บัลลังก์
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาบัลลังก์เดินทางมาถึงคฤหาสน์ ทันทีที่เด็กชายก้าวขาลงจากเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลก็พบกับแม่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขากึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามากอดแม่ทันที แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่การเดินทางกลับบ้านกะทันหันแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
เขมจิรากอดลูกชายด้วยความคิดถึง เด็กชายคนนี้เป็นเหมือนกำลังใจในการใช้ชีวิตของเธอมาโดยตลอด ความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวันสลายหายไปทันทีเมื่อได้กอดลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ
“เดินทางมาเหนื่อยหรือเปล่า ทานอะไรมาบ้างหรือยัง” เขมจิราถามด้วยความเป็นห่วง มองไปยังเด็กชายผิวขาว ดวงตากลมโตแต่แฝงไปด้วยความมั่นใจ แม้จะเดินทางมายาวนานแต่เสื้อผ้ากลับยังเรียบร้อยไม่เปลี่ยน
“ไม่เหนื่อยเลย ทุกอย่างบนเครื่องเรียบร้อยหมดครับ” บัลลังก์ตอบกลับ ก่อนจะรีบตรงเข้าประเด็นทันที “แล้วที่แม่ให้ผมกลับมาที่คฤหาสน์กะทันหันแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า แล้วพ่อล่ะไปไหน”
เขมจิราสะอึกไปครู่หนึ่ง แล้วยกมือขึ้นมาลูบศีรษะลูกชายอย่างอ่อนโยน “นี่คือเรื่องสำคัญที่พวกเราต้องคุยกัน เข้าไปที่คฤหาสน์ก่อนเถอะนะ”
“ครับ” บัลลังก์มั่นใจได้ทันทีว่าเรื่องที่แม่กำลังจะบอกเขาในไม่อีกกี่นาทีข้างหน้าต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่มีสีหน้าแบบนั้น
ทันทีที่ทั้งสองคนเข้ามาภายในห้องนอน เขมจิราเริ่มอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพ่อของบัลลังก์ให้อีกฝ่ายเข้าทันที แน่นอนว่าเด็กฉลาดอย่างเขาเข้าใจได้ไม่ยาก
“พ่อ พ่อไม่อยู่แล้วเหรอครับ” เด็กชายถามแม่ด้วยความสิ้นหวัง มือเล็กคู่นั้นสั่นไหวอย่างควบคุมไม่อยู่ ก่อนจะรีบยกขึ้นมาปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว
ความเงียบเป็นคำตอบที่ชัดเจนมากที่สุด เขมจิรามองดูลูกชายที่ตอนนี้กำลังพยายามทำตัวเข้มแข็ง เธอไม่มีความเสียใจสำหรับการสูญเสียสามีคนนั้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าก็ทนไม่ได้เช่นกันที่ต้องเห็นลูกชายของเธอเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มือทั้งสองข้างที่เคยวางนิ่งอยู่บนไหล่ของลูกชายรีบดึงเขาเข้ามากอดแนบอก “ร้องออกมาเถอะนะบัลลังก์”
เขมจิราเอ่ยเสียงเบา ไม่นานก็มีเสียงสะอื้นดังแทรกขึ้นมาเรื่อยๆ พร้อมกับอาการสั่นไหวของเด็กชายในอ้อมแขนที่ไม่อาจจะต้านทานได้ บัลลังก์มองพ่อเป็นเหมือนฮีโร่คนหนึ่ง เขาตั้งปณิธานว่าสักวันหนึ่งจะต้องทำให้ชายผู้เป็นพ่อภูมิใจในตัวเขาให้ได้ ทว่าตอนนี้ชายคนนั้นกลับจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
ต่อให้จะเป็นเด็กเข้มแข็งมากขนาดไหน แต่การสูญเสียพ่อไปก็เป็นเรื่องยากจะรับไหวสำหรับเด็กอายุหกขวบแบบเขา
บัลลังก์ร้องไห้อยู่อย่างนั้นนานพอสมควรก่อนจะผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของแม่ด้วยความเหนื่อยอ่อน ลมหายใจของเด็กชายเริ่มคงที่ ไม่นานก็ถูกวางไว้บนเตียงอย่างอ่อนโยน
เขมจิรานั่งมองหน้าลูกชายด้วยความคิดถึง แม้จะเห็นเขาตั้งแต่เล็กจนโตมาแล้วถึงสองครั้งทว่าสำหรับเธอ บัลลังก์ยังคงเป็นลูกชายวัยหกขวบอยู่เสมอ ชีวิตแรกเขาตายจากไปก่อน ชีวิตที่สองทั้งสองคนไม่เข้าใจกันมากนักจึงมีความเหินห่างเกิดขึ้น แต่ในชีวิตที่สามครั้งนี้เธอหวังว่าจะสามารถแก้ไขทุกอย่างได้หมดทั้งต้นน้ำ บัลลังก์ และชายอีกคนหนึ่ง
พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ยุ่งวุ่นวายสำหรับพวกเขาทุกคนและลูกชายของเธอจะได้รู้ว่าพ่อของเขาไม่ได้เสียชีวิตเพียงคนเดียวบนรถยนต์คันนั้น และต่อจากนั้นไม่นานบัลลังก์ก็คงจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ไม่ยากหรือต่อให้ไม่เข้าใจ แน่นอนว่าเหล่าญาติๆ ก็คงจะต้องคอยเป่าหูลูกชายของเธอ
อาจจะดูใจร้ายไปสักหน่อยหากว่าเขมจิราจะปล่อยให้คนเหล่านั้นมาปั่นหัวลูกชายของเธอ แต่นั่นเป็นเรื่องที่บัลลังก์ต้องรับมือให้ได้ เพราะเขมจิราไม่สามารถบอกเรื่องที่ทักษ์มีชู้ได้ด้วยตัวเอง
เธอต้องปล่อยให้ลูกชายค่อยๆ รับรู้ความจริงด้วยตัวเอง
“เรื่องนี้ไม่ง่ายเลยสักนิดเดียว อดทนหน่อยนะบัลลังก์” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมปาดน้ำตาบนแก้มนุ่มของลูกชายอย่างเบามือ ก่อนจะเดินออกห้องมาอย่างเงียบๆ ปล่อยให้ลูกชายได้พักผ่อน
เขมจิรายืนครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาพร้อมทั้งเตรียมแผนการต่างๆ เอาไว้เพื่อรับมือกับชายเจ้าเล่ห์อย่างเรวัช ทว่าสายตาก็ดันเหลือบไปเห็นรูปภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ของตระกูลเทวราชที่เธอไม่เคยคิดจะสนใจมาก่อน ในภาพนั้นเผยสมาชิกทั้งหมดของตระกูลเอาไว้ ทุกคนในภาพต่างหัวเราะยิ้มแย้มอย่างมีความสุข แต่เขมจิรารู้ดีว่าภายใต้หน้ากากนั่น ทุกคนต่างเก็บซ่อนกรงเล็บแหลมคมเอาไว้
ในคฤหาสน์หลังนี้มีคุณย่าทวดช่อม่วงเป็นคนดูแลตระกูลนี้มาอย่างยาวนาน หลังจากที่สามีของเธอหรือคุณปู่ทวดบวรยศได้เสียชีวิตจากไป ทั้งสองคนต่างอยู่จุดสูงสุดของตระกูลมาอย่างยาวนาน ธุรกิจหลายอย่างภายในประเทศต่างเป็นคนของเหล่านี้ ไม่เว้นแม้แต่ของยิบย่อยในชีวิตไปจนถึงสิ่งของมูลค่าหลายพันล้าน ทุกอย่างต่างอยู่ในการควบคุมของพวกเขาทั้งสิ้น
ทั้งสองคนนั้นมีลูกชายด้วยกันสามกัน โดยคนแรกมีชื่อว่า ‘วิษณุ’ แม้ต่อให้จะเป็นลูกชายคนโตของตระกูลที่ถูกเคี่ยวเข็ญมาตลอดทว่าเขาคนนั้นกลับสร้างความผิดหวังให้พ่อแม่เสมอมา คอยผลาญเงินของตระกูลไปวันๆ สิ่งเดียวที่ทำถูกต้องคือการได้แต่งงานกับกระรัต ลูกสะใภ้คนแรกของตระกูล ผู้ซึ่งเป็นปากเป็นเสียงให้ช่อม่วงมาตลอดหลายปี ทว่าทั้งสองคนก็สร้างความผิดหวังให้กับช่อม่วงอีกครั้ง เมื่อลูกชายที่เกิดมาดันเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แถมยังขี้อิจฉา ชอบความรุนแรงอีกต่างหาก ‘ธัช’ หรือหลานชายคนโตจึงถูกตัดออกจากตระกูลไป
ลูกชายคนต่อมาของตระกูลนี้คือ ‘วศิน’ ชายผู้มั่นใจในตัวเอง ชอบความเสี่ยง เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สุด หรือหากจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คงจะเป็นพวกชายแท้ขั้นสุด เขาได้แต่งงานกับรานีที่เป็นหญิงแท้ไม่ต่างกัน ทั้งสองคนได้มีลูกชายเพียงคนเดียวและชายคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่กลับเป็นสามีของเขมจิรา และหากทักษ์ไม่ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตไปเสียก่อน เขาคงจะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำคนต่อไปของตระกูลเทวราชอย่างแน่นอน
ส่วนลูกชายคนสุดท้องของตระกูลเทวราชมีชื่อว่า ‘วิธูร’ น่าเสียดายที่อีกฝ่ายด่วนจากไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อนานมาแล้ว เขมจิราจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากนัก รู้เพียงแค่ว่าชายคนนั้นไม่ได้เป็นลูกคนโปรดของตระกูล แต่เขาก็ได้แต่งงานกับนภา ผู้หญิงที่คอยพูดแก้ต่างให้เขมจิราในช่วงเย็นของวันนี้ ทั้งสองคนมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน อายุไล่เลี่ยกับเขมจิรา โดยที่เขามีชื่อว่า ‘เมฆา’ และมีลูกสาวอีกคนหนึ่งที่เป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของตระกูลและเป็นหลานรักของช่อม่วง โดยที่อีกฝ่ายรักมากจนถึงขั้นตั้งชื่อให้หลานคนนี้ว่า ‘ช่อฟ้า’ แม้จะเป็นชื่อที่ล้าสมัยไปสักหน่อยแต่ก็ต้องยอมรับชื่อนี้สร้างความมั่งคั่งให้กับนภาและครอบครัวไม่น้อย ถึงขั้นสามารถอยู่ในตระกูลมาได้โดยไม่โดนกดขี่มากนัก
ในรูปภาพนั้นไม่ได้มีเขมจิราและลูกชายอยู่ในนั้นด้วย เนื่องจากภาพนี้ถูกวาดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ในสองชีวิตที่ผ่านมาเธอไม่เคยสนใจภาพนี้มาก่อน แต่เมื่อมองให้ลึกซึ้งมากขึ้นก็คงจะพบว่าเขมจิราและลูกชายไม่เคยเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของตระกูลนี้เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าบัลลังก์จะเป็นเหลนแท้ๆ ก็ตาม
แล้วตระกูลที่ร่ำรวยมากขนาดนี้จะไม่สามารถสร้างภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่อีกภาพได้อย่างไรกัน?
เขมจิราตระหนักและเข้าใจแล้วว่าเธอไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของคนพวกนี้ และพวกเขาก็ไม่เคยคิดจะยอมรับเธอเลยสักนิด สิ่งที่เธอทำมาตลอดทั้งสองชีวิตที่ผ่านมา เพื่อปกป้องตระกูลเทวราชและลูกชาย ดูท่าว่าเขมจิราจะทำถูกเพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้น
“เส้นผมบังภูเขาจริงๆ นี่ฉันมัวแต่ระวังศัตรูภายนอกมาตลอดสินะ” เธอเอ่ยพึมพำกับตัวเอง ยอมรับแล้วว่าเธอเองก็พลาดเหมือนกัน
เขมจิราแสยะยิ้มให้กับตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นี่คงจะถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องออกจากตระกูลนี้เสียที แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เพื่อรักษาชีวิตของลูกชายและต้นน้ำ การอยู่ที่นี่ไม่สามารถทำอะไรได้ตามต้องการ ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคงจะเป็นการหลุดพ้นจากคนเหล่านี้
เขมจิรามองไปที่รูปภาพนั้นอีกครั้ง ก่อนจะนึกถึงหน้าของเรวัชขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แม้จะเป็นเพียงภาพเลือนรางก็ตาม เธอรีบสะบัดความคิดนั้นออกไปและรีบเดินกลับห้องเพื่อเตรียมแผนรับมือในวันพรุ่งนี้
ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้นึกถึงเขาขึ้นมา