บท
ตั้งค่า

เกือบเจอตัวเรวัช

เขมจิราเห็นว่าต้นน้ำไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงแล้ว เธอจึงเดินกลับมาที่งานศพของสามี แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรกลับถูกกระรัตดึงตัวเข้ามาซักไซ้เสียก่อน

“เด็กคนนั้นเป็นใคร” กระรัตรีบถาม

“เขาเป็นลูกของผู้หญิงคนนั้นค่ะ ฉันคิดว่าคุณป้าจะเดาได้ซะอีก”

“เธอพาเขามาที่นี่ทำไม ไม่รู้หรือไงว่าระหว่างทักษ์กับผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกันแน่ นี่สมองกลับไปแล้วเหรอ” วศินเอ่ยเสียงต่ำ

“ที่ตระกูลพยายามแก้ข่าวไปก็สูญเปล่าหมด เพราะเธอคนเดียว!” รานีโกรธจนแทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปทำร้ายลูกสะใภ้ “แค่ลูกฉันตายไปก็ทุกข์ใจมากเกินพอแล้ว นี่เธอยังจะมาทำร้ายพวกเราอีก”

“อย่างน้อยก็ควรจะไว้หน้าพวกเราบ้างสิ ตอนนี้ทักษ์ตายไปแล้วแต่คนที่ยังอยู่คือพวกเรานะ” กระรัตกล่าวตำหนิไม่หยุดหย่อนเพราะอับอายกับการกระทำของหลานสะใภ้มาก

“นั่น นั่นสิ เขมทำไมทำแบบนี้ล่ะลูก” นภาเอ่ยขึ้น

“ต้นน้ำก็แค่จะมาลาแม่ของเขาก็เท่านั้น เหมือนกับที่ทุกคนทำอยู่ตอนนี้ไงคะ”

“ไม่เหมือน! เด็กคนนั้นไม่ต้องไปเจอคนอีกมากมาย แต่สำหรับพวกฉันมันน่าอับอายเกินกว่าที่จะพูดออกมาด้วยซ้ำ หึ! เธอทำขนาดนี้ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าคุณย่าทวดรู้เรื่องนี้เข้าจะเป็นอย่างไร” พูดจบกระรัตรีบโทรหาช่อม่วงทันที

“แค่ผู้ชายออกไปหาความสุขนอกบ้านนิดหน่อย จะคิดอะไรมาก ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่” รานียังคงไม่พอใจ จึงพูดถากถางออกไป

“อารู้ว่าตอนนี้เขมคงจะโกรธมาก แต่จู่ๆ เอาเด็กคนนี้มาถึงงานศพ คนในตระกูลหลายคนคงไม่พอใจมากแน่ ควรพาเด็กคนนั้นกลับไปก่อนนะ” นภาเอ่ยเตือนเขมจิรา เมื่อไม่กี่วันก่อนหลังจากที่ได้รู้ความจริงเรื่องทักษ์และชู้ เธอก็อดห่วงเขมจิราไม่ได้

“ลูกฉันก็ตายไปแล้ว เธอควรใจกว้างให้มากกว่านี้หน่อยสิเขม! แล้วถ้าบัลลังก์รู้เรื่องนี้เข้าเขาจะต้องเสียใจมากแน่!”

“เธอเป็นแม่ประสาอะไรกัน” รานีและวศินต่อว่าลูกสะใภ้ไม่หยุดหย่อน ในใจนึกโกรธและอับอาย พยายามจะดึงหลานชายเข้ามาเกี่ยว

“เขารู้มาตั้งนานแล้ว”

“อะ อะไรนะ?” วศินถาม

“ข่าวลือพวกนั้นบัลลังก์ได้ยินตั้งแต่วันแรกแล้ว การกระทำหน้าไม่อายของลูกชายพวกคุณ หลานชายของคุณเขาเข้าใจทุกอย่าง”

สองสามีภรรยาถึงกับชะงัก ไม่เว้นแม้กระทั่งนภา

“บะ บัลลังก์รู้ขนาดนี้แล้ว เธอยังจะกล้าพาเด็กนั่นมาที่นี่อีกเหรอ” รานีเอ่ยตะกุกตะกัก ในใจเริ่มรู้สึกละอายใจกับหลานชายขึ้นมาบ้าง

“คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ บัลลังก์ไม่ได้ทำผิดอะไร เรื่องน่าอับอายพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบ”

“นี่แก!” รานีตะคอกเสียงดัง แววตาสั่นไหวไปด้วยความโกรธ พยายามจะเดินเข้ามาทำร้ายเขมจิราด้วยท่าทางจริงจังราวกับคนเสียสติ “มานี่เดี๋ยวนี้นะ!”

“คุณอย่าทำอะไรตอนนี้สิ ตั้งสติหน่อย! ตอนนี้ทุกคนมองกันหมดแล้ว” วศินพยายามจับตัวของภรรยาเอาไว้

“พี่รานีพอได้แล้ว” นภาเอ่ยเตือน พยายามจับตัวของรานีเอาไว้เช่นเดียวกัน

“ดูเหมือนว่าคุณแม่จะเสียใจเกินไป ควรไปพักดีกว่านะคะ”

เขมจิราไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนเหล่านี้ จึงตัดสินใจเดินมาหาลูกชายและพ่อแม่ของเธอ ในแววตาพวกเขาต่างตั้งคำถามมากมายกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ ‘อุดม’ ผู้เป็นพ่อของเธอ

