรอบข้างเลยแม้แต่น้อย เธอยืนอยู่หน้ากระทะมาสักพักใหญ่แล้ว ซ้ายมือมีเมนูอาหารเสียบอยู่กับแท่งเหล็ก มือเรียวบางจับตะหลิวและกำลังทำผัดกะเพราเนื้อตามคำสั่งซื้อของลูกค้าอยู่
“นารา ผัดพริกแกงหมู โต๊ะห้าหนึ่งจาน” เสียงของหญิงมีอายุเลยวัยกลางคนไปเล็กน้อยตะโกนบอกลูกสาวที่กำลังทำอาหาร ก่อนจะหยิบจานข้าวราดแกงที่กำลังส่งกลิ่นหอมไปทั่ว เสิร์ฟที่โต๊ะของลูกค้าอย่างขะมักเขม้น
“จ้ะแม่” นารา หญิงสาววัยยี่สิบปลาย ๆ ตอบรับด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่โทรมหน้า น้ำมันจากกระทะกระเด็นโดนแขนของเธอเล็กน้อย แต่ด้วยความชิน เธอจึงไม่รู้สึกอะไร
“น้อง น้ำแข็งเปล่าแก้วหนึ่ง”
“หยิบได้ที่ด้านในสุดของร้านเลยจ้ะพี่”
“เก็บตังค์ น้อง”
“แม่ คิดเงินโต๊ะเจ็ดหน่อยจ้ะ”
“ขอเบอร์หน่อยได้ไหม”
“ฉันไม่มีเวลาคุยกับพี่หรอก เชื่อเถอะ” นาราหันไปตอบคำถามของชายวัยกลางคนท่าทางชีกอคนหนึ่งที่กำลังยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้เธอ หญิงสาวยิ้มอย่างเป็นมิตรและปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ก่อนจะหันไปทำอาหารต่อ
“ขอหน่อยไม่ได้เหรอ เผื่ออยากจะโทรสั่งอาหารไง”
“ถ้าจะโทรสั่งอาหาร โทรเบอร์ที่ติดอยู่ตรงโน้นได้เลยจ้ะ” นาราตอบพร้อมกับผายมือไปที่ผนังอีกด้านหนึ่งของร้าน
ตรงนั้นมีเบอร์โทรศัพท์ของแม่เธอโชว์หราอยู่ ชายคนนั้นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“พี่อยากได้เบอร์ของน้องมากกว่านี่”
“เบอร์ใครก็โทรติดเหมือนกันนั่นแหละ” นาราเริ่มพูดด้วยเสียงที่ห้วนขึ้น
“แต่ว่า...”
“เฮ้ย ไอ้หนุ่ม ลูกสาวฉันเขาไม่ให้ก็อย่าไปเซ้าซี้สิวะ” แม่ของนาราตะโกนมาจากทางด้านหลังอย่างไม่สบอารมณ์ ทำเอาชายชีกอถึงกับสะดุ้งและรีบเดินออกไปจากร้านทันที
นาราหันมาส่งยิ้มให้แม่เป็นเชิงขอบคุณ ที่ทำให้เธอหลุดพ้นจากคนพวกนี้เสียที
“ขอบคุณนะจ๊ะแม่”
“บางทีการมีลูกสาวสวยก็ปวดหัวเหมือนกันนะเนี่ย” แม่ของนาราพูดติดตลก พลอยทำให้หญิงสาวเผลอหัวเราะตามไปด้วย
เอาจริง ๆ ที่แม่ของเธอพูดก็ไม่ผิดนัก นาราเป็นผู้หญิงที่สวยมากจนสะดุดตาของหนุ่ม ๆ ในละแวกนี้ เรียกได้ว่าความสวยของเธอเทียบกับเหล่าดารานางแบบชั้นนำของประเทศได้เลยเสียด้วยซ้ำ
จึงไม่แปลกเลยที่จะมีหนุ่มน้อยใหญ่มาขายขนมจีบให้เธออยู่เสมอ แต่เมื่อนาราบอกว่าเธอมีลูกแล้ว ผู้ชายเหล่านั้นต่างพากันหนีหายไปหมด
ใช่แล้ว เธอมีลูกแล้วจริง ๆ
“แม่ครับ กล้าหาญหิวข้าวครับ” เด็กชายวัยสี่ขวบวิ่งงอแงเข้ามาหานารา
“รอเดี๋ยวนะครับ เดี๋ยวแม่หาข้าวให้กิน”
“ครับ” กล้าหาญพยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนจะวิ่งไปหา นภา คุณยายของเขาที่เริ่มจะว่างบ้างแล้วหลังจากที่ไล่เสิร์ฟอาหารจนครบทุกโต๊ะ
“กล้าหาญของยายหิวแล้วเหรอครับ”
“ครับ คุณยาย”
“รอก่อนนะ แม่หนูยังทำงานไม่เสร็จเลย”
“ได้ครับ” กล้าหาญพยักหน้า
หลังจากนั้น สองยายหลานต่างนั่งเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
นาราที่เหลือบมองทั้งสองคนถึงกับยิ้มกว้างออกมา อย่างน้อย แค่ได้เห็นทั้งสองคนมีความสุข เธอก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว
ฟุ่บ
อีริคทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มภายในห้องของโรงแรมด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจากประตูบานเลื่อนที่เป็นกระจก ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบอีกครั้งในความสูงระดับตึกสิบห้าชั้น มันเงียบจนอีริคเกือบจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นอย่างสม่ำเสมอ
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูและกดเข้าแอพพลิเคชั่นโซเชียลมีเดียสุดฮิต เลื่อนจอไปยังไม่ทันจะถึงไหน ก็เห็นเซลีนโพสต์รูปภาพของเธอกับครอบครัว สีหน้าดูมีความสุข
ไม่รู้ว่าทำไมอีริคถึงได้เผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ คงจะดีกว่านี้ถ้าคนที่อยู่เคียงข้างเธอในรูป...เป็นเขา
“ดูมีความสุขจังเลยนะ” อีริคพึมพำขณะที่กำลังยิ้ม เขากำลังจะเลื่อนนิ้วไปพิมพ์คอมเมนต์ แต่ความรู้สึกบางอย่างฉุดรั้งเขาไม่ให้ทำแบบนั้น จึงทำได้เพียงแค่กดหัวใจให้เท่านั้นเอง
“ให้มันเป็นไปแบบนี้แหละ ดีแล้ว” อีริคพูดกับตัวเองก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ข้างกาย
ความเหนื่อยล้าสะสมทำให้ชายหนุ่มเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
หลังปิดร้าน นารานั่งนับเงินที่เป็นรายได้ของวันนี้บนโต๊ะไม้ตัวเก่า ข้างกายมีเครื่องคิดเลขคู่ใจที่ใช้มานานหลายปีเพื่อใช้ในการคำนวณ นภาเดินมานั่งข้าง ๆ ลูกสาวและเหลือบตามองสมุดบันทึกรายรับรายจ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ
“วันนี้กำไรเยอะไหม”
“เยอะจ้ะ” นารายิ้มกว้างอย่างมีความสุข
“กล้าหาญหลับแล้วเหรอจ๊ะ”
“อืม เมื่อกี้เล่นกับแม่จนเหนื่อย ตอนนี้หลับไปแล้ว”
“วัยกำลังซนก็แบบนี้แหละจ้ะ” นาราหัวเราะ แต่นภากลับมีสีหน้าที่กังวลใจไม่น้อย เธอเอื้อมมือไปลูบผมลูกสาวอย่างเบามือ
“ลูกคิดจะบอกความจริงกับกล้าหาญไหม”
“...” นาราชะงักไปเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมามองผู้เป็นแม่และครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ
“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกจ้ะ ให้กล้าหาญโตกว่านี้ก่อนค่อยบอกก็ได้”
“ถ้ากล้าหาญโตมากกว่านี้ เขาจะยอมรับความจริงได้ไหมล่ะ”
“ไม่รู้สิจ๊ะ” นาราส่ายหน้า
“แต่ตอนนี้หนูก็ยังไม่พร้อมบอกเขาจริง ๆ”
“แม่เข้าใจ แต่ยังไงสักวันนาราก็ต้องบอกความจริงกับกล้าหาญ เขาควรได้รู้เรื่องนี้”
“หนูรู้จ้ะ” นาราพยักหน้าก่อนจะมองไปที่ห้องนอนของกล้าหาญ สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เธอถอนหายใจออกมาสั้น ๆ ก่อนจะหันกลับไปทำบัญชีรายรับรายจ่ายต่อ