แย่งตัว
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ต้นน้ำเดินตามติดบัลลังก์เป็นเงา ไม่ว่าคุณชายอย่างเขาจะเดินไปที่ไหนก็จะต้องมีต้นน้ำเดินไปด้วยเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาอ่านหนังสือ ถึงอีกฝ่ายจะอ่านได้เพียงเล็กน้อยมากก็ตาม บัลลังก์จะมีเวลาอยู่คนเดียวก็ต่อเมื่อถึงเวลาเข้านอน หรือเวลาที่ต้นน้ำไปช่วยงานแม่ของเขาก็เท่านั้น เด็กคนนั้นทำงานบ้านเป็นทุกอย่าง ทั้งการล้างจาน ซักผ้า ตากผ้า หรือแม้กระทั่งการทำความสะอาดบ้าน
แต่ถึงอย่างไรบัลลังก์ก็ยังคงปฏิเสธที่จะเสวนากับคนอย่างต้นน้ำอยู่ดี เพราะใกล้ถึงเวลาจะเปิดเรียนแล้ว เขาต้องเตรียมความพร้อมให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะเป็นที่หนึ่ง
สำหรับบัลลังก์ ต้นน้ำเป็นเด็กที่เก่งแค่เรื่องที่ไม่ต้องใช้สมองก็เท่านั้น
“แล้วหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบนายจะไปทำอะไรต่อ มีเรียนพิเศษอะไรอีกหรือเปล่า” ต้นน้ำถามอย่างสงสัย ไม่เคยคิดเลยว่าเด็กหกขวบเช่นพวกเขาจะต้องมาเรียนเยอะขนาดนี้
“ไม่ใช่เรื่องของนาย” เขาตอบอย่างรำคาญ
“นายไม่ได้เรียนดนตรีอะไรเลยเหรอ ฉันได้ยินมาว่าคนรวยๆ ชอบเรียนดนตรีอย่างเปียโนกันนี่ แปลกจัง”
บัลลังก์ชะงักไปครู่หนึ่ง สิ่งที่ต้นน้ำพูดเป็นความจริง เด็กหลายคนที่เกิดในตระกูลร่ำรวยส่วนมากเลือกจะเรียนเปียโนและแน่นอนว่าครอบครัวของพวกเขาสนับสนุนสิ่งนี้ ทว่าตระกูลเทวราชกลับไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องดนตรี
อันที่จริงควรจะบอกว่าไม่ให้ความสำคัญกับเปียโนมากกว่า
ที่ห้องโถงของคฤหาสน์ตระกูลเทวราชเคยมีเปียโนวางเด่นสง่าอยู่ ทว่าในภายหลังเครื่องดนตรีชิ้นนั้นกลับหายไป
บัลลังก์ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าเป็นเพราะอะไร แต่คิดว่าคงจะเกี่ยวกับหลานชายคนโตของตระกูลอย่าง ‘ธัช’ แน่นอน
“บัลลังก์ ทำไมเงียบไปล่ะ” ต้นน้ำสะกิดไหล่ของอีกฝ่าย
“อย่าจับตัวฉัน! เรื่องของครอบครัวฉัน นายไม่ต้องเข้ามายุ่งวุ่นวาย” บัลลังก์สะบัดมือของอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีไปอีกทางหนึ่งแทน
เขมจิรามองเหตุการณ์ตรงหน้าโดยไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไร การเปิดใจให้กับต้นน้ำคงจะไม่ง่ายนัก เนื่องจากทั้งสองคนต่างกันราวกับเหว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปแทรก
แต่จู่ๆ เธอกลับได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายเสียงดังอยู่หน้าประตูบ้าน เสียงกริ่งดังไม่หยุดหย่อนจนเริ่มรู้สึกรำคาญ เมื่อมองออกไปผ่านหน้าต่างก็เห็นว่ามีคนแปลกหน้าสามคนยืนอยู่ที่นั่น
โดยมีชายแก่ร่างผอมคนหนึ่ง พยายามกดกริ่งหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งข้างกายถูกประกบด้วยหญิงแก่ที่มีอายุไล่เลี่ยกัน และชายหนุ่มท่าทางเซ่อซ่าคนหนึ่ง พวกเขาแต่งกายด้วยชุดธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่พนักงานหรือเจ้าหน้าที่จากที่ไหน แต่มันช่างไม่เข้ากับสถานที่แห่งนี้ เพราะชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่มีสภาพเก่าและยับยู่ยี่ไปหมด