“หลังจบงานเขมจะอธิบายเรื่องนี้ให้ฟัง” เขมจิราหันไปพูดกับพ่อ แต่เหมือนอีกฝ่ายต้องการคุยเดี๋ยวนี้

“เขม ลูกเป็นอะไรไป ทำไมไม่รอบคอบแบบนี้ อธิบายเรื่องเด็กคนนั้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” อุดมคาดคั้นลูกสาว

เมื่อไม่กี่วันก่อนจู่ๆ เธอก็นำเด็กที่ไหนไม่รู้มาฝากเอาไว้ ก่อนที่วันนี้จะพาเขามาที่งานศพด้วย ถ้าหากรู้ว่าสถานะจริงๆ ของเด็กคนนี้ตั้งแต่แรก อุดมและภรรยาคงไม่เลี้ยงดูแน่

“นั่นสิเขม เรื่องนี้นี่มันยังไงกันแน่ แม่ไม่เข้าใจเลย” ฉัตรเอ่ยถามลูกสาว แม้ว่าต้นน้ำจะเป็นเด็กดีแต่เมื่อจู่ๆ ได้รับรู้ความจริงแบบนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม

“เขมบอกว่า-”

“ไม่ต้องเสียเวลา จะพูดก็พูดมา!” อุดมตวาดใส่ลูกสาวด้วยความหัวเสีย “จู่ๆ แกก็เอาเด็กคนนี้เข้ามาในงานศพ ทำทุกคนขายหน้ากันหมดแล้ว แกไม่ใช่เด็กแล้วนะ!”

“คุณคะ พอได้แล้ว บัลลังก์อยู่ที่นี่” ฉัตรเอ่ยเตือนสามี มองหลานชายด้วยความเป็นห่วง ทว่าบัลลังก์กลับไม่สนใจ สายตามุ่งตรงไปที่ต้นน้ำเท่านั้น

เขมจิรามองตามลูกชายไปเห็นว่าต้นน้ำยืนอยู่ที่งานศพด้วยใบหน้าเรียบเฉยท่ามกลางแขกบางกลุ่ม แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเธอยิ่งกว่าคือใบหน้าของชายคนหนึ่งที่คล้ายกับเรวัชไม่มีผิด

ไม่ใช่... เขาคนนั้นคือเรวัชแน่นอน

ชายรูปร่างสูง ผมสีดำเงายาวระต้นคำ นัยน์ตาสีดำสนิทแต่กลับแฝงไปด้วยความใจกล้าบ้าบิ่น แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีแต่เธอกลับจำเขาได้แม่น

“เขาโผล่มาที่นี่จนได้” เขมจิราพึมพำ คิดเอาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องมาหาต้นน้ำ

“แกพูดอะไรนะ” อุดมถามลูกสาว ยิ่งเห็นว่าเธอไม่สนใจก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ “เขมจิรา มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!”

เขมจิราไม่สนใจคนตรงหน้าอีกต่อไป ขาเรียวยาวคู่นั้นรีบเดินตรงมาที่ต้นน้ำอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นระยะทางเพียงไม่ไกลแต่กลับรู้สึกใช้เวลานานกว่าปกติทั้งที่เธอรีบเร่งมากขนาดนี้แล้วแท้ๆ

สายตาของเรวัชยังคงแอบมองไปที่ต้นน้ำอยู่เป็นระยะด้วยความสนใจ แววตาคู่นั้นล้ำลึกยากจะเข้าใจ แต่ความสนใจในตัวอีกฝ่ายกลับชัดเจน ส่วนเธอยังคงจดจ้องไปที่เรวัชอย่างไม่วางตาจนอีกฝ่ายรับรู้ถึงสายตานั้นได้ ใบหน้าคมสันได้รูปหันกลับมาที่ด้านหลังก่อนจะพบกับเขมจิราเข้าโดยบังเอิญ

ทั้งสองคนสบตากันเพียงเสี้ยววินาที เป็นครั้งแรกจากตลอดทั้งสามชีวิตที่ผ่านมาที่ได้สบตากับเขา แววตาบ้าบิ่นคู่นั้นยังคงไม่จางหายราวกับว่ากำลังท้าทายให้เดินเข้าไป แต่เธอกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกชะงักจากอีกฝ่ายเช่นกัน

เรวัชไม่รอช้ารีบเบือนสายตาออกไปทันที เขารับรู้ได้ว่าเธอกำลังเดินตรงมาทางนี้ ก่อนจะรีบก้าวเท้าถอยหลังหายเข้าไปกลมกลืนกับแขกในงานเพียงเสี้ยววิ

เขมจิรารีบเร่งฝีเท้ามากขึ้น พยายามตามให้ทันอีกฝ่าย แต่กลับรู้สึกว่าทางข้างหน้าเต็มไปด้วยอุปสรรค จนในที่สุดก็คลาดสายตากับเรวัชไปในเวลาเพียงไม่นาน

“ต้นน้ำ จำผู้ชายรูปร่างสูงคนเมื่อกี้ได้หรือเปล่า เขาได้เข้ามาพูดอะไรไหม” เธอรีบถามเด็กชาย

“ไม่มีนะ ผมยืนอยู่ที่นี่มาตลอด” เขาปฏิเสธ

สองชีวิตก่อนหน้านี้เรวัชไม่เคยมาที่งานศพเลยสักครั้งเดียว ดูเหมือนว่าการล่อเสือให้ออกจากถ้ำครั้งนี้จะได้ผล แต่เสือตัวนั้นกลับไหวตัวทันรีบเผ่นหนีไปเสียก่อน

การจะเข้าใกล้ตัวเขานั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel