บท
ตั้งค่า

ไหว้ศพแม่

บทที่ 4 งานศพสามี

เช้าวันต่อมาเขมจิราและบัลลังก์ไปที่งานศพตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อทำหน้าที่ของภรรยาผู้โศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของสามี แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามของการจัดงานศพสำหรับเธอ เพื่อป้องกันคำครหา มันจึงเป็นเรื่องยากเล็กน้อยที่คนแข็งกระด้างแบบเธอจะต้องแสดงให้หลายต่อหลายคนเห็นว่าเสียใจจริงๆ

บอกตามตรงหากไม่มีรูปภาพไว้อาลัยของอดีตสามี เขมจิราคงจะลืมหน้าเขาไปแล้วแน่ๆ

ใช้เวลาเพียงไม่นานแขกเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในงาน เธอหันไปมองลูกชายที่ยืนอยู่ข้างๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาให้เห็นตามแบบของตระกูลผู้ดีเก่าแก่ แต่ภายในใจคงเศร้าไม่น้อย

ในระหว่างที่งานดำเนินไปเรื่อยๆ บัลลังก์เป็นเพียงแค่เด็กชายคนหนึ่งจึงไม่มีหน้าที่อะไรมากนัก ทำเพียงแค่นั่งนิ่งๆ และพูดต้อนรับแขกเป็นบางครั้ง และแอบได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากคนบางกลุ่มเกี่ยวกับงานศพของศาลาถัดไป

“ว่ากันว่าที่ศาลานั้นเป็นงานศพของคนที่ตายพร้อมกับคุณทักษ์ด้วยล่ะ เธอว่านั่นจริงหรือเปล่า”

“ฉันได้ยินมาเหมือนกันว่าเขาไม่ได้ตายคนเดียว แต่ก็น่าจะเป็นคนขับรถนั่นแหละ”

“ไม่จริงสักหน่อย คนขับรถอะไรจะเป็นผู้หญิงกันล่ะ”

“เอ๊ะ จริงเหรอ?”

“ได้ยินข่าวลือมาว่าพบศพเขานั่งตรงคนขับ ส่วนข้างๆ ก็เป็นศพของผู้หญิงคนนั้นด้วย เธอลองคิดดูสิว่าทำไมคนอย่างเขาต้องมาขับรถเองด้วย บางทีคงมีเรื่องปิดบังไม่อยากให้ใครรู้”

“แปลว่าผู้หญิงคนนั้น…”

“ฉันก็คิดแบบเธอ”

“แล้วทำไมถึงกล้าจัดงานศพข้างกันแบบนี้ล่ะ ไม่กลัวคนอื่นสงสัยงั้นเหรอ ใจกล้าเกินไปหรือเปล่า”

“ก็ตระกูลเทวราชอยากปิดข่าวเอาไว้น่ะสิ พวกเขาบอกว่าคนที่ตายไปด้วยคือพนักงานบริษัท ก็เลยแสดงความรับผิดชอบด้วยการจัดงานศพให้ ไม่อย่างนั้นชู้จะได้มาจัดงานข้างๆ งั้นเหรอ”

“พวกเขาเปลี่ยนผ้าดำให้กลายเป็นขาวได้ขนาดนี้ น่าสนใจจริงๆ แล้วเธอคนนั้นทำงานที่บริษัทด้วยเหรอ”

“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้หรอก จะสงสารก็แต่ภรรยากับลูกของเขาที่ต้องมารู้ความจริงแบบนี้”

คำพูดน่าสงสารปนเห็นใจของอีกฝ่ายทำให้บัลลังก์รู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่นั่นไม่กวนใจเขาเท่ากับเรื่องที่อีกฝ่ายพูดก่อนหน้านี้ งานศพของผู้หญิงคนนั้น บัลลังก์ไม่รอช้ารีบเดินตรงดิ่งไปที่ศาลาถัดไปทันที

