บทที่ 10 โสมป่า
ไข่ไก่ในตะกร้านี้ได้ใช้เงินที่เจียงยิ่งหลีเหลือให้ตนเองไปพอประมาณละ นางเก็บไข่ไก่อย่างระมัดระวัง คิดว่าต่อไปทุกวันจะต้มไข่ไก่ให้สามคนในบ้านเพื่อเพิ่มสารอาหารบำรุงสักหน่อย
พอคิดแบบนี้ ไข่ไก่ตะกร้าหนึ่งก็ไม่พอกินอยู่ดี
ตอนนี้เรื่องสำคัญคือต้องหาเงิน!
พอเห็นว่ายังเช้าอยู่ เจียงยิ่งหลีหยิบมีดตัดฟืนขึ้นเขาอีกครั้ง นางอยากจะดูสิว่าจะขุดสมุนไพรอะไรกลับมาได้ไหม
ครั้งนี้นางคุ้นชินกับเส้นทางขึ้นมาก เดินๆหยุดๆ ไม่เพียงได้เห็ดหูหนูกับเห็ดสดใหม่กลับมา ยังเก็บสมุนไพรที่ไม่เจอบ่อยกลับมาไม่น้อย
กระทั่งตอนลงจากเขา นางยังโชคดีได้เห็นโสมป่าต้นหนึ่งอยู่ที่มุม
อาจเพราะโดนหญ้าป่าบดบัง ทำให้ไม่มีใครมาเจอมันไปก่อน
อันที่จริงถ้าให้โสมป่าโตไปอีกหน่อย จะยิ่งขายได้ราคาดีกว่านี้ คุณค่าทางยาก็จะยิ่งดีกว่านี้ แต่ที่นี่มันอันตรายเกินไป เจียงยิ่งหลีเลยได้แต่ขุดไปก่อนละ
นางสายตาเป็นประกาย ถูมือไปมา “เจ้าตัวน้อย อย่ากลัวไปเลย ข้าจะอ่อนโยนให้มาก รับรองจะไม่ทำเจ้าเจ็บแน่นอน!”
นางหยิบมีดตัดฟืนขึ้นมาแหวกดินโคลนออกอย่างระมัดระวัง และขุดออกมาถึงรากอย่างเต็มตัว
พอมองดูโสมป่า นางอดหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไม่ได้ “ขายโสมป่านี้ไป อย่างน้อยต่อไปต้องอยากกินไข่ไก่ก็ได้กิน อยากกินเนื้อก็ได้กินแน่! ข้านี่ช่างโชคดีเสียจริง!”
นางไม่มีแก่ใจจะเดินที่นี่ต่อแล้ว และยัดโสมป่าลงในชั้นล่างของตะกร้า ใช้เห็ดหูหนูปิดเอาไว้ และรีบลงจากเขาไปเลย
รอจนนางเดินทางกลับอย่างลิงโลด กลับมีชายร่างผอมโซวิ่งออกมาจากทางแยกด้านข้าง ทั้งสองไม่ทันระวัง บวกกับน้ำหนักเจียงยิ่งหลีมากเกินไป เลยชนเขาจนล้มลงกับพื้น
ซวยละ!
เจียงยิ่งหลีโอนเอนไปมา พอยืนมั่นคงละ หันไปมองตะกร้าทันที และพบว่าโสมป่าไม่ได้หลุดออกมา ก็ถอนหายใจโล่งอก รีบหันไปขอโทษอีกฝ่ายทันที
“ขอโทษด้วย ข้ามองไม่เห็นเจ้า เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
อย่าโดนกระแทกจนเป็นอะไรนะ! นางไม่มีเงินชดใช้หรอก!
นางโน้มตัวคิดประคองอีกฝ่ายลุกขึ้น
แต่แล้วพึ่งจับแขนเขา อีกฝ่ายกลับเงยหน้าขึ้นมา พอเห็นใบหน้านางชัดเจน ก็รีบถอยกรูดราวกับเจอปีศาจร้าย ปากยังบ่นพึมพำว่า “นังอ้วนอัปลักษณ์ ทำไมเป็นเจ้าล่ะ?”
เจียงยิ่งหลี “?”
นางสงสัยว่าหูฝาดไปหรือเปล่า เลยหรี่ตาถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“เป็นสตรีแท้ๆ กลับทั้งอัปลักษณ์ทั้งอ้วน ไม่อยู่ในบ้านดีๆ ยังมีหน้าออกจากบ้านอีก! ไม่กลัวขายขี้หน้ารึ!” อีกฝ่ายด่าปาวๆ พยายามจะลุกขึ้นมา “ชนจนข้าปวดเอวไปหมด ช่างเถอะ ถือว่าวันนี้ข้าดวงซวยแล้วกัน! ข้าน่าจะรู้ก่อนนะ...”
