บทที่ 3 ข่าวลือ
วันรุ่งขึ้น เจียงยิ่งหลีตื่นเพราะเสียงไก่ขันด้านนอก นางลืมตาขึ้นเห็นเพดานเหนือหัวสีดำมืดแล้วตะลึงไปเล็กน้อย อย่างยังปรับตัวไม่ได้
อ้อ เมื่อวานนางข้ามมิติมา ซ้ำยังแต่งงานแล้วด้วย!
ท้องหิวจนร้องโครกคราก เจียงยิ่งหลีขี้เซาอีกครู่หนึ่งที่เตียง ก่อนจะคลานลุกขึ้นมา
นางอยากผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเปื้อนเลือดสกปรกที่ใส่อยู่ออก แต่ตระกูลเจียงได้เงินสินสอดไปและให้นางมาแต่งงานแทน กลับตระหนี่ให้เพียงเสื้อผ้าที่ถูกปะชุนนับไม่ถ้วนสองชุดเป็นสินสมรสเจ้าสาวเท่านั้นเอง
เจียงยิ่งหลีไม่มีทางเลือก ได้แต่เลือกตัวสีกรมท่ามาสวม ตอนสวมเสื้อผ้าพอเห็นไขมันขาวเนียนที่เอวก็อยากร้องไห้ขึ้นมาอีก
การข้ามมิตินี่มันยากเกินไปแล้ว!
นางเดินออกมาจากในห้อง มองสำรวจห้องที่จะต้องอยู่ต่อไป
นี่เป็นบ้านหญ้าแฝกที่เก่ามาก มีห้องหลักห้องหนึ่ง เรือนข้างอีกสองห้องครึ่ง ที่กำแพงโดนน้ำฝนชะล้างจนกลายเป็นดินโคลนแล้ว ด้านนอกใช้เพียงหญ้าแห้งล้อมรอบเรือนน้อยเป็นรั้วเอาไว้ ด้านข้างเป็นห้องครัวเล็กที่ระบายอากาศ
บรรยายได้คำเดียวเลยว่า---จน!
เจียงยิ่งหลีส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ
นางไม่เห็นเสิ่นจวิ้นอี้ ซ้ำยังท้องหิว เลยไปหาของกินที่ห้องครัวก่อน
บนเตาถือว่าสะอาดสะอ้านดีอยู่ มุมกำแพงวางถังน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง
นางพลิกหาแป้งหมี่มาได้ครึ่งถุงจากในตู้ของห้องครัว นอกจากนี้ห้องครัวว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ข้าวสักเม็ดก็ไม่มี
เจียงยิ่งหลีเบ้ปาก ได้แต่ควักแป้งหมี่ออกมาจากในถุง ใส่น้ำลงไปนวด ทำเป็นบะหมี่แป้งปั้นเรียบง่ายออกมาสามชาม
นางเอาบะหมี่แป้งปั้นที่ทำเสร็จแล้วไปห้องหลัก
พอสายตาปรายไปทางขวา นางนึกขึ้นมาได้ว่าแม่ของเสิ่นจวิ้นอี้เหมือนจะป่วยอยู่ ในเมื่อนางคิดจะอยู่ต่อ ก็ต้องทำอะไรสักหน่อย
ดังนั้นนางเลยยกบะหมี่แป้งปั้นชามหนึ่ง กำลังจะเคาะประตู
“เจ้าทำอะไรน่ะ?”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นที่ด้านหลัง
เจียงยิ่งหลีตะลึง หันไปมองก็เห็นเสิ่นจวิ้นอี้เนื้อตัวชุ่มไปด้วยน้ำ ในมือยังหิ้วห่อยากระดาษมาสองห่อ เขาจับไม้เท้าเดินกะเผลกเข้ามา และขวางไว้หน้าประตูด้วยสีหน้าหวาดระแวง
“ข้าทำข้าวเช้าไว้ คิดว่าท่านป้าน่าจะหิวแล้วเหมือนกัน เลยจะนำมาให้นางน่ะ” ระหว่างพูด นางยังยกน้ำแกงแป้งปั้นในมือขึ้นเป็นหลักฐาน “เวลาป่วยยิ่งควรกินข้าวให้เป็นเวลานะ จะได้หายไวๆน่ะ”
เสิ่นจวิ้นอี้ตกใจ เหมือนจะรู้ตัวว่าเข้าใจนางผิด แก้มเขาเลยแดงเล็กน้อย เขาเม้มปาก รับชามมาอย่างเก้อเขิน “ขอบคุณมาก”
เจียงยิ่งหลีเห็นเขายอมรับชามไป ก็กะพริบตายิ้มมองของที่เขาถือมา “นี่คือยาของท่านป้าใช่ไหม? ไฟของเตาในห้องครัวยังไม่ดับ ข้าต้มยาให้ท่านป้าเองละกัน!”
จะได้ดูไปด้วยเลยว่าเป็นโรคอะไร!
เพียงแต่รอยยิ้มที่นางเข้าใจว่าหวานมาก กลับดูน่าเกลียดน่ากลัวในสายตาคนอื่น
เสิ่นจวิ้นอี้ปัดมือนางออก เบือนสายตาหนี “ไม่ต้อง ข้าทำเองได้”
เจียงยิ่งหลีก็ไม่น้อยใจ “งั้นก็ได้ ในห้องยังมีบะหมี่แป้งปั้นอีกชามหนึ่ง อีกเดี๋ยวเจ้ากลับมากินซะล่ะ ข้าไปกินข้าวละ”
ท้องตนร้องโครกครากด้วยความหิวนานแล้ว!
ต่อให้จะลดความอ้วน ข้าวเช้าก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องกินให้ได้!
เสิ่นจวิ้นอี้พยักหน้ารับคำ ก่อนเปิดประตูเข้าไปในห้อง
ก่อนเข้าไป เขาหันมามองตามแผ่นหลังเจียงยิ่งหลีที่เดินจากไป คิ้วเข้มพลันขมวดน้อยๆ
ไม่รู้ว่านางคิดวางแผนอะไรอยู่กันแน่!
เจียงยิ่งหลีเหลือชามใหญ่ไว้ให้เสิ่นจวิ้นอี้ ส่วนนางนั้นกินชามเล็ก ไม่รู้ว่าเพราะอ้วนหรือเปล่า กินบะหมี่แป้งปั้นชามหนึ่งลงไปแล้ว กลับยังรู้สึกท้องว่างเปล่าอยู่เลย
นางยกชามไปล้าง เสิ่นจวิ้นอี้ยังไม่ออกมา นางคิดๆดูแล้ว เจียงยิ่งหลีหยิบตะกร้าเก่าจากมุมห้องครัว พลางหยิบมีดปังตอขึ้นมาอีก
นางเดินมาเคาะประตูห้องด้านขวา “เสิ่นจวิ้นอี้ ข้าไปขุดหาผักป่าบนเขานะ”
ไม่ได้ยินเสียงตอบของเสิ่นจวิ้นอี้ นางเองก็ไม่สนใจ และเดินออกจากบ้านไปเลย
ในห้อง
เสิ่นจวิ้นอี้กำลังป้อนข้าวให้สตรีวัยกลางคนที่รูปร่างซูบผอมสีหน้าเหลืองซีดคนหนึ่งอยู่ พอได้ยินเสียงจากด้านนอก เขาพลันชะงักไป แต่ไม่นานก็กลับเป็นปกติ
“ท่านแม่ ท่านกินอีกหน่อยสิ ท่านหมอบอกว่า โรคของท่านน่ะต้องกินให้มากถึงจะหายดีได้นะ”
แม่เสิ่นพูดทั้งดวงตาแดงเรื่อ “แม่ทำให้เจ้าลำบากแท้ๆ ตระกูลเจียงรังแกกันมากเกินไปแล้ว ถ้าไม่อยากแต่งมา ก็ไม่ควรให้นางมาแทนสิ!”
“ยังมีท่านป้าของเจ้าอีก เดิมข้าคิดว่าครั้งนี้นางจะยังพอมีความเป็นคนเหลืออยู่บ้าง เมื่อวานนางน่ะเป็นคนรับมา นางต้องรู้แน่ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่! เป็นคนบ้านเดียวกันแท้ๆแต่นางทำไมทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าอย่างนี้! ทั้งๆที่นางรู้ดีว่าเจียงยิ่งหลีนั่นน่ะ แค่กแค่กแค่ก...”
“ท่านแม่ ระวังด้วย” เสิ่นจวิ้นอี้รีบเข้ามาช่วยลูบหลังให้นาง พลางตอบอย่างปากไม่ตรงกับใจว่า “อันที่จริง เจียงยิ่งหลีนาง นางก็ดีนะ.....”
“ดีอะไรกัน แม่แค่ป่วยนะ แต่ไม่ได้หูหนวกตาบอด!ก่อนหน้านี้นางมีสัญญาหมั้นหมายของตนเองแล้ว ยังวิ่งไปยั่วยวนพี่เขยตนเองอยู่เลย ในหมู่บ้านมีใครไม่รู้ว่านางไม่รักนวลสงวนตัวบ้าง? และยังเรื่องก่อนหน้านี้ที่นางทำกับเจ้าอีก...”
“ท่านแม่!” เสิ่นจวิ้นอี้ตัดบทแม่ของเขา
แม่เสิ่นหุบปากฉับพลัน แต่น้ำตากลับกลั้นไว้ไม่อยู่ “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่เรื่องพวกนี้ ต่อไปเจ้ายังจะร่ำเรียนรับราชการได้อย่างไรกัน?”
“นางจะกลายเป็นจุดด่างพร้อยของเจ้าไปชั่วชีวิต! ให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเจ้าไปทั้งชาติ!”
พอคิดถึงผลลัพธ์นี้ แม่เสิ่นก็อึดอัดหน้าอก แทบอยากเข้าไปฉีกกระชากตัวต้นเหตุอย่างเจียงยิ่งหลีให้แหลกคามือเสียจริงๆ
หมู่บ้านเทียนส่วยรายล้อมสองข้างไปด้วยภูเขา ชาวไร่ชาวสวนน่ะคืออยู่ใกล้ภูเขาก็กินของในภูเขา ตอนนี้เป็นปลายฤดูร้อนเข้าต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศเปลี่ยนจากร้อนระอุเป็นเย็นสบาย บนเขามีผักป่าผลไม้ป่าไม่น้อย บรรดาเหล่าสะใภ้และเด็กที่อยู่ว่างๆต่างพากันวิ่งขึ้นเขา
ระหว่างทางมีคนไม่น้อยเห็น เจียงยิ่งหลี ล้วนพร้อมใจกันชี้นิ้วนินทานาง
“ไอ้หยา พวกเจ้าดูสิ นังจิ้งจอกร่านออกจากถ้ำแล้ว!”
“นังจิ้งจอกร่านอะไร ตอนนี้ต้องเรียกนังหมูร่านแล้วล่ะ! เจ้าดูรูปร่างอวบอ้วนของนางสิ ช่างหน้าด้านเสียจริง!”
“นั่นสิ ก่อนหน้านี้พึ่งจะยั่วยวนพี่เขยไป ตอนนี้กลับวิ่งมายั่วยวนเสิ่นจวิ้นอี้เพราะแตกคอกับลูกพี่ลูกน้องตน! เพียงแต่น่าสงสารถงเซิงโม่นัก อยู่ดีๆก็ต้องมาโดนสวมเขา! ต้องการอะไรกันนี่?”
“ถือว่าของคนอื่นดีกว่าน่ะสิ! ต่อไปนางต้องเสียใจแน่ ตระกูลเจียงบอกแล้วมิใช่รึว่าไม่ยอมรับนางแล้วน่ะ? ซ้ำยังแต่งเข้าบ้านเทพเจ้าโรคภัยเสิ่นแล้ว ไม่แน่ว่าไม่นานพวกเราก็คงได้กินอาหารงานศพของนางแล้วล่ะ!”
เรื่องแต่งงานแทนในครั้งนี้ตระกูลเจียงต้องมีบทพูดสำหรับคนภายนอกสิ
เพื่อเป็นหลักประกันให้กับชื่อเสียงของโม่เหลี่ยนโจวกับเจียงชิงโย่ว สุดท้ายเรื่องที่เผยแพร่ออกมากลับกลายเป็นว่า เจียงยิ่งหลีจงใจทำร้ายคนจนสลบเพราะเกิดแตกหักกับเจียงชิงโย่ว และรีบแต่งงานมาขจัดเสนียดจัญไรที่ตระกูลเสิ่นกลางดึก
ถึงแม้ว่าวิธีพูดแบบนี้จะเต็มไปด้วยช่องโหว่ แต่ช่วยไม่ได้ที่ชื่อเสียงของเจียงยิ่งหลีมันฉาวโฉ่นี่นา!
ข้อแรกตระกูลเจียงชอบทำลายชื่อเสียงเจียงยิ่งหลี ข้อสองเป็นเพราะเจียงยิ่งหลีหน้าตาดีเกินไป
นางมิได้ดูสวยสง่างามอย่างที่เป็นนิยมในตอนนี้ แต่เป็นความงามชนิดเย้ายวนดึงดูดแบบนางจิ้งจอก ดวงตางามคู่นันมักจะดูเย้ายวนชวนหลงใหล ทำเอาชายหนุ่มไม่น้อยในหมู่บ้านหวั่นไหวไปตามๆกัน ทำให้ชอบมีคนเอาของมาให้นางอยู่เสมอ
มันทำให้สตรีไม่น้อยในหมู่บ้านพากันเคียดแค้นจนกัดฟันกรอด แอบด่าว่านางนังร่านแพศยาไม่น้อยเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้พึ่งจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาด้วย
เพราะลดความอ้วน ทำให้เจียงยิ่งหลีอาการน้ำตาลต่ำกำเริบ ล้มใส่พี่เขย แล้วดันมีคนมาเห็นภาพนี้เข้า ลือกันไปลือกันมา สุดท้ายก็กลายเป็นนางเปลือยร่างยั่วยวนพี่เขยเสียแล้ว
ผู้คนมักตื่นเต้นกับเรื่องชวนซุบซิบในหมู่บ้านนักแล
ในหมู่บ้านมีคนไม่น้อยเลยที่ชอบเรื่องสนุกไม่สนใจว่าจริงหรือไม่ก็เอาไปเล่าลือกันผิดๆ บ้างว่าเมื่อก่อนเจียงยิ่งหลีก็ไม่รักนวลสงวนตัว ที่จู่ๆก็อ้วนขึ้นมาเพราะเกิดจากนางแท้งลูกที่ท้องระหว่างมีอะไรกับผู้ชายในป่าน้อย บ้างว่าเห็นนางเข้าเมืองไปโรงหมอซื้อยาทำแท้งกับตาตนเอง
ข่าวลือแพร่กันออกไปอย่างมีมูลมีเหตุ อยากจะไม่เชื่อยังยากเลย
ทำให้พอครั้งนี้ตระกูลเจียงปล่อยข่าวออกมา ก็ไม่สนกันเลยว่าน่าเชื่อถือไหม อย่างไรเสียคนส่วนมากพากันเชื่อหมดใจ
โดยเฉพาะเหล่าสตรีที่ก่อนหน้านี้ริษยาเจียงยิ่งหลีอยู่ก่อนแล้ว ก็รีบคว้าโอกาสไว้ ออกมาเสียดสีกันยกใหญ่