ที่ตรงนี้ไม่มีผู้คนมากนัก บริเวณโดยรอบเงียบสงัด ทุกคนที่ยืนอยู่ล้วนเป็นเพียงเจ้าหน้าที่จัดงาน เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ เห็นเพียงแค่โลงศพและกระถางธูปเทียนแค่ไม่กี่ดอกเท่านั้น แม้แต่รูปภาพของอีกฝ่ายก็ไม่มีให้เห็น

นั่นเป็นเครื่องการันตีแล้วว่าเรื่องที่คนเหล่านั้นพูดเป็นความจริง แค่ได้ฟังคำพูดไม่กี่ประโยคบัลลังก์ก็พอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว พ่อของเขาไม่ได้จากไปเพียงคนเดียว และก่อนจะจากไปชายคนนั้นได้หักหลังครอบครัวตัวเอง

ความรู้สึกโกรธกรุ่น ผิดหวังเริ่มประเดประดังเข้ามาข้างใน ไม่รู้ว่า ณ เวลานี้ต้องรู้สึกอย่างไรกันแน่

“บัลลังก์” เสียงคุ้นเคยเอ่ยขึ้นด้านหลัง

“แม่” เด็กชายหันกลับไปมองต้นตอของเสียงและเห็นว่าแม่ยืนอยู่ที่ด้านหลังแล้ว ทั้งสองคนจ้องมองกันโดยไม่พูดอะไรอยู่สักพัก ก่อนที่เด็กชายจะตัดสินใจเอ่ยปากออกไป “แม่ แม่มาทำอะไรที่นี่”

“แม่ควรถามลูกมากกว่าว่ามาทำอะไรที่นี่” เขมจิราถามกลับ

“ผมก็แค่สงสัยอะไรนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว พวกเรากลับเข้าไปในงานศพดีกว่าครับ” บัลลังก์รีบเดินไปจับมือแม่พร้อมพยายามเร่งฝีเท้าออกจากงานศพของผู้หญิงคนนี้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของแม่เขาเลยว่ามีอะไรผิดปกติ

เขมจิราเดาว่าตอนนี้บัลลังก์คงจะรู้ความจริงเรื่องพ่อของเขาแล้ว การที่เด็กชายเดินมาที่งานศพของเธอคงเพราะอยากจะพิสูจน์ข่าวลือพวกนั้น และในใจของลูกชายคงจะรู้สึกผิดหวังมาก

อันที่จริงเธออยากจะบอกความจริงเรื่องพ่อของเขาให้บัลลังก์รู้ แต่ในชีวิตที่สองเขมจิราเคยบอกไปแต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม บัลลังก์คิดว่าการที่เธอพยายามต่อต้านต้นน้ำเป็นเพราะยังเคียดแค้นเรื่องของทักษ์ และสุดท้ายความสัมพันธ์ของเธอกับลูกชายต้องหมางเมินกันไป

ดังนั้นในชีวิตที่สามนี้เธอจึงต้องปล่อยให้ลูกชายได้รับรู้ความจริงด้วยตัวเอง

ในวันสุดท้ายของงานศพทักษ์ เขมจิราเลือกที่จะทำสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิด เพื่อที่จะให้ต้นน้ำได้เจอกับแม่ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย และเพื่อที่จะล่อเรวัชออกมา เธอจึงต้องพาเด็กชายพาที่งานศพด้วย

ทันทีที่เขมจิราเดินเข้ามาในงานพร้อมกับต้นน้ำ หลายสายตาต่างจดจ้องมาที่เขาด้วยความสงสัยว่าเด็กคนนี้คือใครกันแน่ ไม่เว้นแม้กระทั่งคนในตระกูลเทวราช

“นี่มันอะไรกัน เขมจิราไปเอาเด็กคนนั้นมาจากไป” กระรัตเอ่ยถามด้วยความสงสัย ก่อนจะหันไปถามรานีและวศิน “พวกเธอรู้อะไรหรือเปล่า”

“ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้เป็นใคร” รานีตอบและหันไปถามสามี “คุณรู้ไหมวศินว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร”

“ไม่รู้ เห็นทีคงต้องไปถามบัลลังก์” วศินมองหาหลานชาย แต่พบว่าตอนนี้เขายืนอยู่อีกฟากหนึ่งพร้อมกับพ่อแม่ของเขมจิรา