เจียงยิ่งหลีแน่ใจละคราวนี้ว่า คนผู้นี้รู้จักตน และไม่ชอบหน้าตนพอดูเลย
ดูท่าคงไม่ใช่คนดีที่สนิทสนมอะไรนัก!
นางเองก็ไม่ใช่คนอารมณ์ดี เลยไม่เกรงใจอีก มือที่คิดจะเข้าไปช่วยพยุงเปลี่ยนมาเท้าเอวแทน
“ดูท่าทีช่างพูดของเจ้าแล้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บหรอก งั้นข้าก็วางใจละ เพราะตัวการร้ายน่ะอายุยืนเป็นพันปี! หลีกไป เจ้าขวางทางข้าอยู่!”
พูดจบ นางบิดก้นอวบอ้วนกระแทกผู้ชายคนที่พึ่งลุกขึ้นมากระเถิบออกไป และแบกตะกร้ากลับไปอย่างเดือดดาล
“”ไอ้โหย๋โอ๊ย เจ็บชะมัดเลย... นังอ้วนอัปลักษณ์ ด่าใครตัวการร้ายน่ะ เจ้าแน่จริงก็หยุดเลยนะ!”
เจียงยิ่งหลีขี้เกียจสนใจเขา และออกวิ่งเร็วกว่าเดิม
ใครจะไปเถียงกับคนโง่ล่ะ!
พอกลับถึงบ้าน ก็เห็นเสิ่นจวิ้นอี้ยืนอยู่ในสวน พอเห็นสภาพดูไม่จืดของนาง เขาถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมรึ?”
เจียงยิ่งหลีเดินกระทืบเท้าเข้ามาอย่างเดือดดาล “พึ่งเจอคนโง่คนหนึ่งมา!”
“ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้ละ” นางจัดระเบียบอารมณ์ตัวเอง และยกตะกร้าในมือขึ้นราวกับถือของล้ำค่าด้วยสายตาเป็นประกาย “เสิ่นจวิ้นอี้ ข้ามีเรื่องดีจะบอก”
ถึงแม้ใบหน้าอ้วนเต็มไปด้วยสิวแดงตรงหน้านี้จะดูอัปลักษณ์ แต่ดวงตาของเจียงยิ่งหลีสวยสดใสมาก เสิ่นจวิ้นอี้ตะลึงไปครู่หนึ่ง พลางมองไปยังตะกร้าที่ยื่นมาตรงหน้า เขาขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าขึ้นเขาอีกแล้วรึ?”
เขาเห็นในตะกร้ายังวางเห็ดกับเห็ดหูหนูดำอยู่ด้วย “ทำไมเจ้าหาของมีพิษเช่นนี้กลับมา ดูของสีดำนี่สิ ก่อนหน้านี้คนในหมู่บ้านข้างๆกินเจ้านี่แล้วท้องเสียจนตาย ยังมีเห็ดนี่อีก...”
ระหว่างพูดเขาทำท่าจะหยิบเอาไปทิ้ง
กว่าเจียงยิ่งหลีจะหากลับมาได้มันไม่ง่ายเลย มีหรือจะยอมให้เขาโยนทิ้ง รีบแย่งตะกร้ากลับมา “ของพวกนี้กินได้หมดนะ”
นางกระชากเห็ดหูหนูดำในมือเขากลับมา โยกไปมาพลางบอก “อย่างเห็ดหูหนูดำนี่ ตอนนี้มันสดอยู่ เลยมีพิษอยู่นิดหน่อยจริง”
“แต่พอตากจนแห้งแล้วเอาไปแช่น้ำ ไม่เพียงสารอาหารสูง ยังมีคุณค่าทางยา บำรุงอวัยวะทั้งห้า บำรุงกระเพาะเลือดลมด้วย ประเด็นนะ รสชาติดีมาก!”
เสิ่นจวิ้นอี้เห็นนางเล่าเป็นต่อยหอย ถามอย่างสงสัยออกมาว่า “เจ้ารู้เรื่องยารึ?”
เจียงยิ่งหลีชะงักกึก เมื่อครู่ความเป็นแพทย์นางกำเริบ เลยอธิบายไปอย่างไม่รู้ตัว ไม่ได้คิดอะไรมาก
พอโดนย้อนถามแบบนี้เข้า นางยังไม่ได้คิดจะตอบอย่างไรดี เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังช่วยนางไว้พอดี
“อาจวิ้น ในที่สุดข้าก็หาบ้านเจ้าเจอเสียที!” น้ำเสียงคุ้นเคยทำให้เจียงยิ่งหลีตะลึง
นางหันไปมองตามเสียง คนที่มาคือผู้ชายที่โดนนางชนเมื่อครู่
อีกฝ่ายเห็นเจียงยิ่งหลีก็อึ้งไปเหมือนกัน เขาชี้หน้าโทษนางทันทีว่า “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน? อาจวิ้น นางมาหาเรื่องเจ้าอีกแล้วใช่ไหม?”
เจียงยิ่งหลีเบ้ปากบอก “นี่เป็นบ้านข้า ทำไมข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้! เจ้าสิ เจ้าเป็นใครกัน?”
“ข้าจะบอกเจ้าให้....อะไรนะ ที่นี่เป็นบ้านเจ้า? นี่มันบ้านอาจวิ้นชัดๆ ทำไมกลายเป็นบ้านเจ้า...” ยู่ฉีกวางนึกขึ้นมาได้ว่าระหว่างทางที่มามีคนในหมู่บ้านเดียวกันพูดถึงเรื่องนี้ ก็ได้สติทันที พลันร้องแทบบ้านแตก
“คนในหมู่บ้านพวกเจ้าล้วนพูดกันว่าเจ้าแต่งงานแล้ว อาจวิ้น เจ้า เจ้าคงไม่ได้แต่งงานกับนางหรอกนะ? สวรรค์ นังอ้วนอัปลักษณ์เยี่ยงนี้...”
“เจ้าด่าใครน่ะ?” เจียงยิ่งหลีเห็นเขายังปากเปราะอยู่ ก็ไม่พอใจขึ้นมาละ นางหยิบไม้คานหามที่อยู่ข้างๆขึ้นมาทำท่าจะตีเขา “ข้าอ้วนแล้วทำไม อ้วนเพราะกินข้าวบ้านเจ้าหรือไงกัน?”
“อีกอย่าง เสิ่นจวิ้นอี้เขาแต่งงานกับข้า เขาพอใจ เกี่ยวอะไรกับเจ้าตรงไหนกัน!”
วันนี้นางจะสอนเรื่องแรกในการเป็นคนให้กับคือต้องระมัดระวังคำพูด!
ยู่ฉีกวางไม่คิดว่านางจะลงมือจริง เขารีบวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่ว “ขาของอาจวิ้นโดนเจ้าทำหักแล้ว เขาจะแต่งกับเจ้าได้อย่างไรกัน เจ้าต้องใช้วิธีการสกปรกแน่...”
เจียงยิ่งหลีชะงักมือที่กำลังทำร้ายคน พลางหรี่ตาถามว่า “เจ้าพูดอะไรนะ?”
นางเป็นคนทำให้ขาของเสิ่นจวิ้นอี้เจ็บรึ? นี่เป็นเหตุผลที่แม่เสิ่นต่อต้านนางหรอ?
แต่เพราะอะไรนางไม่มีความทรงจำเรื่องนี้เลยล่ะ?
นางยังคิดจะถามต่อ เสิ่นจวิ้นอี้ยื่นมือมาดึงไม้คานหามออกไปจากมือนาง และปรามว่า “เอาล่ะ อย่าทะเลาะกันเลย นี่เป็นสหายร่วมสำนักของข้า น่าจะมีเรื่องมาหาข้า เจ้าอย่าถือสาเขาเลย”
เขาหันไปมองยู่ฉีกวางอีก “พี่ฉีกวาง ท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไรรึ?”
ยู่ฉีกวางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ถลึงตาใส่เจียงยิ่งหลี พลางกระแอมว่า “ใกล้จะถึงวันสอบเข้าเรียนของสำนักศึกษาหยุนลู่แล้ว ข้ามาเรียกเจ้าไปสมัครรายงานตัวน่ะ”
สำนักศึกษาหยุนลู่ผลิตบัณฑิตที่มีชื่อติดรายชื่อขุนนางไม่น้อย เป็นสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในแดนเหนือ ดังนั้นในการรับสมัครผู้เข้าเรียนใหม่ทุกๆสามปีจะมีนักเรียนมากมายมาแจ้งชื่อเข้าร่วม
เสิ่นจวิ้นอี้เคยอยากไปเข้าเรียนเหมือนกัน
แต่ตอนนี้เขาเม้มปากแน่น และพูดเสียงเรียบว่า “ขอบคุณพี่ฉีกวางมากที่มาบอก ข้าไม่ไปแล้วล่ะ”