นำหน้าหนึ่งก้าว
เขมจิราไม่รู้ว่าผลลัพธ์ในอนาคตจะต่างจากครั้งอื่นไหม ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะกลับมาทำร้ายทั้งเธอและลูกชายอีกหรือเปล่า บางทีนี่อาจจะเป็นความสงสาร หรือความเห็นใจบางอย่าง แต่เธอมั่นใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างแน่นอน
เขมจิราเผยรอยยิ้มให้เด็กชายตรงหน้า ริมฝีปากอวบอิ่มยกขึ้น ความอ่อนโยนถูกส่งผ่านนัยน์ตากลมโตสีฟ้า มือเรียวยาวข้างหนึ่งยกขึ้นลูบศีรษะของต้นน้ำอย่างเอ็นดู พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำแสนจะธรรมดาออกไป
“ไม่รู้สิ ฉันรู้แค่ฉันต้องทำแบบนั้น ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่”
ต้นน้ำไม่เข้าใจหญิงตรงหน้าเลยสักนิดเดียว ไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไรจากเขากันแน่ แต่ความจริงใจที่อีกฝ่ายแสดงออกมาเขากลับรับรู้ได้
เด็กชายเม้มปากแห้งกรังนั้นด้วยความอึดอัดใจ เขาไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่แบบนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าต้องควรทำตัวอย่างไรกันแน่
“ฉันรู้ว่าตอนนี้นายคงไม่เข้าใจ แต่เชื่อเถอะว่าต่อจากนี้ฉันจะดูแลนายอย่างดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน เด็กหกขวบไม่ควรกังวลเรื่องเงินจัดงานศพหรอก” เขมจิราเอ่ย
แก้มทั้งสองของเด็กน้อยเริ่มเห่อร้อนด้วยความอับอายที่ถูกเธอจับได้
“ฉันไม่มั่นใจว่าจะรักนายได้เหมือนที่รักลูกชายหรือเปล่า แต่ชีวิตของนายจะต้องปลอดภัยเหมือนเขา”
เขมจิราพูดไม่ทันจบประโยคก็ได้ยินเสียงตึงตังมาจากด้านล่าง “เข้ามาด้านในเร็ว!” เด็กชายพูดแทรก
ต้นน้ำจึงรับคว้ามือของเธอเข้าไปในห้องพักของเขาด้วยท่าทีตื่นตระหนก ก่อนจะแนบหูกับประตูเพื่อฟังเสียงด้านนอก ไม่นานเสียงนั้นก็ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องของเขา
ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน แต่ยังไม่ทันที่เขมจิราจะได้ถามอะไร ประตูห้องถูกถีบจากด้านนอกเข้ามาหลายต่อหลายครั้งด้วยโมโหพร้อมกับเสียงก่นด่าตามหลังมากมาย
เขมจิราจับใจความได้ว่ามีชายคนหนึ่งกำลังโมโหที่ไม่สามารถทำงานได้สำเร็จเสียที เนื่องจากเป้าหมายไม่อยู่ และคนที่เขาต้องจัดการก็คือแม่ของต้นน้ำ
ทั้งสองคนยืนนิ่งอยู่แบบนั้นโดยไม่ส่งเสียงอะไร เขมจิราสังเกตเห็นว่าเด็กชายตัวสั่นด้วยความกลัวเล็กน้อย แม้อีกฝ่ายจะพยายามปิดบังก็ตาม
เธอไม่รีรอรีบดึงเขามาไว้ที่ด้านหลังพร้อมกับลูบศีรษะเล็กๆ แล้วเอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องกลัว”
ต้นน้ำพยักหน้ารับ มือข้างหนึ่งเผลอจับชายเสื้อของเธอโดยไม่รู้ตัว พวกเขารออยู่สักพักจนกระทั่งมั่นใจแล้วว่าคนเหล่านั้นไม่กลับมาที่นี่อีก
“คนพวกนั้นมาทำอะไรที่นี่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกใช่ไหม” เขมจิรารีบถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเพียงแค่ต้นน้ำได้ยินเสียงตึงตังนั้นเล็กน้อย เขาก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ทันที
“สามเดือนก่อนแม่ของผมเป็นชู้กับผู้ชายคนหนึ่ง แล้วภรรยาของเขาจับได้ ก็เลยส่งคนพวกนั้นมาทำร้ายแม่ผมจนเจ็บหนักแต่เพราะไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้ คนพวกนั้นก็เลยต้องกลับมาอีกรอบ”
“ต้องกลับมาทำร้ายแม่ของนายอีกรอบงั้นเหรอ”
“ใช่” ต้นน้ำพยักหน้ารับ “แต่เพราะช่วงนี้แม่ไม่อยู่ห้อง คนพวกนั้นก็เลย-”
“งั้นรอยช้ำพวกนี้ก็มาจาก...” เขมจิรามองไปที่รอยช้ำบนตัวของเด็กน้อย บางรอยเป็นสีม่วง บางรอยเป็นสีเหลือง เธอไม่รอช้ารีบหยิบยาแก้ฟกช้ำขึ้นมาทาให้เขาทันที
“คุณพกยาไปทุกทีเลยเหรอ” ต้นน้ำถามด้วยความสงสัย
“อืม มันจำเป็นน่ะ” เขมจิราตอบ ก่อนจะตั้งใจทายาด้วยความตั้งใจ ยิ่งมองเห็นรอยฟกช้ำเหล่านั้นก็ยิ่งรู้สึกโกรธขึ้นมา
ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร คนหนึ่งตั้งใจทายา ส่วนอีกคนยืนให้ความร่วมมือ
“คุณมีลูกชายด้วยเหรอ” ต้นน้ำโพล่งถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้ จำได้ว่าก่อนหน้านี้เธอพูดถึงลูกชายของตัวเอง
“อืม ฉันมีลูกชายคนหนึ่ง เขาค่อนข้างเป็นคนมีเอกลักษณ์ แต่นายกับเขาคงจะเข้ากันได้ดีแน่” เขมจิรานึกถึงลูกชายจอมบงการก็หัวเราะออกมา ถึงแม้จะเลี้ยงเด็กน้อยคนนี้มาถึงสองครั้งแต่เธอก็ยังคงชอบอยู่ดี
“ผมเจอเขาได้เหรอ”
“ได้สิ อีกไม่นานหรอก” เธอตอบพร้อมรอยยิ้ม “แต่นายอาจจะต้องอดทนกับเขาพอสมควร นายคิดว่าทนไหวหรือเปล่า”
“หนักกว่านี้ผมก็ทนมาแล้ว”
เขมจิรายิ้มให้กับคำตอบของต้นน้ำ ก่อนจะยืนขึ้นแล้วยื่นมือไปหาเด็กน้อยตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง
“ไปกันเถอะ พวกเราเหลือเวลาไม่มากแล้ว” เธอมองไปที่นาฬิกาข้อมือ คิดว่าอีกไม่นานเรวัชคงมาที่นี่
ต้นน้ำลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในตอนแรกเขาคิดจะปฏิเสธข้อเสนอของเขมจิรา แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เด็กชายตระหนักได้ว่าความตายอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ตอนนี้แม่ของเขาตายไปแล้ว เขาคือคนที่จะต้องรับกรรมต่อจากเธอจะเป็นไปได้
เด็กชายหันกลับไปมองห้องที่เขาเติบโตมา ถึงการอยู่ที่นี่จะไม่ใช่เรื่องดีแต่เขาก็ชินไปเสียแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างหล่อหลอมให้เขาเป็นเขาในทุกวันนี้
“กลัวเหรอ” เขมจิราถาม เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับเขยื้อน
“ไม่ ผมไม่กลัวเลยสักนิด”
ต้นน้ำหันกลับมามองเขมจิราอีกครั้งหนึ่ง มันคงเป็นเรื่องประหลาดที่จู่ๆ เขาเลือกจะทิ้งบ้านตัวเองและไปกับคนแปลกหน้าที่เจอกันเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมกลับเชื่อมั่นว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เขมจิรายิ้มอย่างพอใจกับคำตอบ ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินทางออกจากสถานที่แห่งนี้ เขามองไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เขมจิราคลายความกังวลใจไปได้หนึ่งเปลาะ ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ความเครียดที่สะสมมาเมื่อครู่เริ่มทลายหายไปทำให้เธอเริ่มซึมซับกับบรรยากาศรอบข้างได้มากขึ้น ในระหว่างนั้นจึงเริ่มรู้สึกเจ็บที่หน้าท้องขึ้นมาช้าๆ อดไม่ได้ต้องยกมือข้างหนึ่งมาลูบที่หน้าท้อง
ทุกครั้งที่ย้อนเวลากลับมาเธอต้องรักษาแผลนั้นตลอด นี่เป็นชีวิตที่สามแล้วแต่กลับไม่เคยชินเอาเสียเลย
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ต้นน้ำถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีอาการแปลกไป
“เปล่าหรอก”
เขมจิราเอ่ยปฏิเสธพร้อมทั้งสะบัดความเจ็บปวดนั้นทิ้งไปแล้วหันกลับมาตั้งใจขับรถอีกครั้งหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันสายตาเหลือบไปมองกระจกเข้าพอดี และเห็นว่ามีรถหรูอีกคันหนึ่งกำลังเลี้ยวเข้าซอยเดิมที่เธอพึ่งขับออกมาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้
“นั่นคงเป็นคุณสินะ เรวัช” เขมจิราเอ่ยพึมพำกับตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก ถึงต่อให้จะไม่เห็นคนในรถยนต์แต่มั่นใจว่าในนั้นต้องมีเรวัชอยู่แน่
เรวัชคลาดกับต้นน้ำเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
เขมจิราเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่งอย่างอารมณ์ดี ไม่คิดเลยว่าในชีวิตที่สามจะได้ยิ้มอย่างมีความสุขเร็วขนาดนี้ ราวกับว่าการสูญเสียสามีไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หากจะกล่าวให้ถูกต้องก็คงจะต้องพูดว่าการเดินนำหน้าเรวัชหนึ่งก้าวนั้นมีผลต่ออารมณ์และจิตใจของเธอมากกว่าการสูญเสียสามีซะอีก