“ลูกสะใภ้ของเธอเกิดบ้าอะไรขึ้นมาเนี่ย เสียสติไปแล้วเหรอ” กระรัตถากถาง เนื่องจากหลายคนต่างเริ่มจ้องมองไปที่เด็กคนนั้น แม้อีกฝ่ายจะสวมใส่เสื้อผ้าดูดี ทว่าสภาพภายนอกกลับผอมแห้งเกินกว่าเด็กทั่วไป

“อย่าสนใจสายตาพวกนั้น ตั้งใจเดินข้างหน้าเถอะ” เขมจิราเอ่ยเตือนเด็กชาย มือที่จับไว้แน่นรู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่น

“ครับ” ต้นน้ำพยักหน้า ก่อนจะมุ่งเดินตรงไปที่งานศพของแม่ ก่อนหน้านี้เขมจิราได้บอกว่าเขาควรจะมาส่งแม่เป็นครั้งสุดท้าย เด็กชายจึงตอบตกลงและตัดสินใจมาในวันนี้

“นั่นใช่แม่ของนายหรือเปล่า” เขมจิราเอ่ยถามเมื่อทั้งสองเดินมาถึงหน้าโลงศพ

“ใช่ แต่แม่ไม่เคยถ่ายรูปแบบนั้นมาก่อน” ต้นน้ำมองไปที่รูปภาพด้วยความรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เพราะภาพนั้นเป็นรูปถ่ายติดบัตรหน้าตรงราวกับพนักงานบริษัทคนหนึ่ง

“พวกเขาสร้างขึ้นมาน่ะ” เธอตอบเด็กชาย “มาไหว้แม่ของนายกันเถอะ”

ต้นน้ำพยักหน้ารับ ในระหว่างนั้นก็สัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตจากด้านหลัง เมื่อมองกลับไปพบว่าเป็นเด็กชายคนหนึ่งที่อายุไล่เลี่ยกับเขา ท่าทางดูเหมือนจะไม่พอใจมากที่เขายืนอยู่ตรงนี้

“นั่นใช่ลูกของคุณหรือเปล่า” ต้นน้ำเอ่ยถาม

“อืม เขาชื่อว่าบัลลังก์”

“ตอนนี้เขาเหมือนจะพอใจอะไรสักอย่างอยู่ ไม่สิ ตอนนี้ทุกคนดูเหมือนจะไม่พอใจอะไรสักอย่าง” บรรยากาศน่าอึดอัดใจนี้เด็กชายสัมผัสได้เป็นอย่างดี

“พวกเขาไม่พอใจที่ฉันพานายมาที่นี่” เขมจิราตอบไปตามความจริง เมื่อเช้าหลังจากที่พ่อแม่เธอรู้สถานะจริงๆ ของต้นน้ำก็อดโมโหไม่ได้เช่นกันที่จู่ๆ เธอรับลูกติดของชู้สามีมาดูแล “นายอยากจะอยู่รอจนงานจบหรือเปล่า ถ้าไม่ต้องการ-”

“ผมจะอยู่ที่นี่ คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะเจอแม่” เขาตอบเสียงราบเรียบ แม้คนที่นอนในโลงศพตอนนี้จะไม่เคยดูแลเขาเหมือนลูกคนหนึ่ง ทว่าเธอกลับเป็นที่พึ่งเดียวที่เขามีอยู่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ถึงต่อให้จะไม่มีความผูกพันแต่การมาส่งเธอครั้งสุดท้ายก็คงไม่เสียหายอะไร

“ได้ งั้นฉันต้องไปคุยธุระก่อน อยู่ที่นี่คนเดียวได้หรือเปล่า”

“ครับ”

เขมจิราเห็นความมุ่งมั่นของเด็กชายจึงเข้าใจความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดี มือเรียวยาวข้างหนึ่งจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา ก่อนจะยัดใส่มือผอมแห้งของเด็กชาย

“นอกจากยาแก้ฟกช้ำแล้ว บางครั้งผ้าเช็ดหน้าก็จำเป็นเหมือนกัน”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel