ตระกูลเทวราช
บทที่ 3 ตระกูลเทวราช
หลังจากที่เธอนำต้นน้ำไปฝากให้แม่ดูแลไว้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะงุนงงว่าเด็กชายคนนี้คือใคร แต่โชคดีที่ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ
ในช่วงดึกของวันเดียวกันเขมจิราเดินทางกลับมาที่คฤหาสน์ของตระกูลเทวราชอีกครั้ง เนื่องจากตอนนี้ยังต้องจัดการปัญหาฝั่งครอบครัวสามีให้เรียบร้อย และการจะออกจากตระกูลเทวราชไม่ใช่เรื่องง่าย เธอต้องมีเหตุผลมากพอ
ตอนนี้ลูกชายของเขมจิราหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ “บัลลังก์” เด็กชายวัยหกขวบผู้เป็นเหลนเพียงคนเดียวของตระกูล แม้ว่าจะอายุเพียงหกขวบแต่กลับฉลาดปราดเปรื่อง รอบคอบ และช่างสังเกตมากเสียเหลือเกิน ถึงต่อให้ตอนนี้ชายผู้เป็นพ่ออย่าง “ทักษ์” จะเสียชีวิตกะทันหันแต่เมื่อเด็กคนนี้เติบโตขึ้น เขาจะสามารถกลับมาเป็นผู้นำตระกูลนี้ได้อีกครั้งหนึ่งท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นมากมาย
ตอนนี้บัลลังก์กำลังเดินทางกลับมาจากการเข้าค่ายฤดูร้อนที่อเมริกา คงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่จะมาถึงที่คฤหาสน์ ตอนนี้เธอยังพอมีเวลาเตรียมตัวบอกข่าวร้ายเขา
แม้ว่าจะเป็นครั้งที่สามที่ต้องพูดเรื่องการสูญเสียพ่อ แต่กลับไม่มีครั้งไหนจะง่ายเลยสักครั้งเดียว แม้ว่าบัลลังก์จะทำตัวราวกับเป็นผู้ใหญ่ ทว่าแววตาที่สั่นไหวคู่นั้นยังคงไม่สามารถหลบหนีสายตาของผู้เป็นแม่ไปได้
เขมจิราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติ ก่อนจะเดินเข้ามาในคฤหาสน์และสัมผัสได้ถึงบรรยากาศน่าอึดอัดใจ เมื่อเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นชัดขึ้น จนกระทั่งมาถึงห้องโถงก็เข้าใจว่าทำไมถึงมีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้น
ทุกคนในตระกูลเทวราชอยู่ที่กันหมด
“ดูสิคะว่าใครมา” เสียงแหลมปนจิกกัดเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ทำให้ทุกคนหันไปมองแขกที่เข้ามาใหม่อย่างเขมจิรากันหมด “สามีพึ่งตายไปแท้ๆ แต่กลับวิ่งแจ้นออกไปจากบ้านเนี่ยนะ กล้าดียังไง”
กระรัตพูดอย่างไม่เกรงกลัว เธอนั่งอยู่ที่นี่ในฐานะลูกสะใภ้คนโตของตระกูลเทวราช พร้อมมองมาที่เขมจิราด้วยสายตาตำหนิ
“นั่นสิ เขมจิราไปไหนมาลูก” นภาหรือลูกสะใภ้คนที่สามเอ่ยถาม ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“เขมไปจัดการธุระสำคัญมาค่ะ” เธอตอบตามความจริง
“จะมีธุระอะไรสำคัญไปกว่าสามีที่ตายไปของเธออีก!” กระรัตขึ้นเสียงพร้อมตำหนิอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ทว่าคนที่เสียใจกลับไม่ใช่เขมจิราแต่เป็นรานี ลูกสะใภ้คนที่สองของตระกูล ผู้ซึ่งเป็นแม่สามีของเขมจิรา
เสียงร่ำไห้ของอีกฝ่ายกลับยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม เมื่อได้ยินกระรัตพูดว่าลูกชายของเธอได้ตายไปแล้ว การสูญเสียครั้งนี้เธอทนไม่ไหวอีกต่อไป จนถึงกับต้องโผเข้าไปในอ้อมกอดของสามีทันที
“หยุดพูดสักที! ลูกชายของฉันยังไม่ตาย เขายังไม่ตาย!” รานีพร่ำเพ้อออกมา ร้องไห้ปานใจจะขาด
เขมจิรามองดูภาพตรงหน้าด้วยความหมางเมิน ราวกับว่าเรื่องตรงหน้าไม่เกี่ยวกับเธอ แม้ว่าตอนนี้ทุกคนจะมีสีหน้าเศร้าหมอง เสียใจกับการสูญเสียคนสำคัญของตระกูลไป แต่จะมีสักกี่คนที่จะเสียใจจริงๆ กับการจากไปของทักษ์
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคงไม่ใช่เธอแน่
“ไม่ใช่นะรานี พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแทงใจดำเธอแบบนั้น” กระรัตเอ่ยขึ้น ลืมคิดไปว่าคำพูดเมื่อครู่จะทำร้ายจิตใจน้องสะใภ้แบบนั้น
“ธุระสำคัญที่ว่าคงจะไปดูสถานที่เกิดเหตุมาใช่หรือเปล่า อาเห็นเขมรีบวิ่งออกไปทันทีหลังจากรู้เรื่อง” นภาเอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เธอพยายามจะช่วยหลานสะใภ้คนนี้อย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้ถูกตำหนิจากผู้ใหญ่ทั้งหลาย
“จะพูดแบบนั้นก็ถูกค่ะ” เขมจิรานึกคิดไปถึงเมื่อชั่วโมง แน่นอนว่าคุณอานภาพูดไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูกเช่นกัน เขมจิราไม่ได้ไปที่เกิดเหตุแต่ที่เกิดเหตุดันอยู่ในเส้นทางที่เธอขับผ่านพอดีต่างหาก
แบบนั้นคงจะเรียกว่าไปที่เกิดเหตุได้อยู่ละมั้ง?
“เธอรู้แล้วเหรอว่าเกิดอุบัติเหตุที่ไหน” กระรัตถามด้วยความสงสัย ทั้งที่คนอื่นๆ ในครอบครัวพึ่งรู้กันไม่นานแท้ๆ
“ค่ะ เขมรู้แล้ว” ตอบอย่างมั่นใจ
“แล้วทำไมเสื้อผ้าถึงไม่เปียกเลยล่ะ ตอนนี้ฝนตกหนักแท้ๆ ถ้าไปที่นั่นจริงก็คงจะโดนฝนไม่มากก็น้อย” กระรัตตั้งคำถาม เมื่อมองไปที่หลานสะใภ้ก็เห็นว่าอีกฝ่ายสวมใส่ชุดเดรสยาวคลุมปกปิดร่างกายมิดชิด เห็นเพียงแค่ใบหน้าและข้อมือเท่านั้น หากไปที่นั่นจริงอย่างน้อยชายกระโปรงก็ควรจะเปรอะเปื้อนสักหน่อย
“รถยนต์คันที่เกิดเหตุเป็นของสามีฉันจริงๆ ค่ะ แม้ว่าจะมีการระเบิดจนเผาไหม้ทุกอย่างเกือบหมดแต่ก็พอจะเห็นร่องรอยรถอยู่บ้าง ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าพบศพชายหญิงในที่เกิดเหตุ”
เขมจิราพูดเสียงราบเรียบ ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อปิดบังแววตาอันเฉยชาของเธอ
“ส่วนที่มั่นใจว่าเป็นทักษ์แน่ๆ ก็เพราะว่าที่นิ้วนางข้างซ้ายมีแหวนของแต่งงานของพวกเราอยู่” พูดจบก็ชูมือข้างซ้ายขึ้นมา
การกระทำเมื่อครู่สร้างความสะเทือนใจให้กับทุกคนในห้องนี้ ไม่คิดเลยว่าเขมจิราจะกล้าพูดตรงได้มากขนาดนี้ บางทีเธอคงจะเสียใจจนเสียสติไปแล้วแน่ๆ
“ไม่! ทักษ์ลูกแม่ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของแม่ นั่นต้องไม่ใช่ศพของลูกชายฉัน ไม่จริง!” รานีกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จนหลายคนในห้องต้องยกมือขึ้นมาปิดหูเอาไว้ ไม่เว้นแม้กระทั่งคุณย่าทวดอย่างช่อม่วง
“เอาล่ะ พอได้แล้ว เลิกซักไซ้ให้มากความสักที” ช่อม่วงผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้วีลแชร์ราคาแพง ข้างกายเป็นด้วยคนรับใช้หลายสิบคน ได้กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น และสงบ
แม้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะเป็นถึงย่าทวดของบัลลังก์ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีอายุมากจนถึงขั้นเดินไม่ได้แล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะละมือจากการบริหารงานของตระกูลไปแล้วบางส่วน ทว่าเสียงที่เปล่งออกมาเมื่อครู่กลับทำให้ทุกคนในห้องหยุดนิ่งกันหมด ไม่เว้นแม้แต่รานีที่กำลังร่ำไห้อยู่ในตอนนี้ก็ถึงกับหยุด หลงเหลือไว้เพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น
“ฉันรู้ว่าเธอเสียใจนะรานี ฉันก็เสียใจไม่ต่างจากเธอเหมือนกัน เธอสูญเสียลูกชายไปส่วนฉันก็สูญเสียหลานชายไปเหมือนกัน บัลลังก์เองก็สูญเสียพ่อของเขาไปไม่ต่างกัน ตอนนี้ทุกคนต่างสูญเสียกันทั้งนั้น” ช่อม่วงหันไปพูดกับลูกสะใภ้ เข้าใจความรู้สึกนั้นดีเพราะเคยสูญเสียลูกชายคนสุดท้องหรือก็คือสามีของนภาไปเช่นกัน
“คุณแม่...” รานีพูดเสียงสั่น ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายก็เคยสูญเสียลูกชายไปจากอุบัติเหตุเช่นกัน
“ตอนนี้ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ทุกคนกลับไปกันได้แล้ว” ช่อม่วงเอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนในห้องนี้ต้องออกจากห้องนี้ไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะหันมาพูดกับเขมจิราอย่างจับผิด “ส่วนเธอก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี”
ช่อม่วงเองก็สงสัยเหมือนกับกระรัตไม่มีผิดว่าทำไมเขมจิราถึงไม่มีรอยเปื้อนเลยสักนิดแต่ก็ไม่อยากจะซักไซ้ให้มากความ เพราะอีกฝ่ายก็พูดถึงรายละเอียดของอุบัติเหตุได้อย่างชัดเจนราวกับว่าไปที่แห่งนั้นมาจริงๆ
“ค่ะ” เขมจิราพยักหน้าเข้าใจ เธอรู้ดีว่าหญิงชราตรงหน้าฉลาดเป็นกรด ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถปกครองตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่างเทวราชได้แน่นอน
“แล้วนี่บัลลังก์จะมาถึงตอนไหน ฉันไม่ได้เจอหน้าเขามานานแล้ว” ช่อม่วงเอ่ยถาม
“ถ้าเป็นไปตามแผนก็คงจะมาถึงช่วงดึกวันนี้ค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว อย่าลืมล่ะว่าต้องพูดกับเขาอย่างไรให้เขาเสียใจน้อยที่สุด ฉันไม่อยากเห็นเหลนของฉันนั่งร้องไห้เหมือนเด็กเหลือขอที่งานศพพ่อของเขา” ช่อม่วงเอ่ยเตือน
“ค่ะ ฉันจะคุยเรื่องนี้กับเขาอย่างระมัดระวัง”
“งั้นก็ดีแล้ว”
เขมจิรามองตามแผ่นหลังของอีกฝ่าย เข้าใจดีว่าเธอคนนั้นเป็นคนที่เยือกเย็นเพียงใด แม้จะสูญเสียคนสำคัญไปหลายต่อหลายคนแต่กลับแสดงสีหน้าเฉยชาขนาดนั้นออกมาได้
สำหรับเขมจิรานี่เป็นชีวิตที่สามของเธอแล้ว ดังนั้นจึงสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้มากพอสมควร ทว่ากับคนอื่นๆ นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขา แต่หญิงชราคนนั้นกลับไม่แยแสต่อการสูญเสียหลานชายคนสำคัญไปแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในครั้งไหนก็ตาม