“คนพวกนั้นเป็นใคร” เขมจิราพึมพำ เธอไม่ต้องการไปเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น จึงโทรบอกยามของหมู่บ้านให้นำตัวของสามคนนี้ออกไป
“ไม่ไป! ฉันมาตามหาหลานชายของฉัน! คุณตำรวจบอกว่าเขาอยู่ที่นี่ ถ้าฉันไม่ได้ตัวของหลานชายฉันก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น” หญิงแก่กล่าวด้วยความโศกเศร้า แล้วรีบเช็ดน้ำตาตัวเอง “โธ่ หลานชายที่น่าสงสารของฉัน แม่ของเขาพึ่งตายไปแท้ๆ แต่กลับถูกหญิงที่ไหนไม่รู้ลักพาตัวมาอยู่ที่นี่ ฉันต้องปกป้องเขาเอาไว้ให้ได้”
เสียงคร่ำครวญของหญิงแก่ดังไปทั่วบ้าน แม้แต่บัลลังก์และต้นน้ำที่พึ่งเดินมาก็ได้ยินคำพูดนั้นของเธอเข้า
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” ต้นน้ำพึมพำด้วยความสับสน เขาไม่เคยรู้สึกคุ้นเคยกับสามคนนี้มาก่อน
“ถ้านายไม่รู้แล้วพวกฉันจะไปรู้หรือไง” บัลลังก์ตอบ
“งั้นพวกเราก็ไปหาคำตอบกันเถอะ” เขมจิราพูด เมื่อเห็นว่ามีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง
“ไม่นะครับแม่! สามคนนั้นอันตรายเกินไป พวกเราอย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า แค่ส่งตัวของเด็กคนนี้ให้พวกเขาไปก็พอแล้ว” เขารีบดึงมือแม่เอาไว้ พยายามฉุดรั้งอีกฝ่ายไม่ได้เข้าไปใกล้อันตราย
“ไม่ได้หรอกบัลลังก์ พวกเราต้องคุยให้รู้เรื่อง”
“แต่ผม-”
“ถ้าลูกกลัวก็รออยู่ข้างในนี้ก่อน เดี๋ยวแม่จะกลับมา” เธอปลอบใจลูกชาย
“ผมไปด้วยครับ” ต้นน้ำตอบ ทิ้งให้บัลลังก์ต้องรอในบ้านคนเดียว
ทันทีที่ทั้งสองคนเดินมาถึงประตูบ้าน คนเหล่านั้นที่สังเกตเห็นก็รีบกวักมือเรียกตำรวจอย่างรวดเร็ว
“นั่นไง! หลานชายของฉันอยู่ที่นั่น เด็กคนนั้นคือหลานชายของฉัน!” หญิงแก่พูดพร้อมกับชี้มือมาที่ต้นน้ำ “ผู้หญิงคนนั้นลักพาตัวหลานชายของฉันมา”
“ไม่ใช่สักหน่อย! เธอไม่ได้ลักพาตัวผมมา” ต้นน้ำรีบปฏิเสธ
“อย่าเชื่อเขานะครับคุณตำรวจ เขาเป็นแค่เด็กอายุหกขวบที่ถูกผู้หญิงคนนี้ปั่นหัว เธอพยายามจะชักจูงเขาไปในทางที่ไม่ดี” ชายแก่รีบโน้มน้าวใจอีกฝ่าย
“ใช่ๆ เธอเป็นคนไม่ดี พวกผมต่างหากที่เป็นคนดี” ชายหนุ่มที่เหลืออยู่พูดตาม
แม้ตำรวจจะรู้สึกตงิดใจกับคำพูดของทั้งสามคนนั้น แต่ก็ต้องทำตามหน้าที่
“ผมได้รับแจ้งมาว่ามีเด็กคนหนึ่งหายตัวไปหลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิต และดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะอยู่กับคุณ”
“ใช่ค่ะ ต้นน้ำคือเด็กคนนั้น ตอนนี้ฉันกำลังดำเนินการเรื่องที่จะรับเขาเป็นลูกบุญธรรม” เขมจิราตอบอย่างใจเย็น
“จะรับได้ยังไง! แม่ของเด็กคนนี้เป็นชู้กับสามีของเธอนะ นี่จะบ้ากล้ารับลูกชู้ไปเลี้ยงดูจริงๆ งั้นเหรอ” หญิงแก่รีบพูดแทรก “คุณตำรวจอย่าไปเชื่อเธอนะคะ”
ตำรวจที่ได้ฟังคำพูดเมื่อถึงกับเลิกคิ้วสูง อันที่จริงเขาเข้าข้างเขมจิรามากกว่า แต่เมื่อได้ฟังข้อมูลล่าสุดก็ถึงกับต้องหยุดชะงักไป
“ส่วนพวกผมเป็นญาติห่างๆ ของเด็กคนนี้ ตอนนี้เขาไม่เหลือพ่อแม่อยู่แล้ว ญาติอย่างพวกผมก็ต้องมารับเขาไปเลี้ยงดูสิ!” ชายแก่พูด
“ผมไม่รู้จักพวกคุณ!” ต้นน้ำรีบแย้ง ใบหน้าโกรธกรุ่น
“ก็เพราะว่าแม่ของเด็กคนนี้หนีออกจากบ้านไปตั้งแต่เด็ก พวกเราพยายามตามหาเธอแล้วแต่ก็หาไม่พบเสียที กว่าจะรู้ข่าวอีกทีก็พบว่าเธอเสียชีวิตไปแล้ว” พูดจบหญิงแก่ก็เช็ดน้ำตาอีกรอบ “ฉันอยากจะไถ่โทษที่เคยเคี่ยวเข็ญเธอหนักจนเกินไปด้วยการรับลูกชายของเธอมาเลี้ยงก็แค่นั้น”
ชายแก่มองเห็นสีหน้าไม่เชื่อของคุณตำรวจก็รีบเล่นบทเหยื่อทันที “ถึงพวกผมจะไม่มีเงินมากนักแต่ก็พอจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้ให้เป็นคนดีของสังคมได้ ขอแค่คุณตำรวจอย่าตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอก”
“พวกผมไม่ใช่คนไม่ดีนะครับ” ชายหนุ่มรีบพูดตามอีกครั้งหนึ่ง
เขมจิรารู้ว่าตอนนี้เธอกำลังถูกไล่ต้อนจากทั้งสามคน ทั้งที่ในอดีตคนเหล่านี้ไม่เคยโผล่มาเลยสักครั้งเดียว ทว่าจู่ๆ ตอนนี้กลับมาทำหน้าที่เป็นญาติผู้แสนดี
ใครกันแน่ที่ส่งพวกเขามา?
“ที่บอกว่ามันตาหนีออกมาจากบ้าน นั่นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วนะคะที่จะบอกว่าเธอไม่ต้องการให้ลูกชายไปอยู่ที่บ้านของทั้งสามคนนี้” เขมจิราพูดแทรก “หากพวกเขาเลี้ยงดูมันตาดีจริงๆ เธอจะยังคิดหนีออกจากบ้านอีกเหรอ”
“ฉันก็บอกแล้วไงว่าเคี่ยวเข็ญมันตามากเกินไป! พวกเราไม่ได้ทำอะไรเธอเลยนะคะ” หญิงแก่รีบปฏิเสธ
“คนตายพูดไม่ได้แล้ว คุณอยากจะพูดอะไรก็พูดได้สิ จะกล่าวหาคนตายยังไงก็ได้” เขมจิรายั่วยุอีกฝ่าย
“ก็เด็กนั่นมันใจแตกจริงๆ นี่!” หญิงแก่ทนไม่ไหว ตะคอกกลับเสียงดังลั่น แต่เมื่อตั้งสติได้ก็รีบปฏิเสธอีกครั้ง “เธอเป็นเด็กวัยรุ่นที่เอาแต่สนใจเรื่องผู้ชาย ฉันทนไม่ไหวเลยต้องสอนให้รักนวลสงวนตัว แต่เธอก็ยังไม่ฟังแล้วหนีออกจากบ้านไปแทน”
“ใช่ๆ เธอไม่คิดจะติดต่อกลับมาหาพวกเราเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่ได้ทำงานแล้วแท้ๆ” ชายหนุ่มพูด ราวกับลืมไปว่าตอนนี้เขาก็กำลังอยู่ในวัยทำงานเช่นเดียวกัน
“แล้วทำไมเธอถึงไม่คิดจะติดต่อกลับมาเลยล่ะ นั่นเป็นเพราะว่ามันตาไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอะไรกับพวกคุณแล้ว ขนาดลูกชายของเธอยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพวกมีญาติแบบพวกคุณอยู่ด้วย”
“นี่แก!” หญิงแก่ยิ่งโมโหหนักเข้าไปอีก ในใจคิดอยากจะวิ่งเข้าไปทำร้ายร่างกายเขมจิรา
ในตอนนี้ตำรวจดูท่าทางจะเข้าข้างผู้หญิงคนนั้น เนื่องจากสิ่งที่เธอพูดก็มีเหตุผลไม่น้อย แต่ในเวลาที่เคร่งเครียด หญิงแก่กลับคิดได้เสียก่อนว่าเธอเองก็มีไม้เด็ดซ่อนอยู่ จึงรีบหันไปพูดกับคุณตำรวจ
“การทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติในครอบครัว แต่พวกฉันก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับลูกหลานเลยสักครั้ง” เธอกล่าวด้วยความมั่นใจ แล้วหันไปหาต้นน้ำ ฉุดอีกฝ่ายมายืนอยู่หน้าคุณตำรวจพร้อมกับชูแขนผอมแห้งของเด็กขึ้นมา “คุณตำรวจดูนี่สิคะ รอยช้ำบนร่างกายของต้นน้ำ เขาไปได้แผลพวกนี้มาจากไหน!”
“รอยช้ำ?” ตำรวจรีบตรวจสอบดูร่างกายของเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว อันที่จริงเขาเองก็คิดว่าต้นน้ำผอมแห้งกว่าเด็กทั่วไปอยู่สักหน่อย แต่เมื่อได้สังเกตดีๆ จะเห็นรอยฟกช้ำบนร่างกายของเด็กน้อยเต็มไปหมด “คุณเขมจิรา คุณอธิบายได้ไหมว่ารอยพวกนี้มาจากไหน”
“ฉัน...” เขมจิราอึกอัก ไม่มีหลักฐานอะไรเลยที่จะพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้เป็นคนทำร้าย
“ผมเป็นคนทำเอง ผมไม่ระวังจนเกิดรอยพวกนี้ขึ้นมา พี่เขมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น!” ต้นน้ำรีบพูดช่วยเหลือ ทว่ากลับทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
“คุณตำรวจ ต้นน้ำกำลังปกป้องคนทำความผิดอยู่ สามีของเธอเป็นชู้กับแม่ของเขา แล้วเธอจะรับเลี้ยงเด็กคนนี้ได้จริงๆ เหรอ” ชายแก่อาศัยจังหวะนี้รีบโน้มน้าวใจ “ผมอยากให้คุณตำรวจพิจารณาให้ดีว่าญาติห่างๆ แบบพวกผมหรือหญิงที่ถูกสามีหักหลังกันแน่ที่หวังดีกับต้นน้ำ”
ประโยคเด็ดเมื่อครู่เป็นเหมือนหมัดเด็ดสุดท้ายที่น็อกคู่ต่อสู้บนสังเวียนได้อย่างสมบูรณ์
“คุณเขมจิรา ผมคงต้องพาตัวเด็กคนนี้ไปจากที่นี่ หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ”
“พี่เขม ผมไม่อยากไปกับคนพวกนี้” ต้นน้ำจับชายเสื้อของเขมจิราไว้แน่น แววตาที่เคยมุ่งมั่นกลับสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งที่ได้อยู่กับคนที่อบอุ่นแบบนี้แล้วแท้ๆ
คนที่ต้องอยู่กับความมืดมิดมาตลอด แต่วันหนึ่งดันมีแสงสว่างโผล่เข้ามาในชีวิต แล้วต้องกลับไปอยู่ในความมืดมิดเช่นเดิม เขาจะรับมือกับความสูญเสียนี้ได้อย่างไร
เขมจิรารู้ดีว่าตำรวจคนนั้นคงจะถอยให้เธอมากแล้ว อันที่จริงเขมจิราควรจะต้องไปที่โรงพักเพื่ออธิบายถึงรอยฟกช้ำเหล่านั้นให้ตำรวจฟังเสียด้วยซ้ำ
มือทั้งสองข้างของเธอประคองใบหน้าของเขาไว้ จ้องมองไปในดวงตาคู่นั้นพร้อมกล่าวคำมั่นสัญญาเอาไว้ “ไม่ต้องห่วง ฉันจะพานายกลับมาเอง ไม่ต้องกลัวนะ”
ต้นน้ำพยักหน้ารับ ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยความโศกเศร้า มือทั้งสองข้างจับชายเสื้อของเขมจิราไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย
เขาไม่อยากจากบ้านหลังนี้ไปเลย...
“มาได้แล้ว ยายจะดูแลต้นน้ำให้ดีเอง ไม่ต้องห่วง” หญิงแก่พูดจาห่วงใย ทว่าแววตาแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ นึกถึงประโยชน์ที่จะได้รับต่อจากนี้ก็ยิ่งมีความสุข