บท
ตั้งค่า

พี่เขม

บทที่ 6 แย่งตัว

ค่ำคืนนั้นเขมจิราเดินเข้าไปดูต้นน้ำในช่วงดึก เธอเห็นเขานอนหลับสนิทจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมาไม่น้อย ร่างเล็กซูบผอมถูกห่อหุ้มด้วยผ้าห่มผืนใหญ่ มีเพียงแค่ใบหน้าซูบตอบโผล่พ้นขึ้นมา

รอยช้ำบางส่วนดูดีขึ้นมาก นั่นแปลว่าพ่อแม่ของเธอคงจะดูแลเด็กคนนี้ดีพอสมควร มุมปากของเธอยกขึ้นด้วยความโล่งใจ

ในชีวิตที่สองเธอเคยไปที่ห้องเช่าของต้นน้ำ แต่สิ่งที่เขมจิราเห็นกลับพบว่าที่แห่งนั้นถูกพัฒนาเป็นชุมชนไปเสียแล้ว แม้จะหลงเหลือร่องรอยของความเสื่อมโสม แต่กลับไม่คิดว่าเด็กชายจะเติบโตมาจากที่แห่งนั้นได้

เธออดไม่ได้ยื่นมือเรียวไปลูบศีรษะของเด็กชายด้วยความเอ็นดู เส้นผมที่เคยสากแห้งติดกันเป็นก้อนแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มลื่น ไม่ระคายผิวเหมือนแต่ก่อน

“ฝันดีนะต้นน้ำ”

เขมจิราอยู่ในห้องนั้นสักพักแล้วเดินมาที่ห้องตรงข้าม นั่นก็คือห้องของลูกชายอย่างบัลลังก์ เธอเปิดประตูเข้าไปเห็นร่างเล็กนอนอยู่บนเตียงแล้ว แต่หญิงสาวรู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลานอนของเขา

เขมจิรานอนลงบนเตียงอีกฝั่งที่ว่างอยู่ ก่อนจะดึงลูกชายเข้ามาในอ้อมกอด ได้ยินเสียงลมหายใจที่ติดขัดของเขาก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายแกล้งหลับ

ดูท่าว่าตอนนี้บัลลังก์ยังไม่พร้อมจะคุยเรื่องอะไรทั้งนั้น

แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขมจิราเลยแม้แต่น้อย หากลูกชายไม่อยากพูด เธอก็คงต้องพูดคนเดียว

มือเรียวข้างหนึ่งเริ่มกล่อมเขาด้วยการตบที่แผ่นหลังช้าๆ เหมือนอย่างทุกครั้ง

“สัปดาห์นี้ไม่ง่ายเลยสำหรับพวกเรา ลูกคงจะเหนื่อยมากเลยใช่ไหม คงจะมีคำถามหลายอย่างผุดขึ้นมาในหัว โดยเฉพาะความจริงเรื่องของต้นน้ำ”

น้ำเสียงรื่นหูถูกกล่าวออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มของเธอ ราวกับว่ากำลังเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ลูกชายฟัง โดยที่มืออีกข้างก็สางผมเขาไปพลางๆ

“เด็กคนนั้นเขาเป็นลูกติดของมันตา ผู้หญิงคนนั้น...” เขมจิราชะงักไปครู่หนึ่ง “เธอมีลูกชายคนหนึ่งและเขามีชื่อว่าต้นน้ำ เด็กคนนั้นไม่ได้มีชีวิตที่ดีเท่าไหร่ อันที่จริงควรจะพูดว่าไม่ดีมากเลยต่างหาก ร่างกายที่ผอมแห้ง รอยฟกช้ำบนร่างกาย มันเป็นเรื่องยากที่จะปิดบังความจริงเหล่านั้น”

บัลลังก์นึกถึงต้นน้ำขึ้นมา แม้วันนี้จะได้เห็นอีกฝ่ายเพียงไม่นานแต่เขากลับสังเกตรายละเอียดเล็กน้อยได้เป็นอย่างดี ทั้งอาการตาเหลืองและดวงตากลมโตมากกว่าเด็กทั่วไป ริมฝีปากและผิวหนังเหี่ยวย่นแห้งกรัง อาการผมร่วงเป็นหย่อมๆ รวมทั้งเล็บที่หลุดลอกฉีกขาด

ถึงต่อให้ไม่มีรอยฟกช้ำเหล่านั้นปรากฏขึ้นมา บัลลังก์ก็พอจะเดาได้ว่าชีวิตของเด็กคนนั้นเป็นอย่างไร

แต่แล้วอย่างไรล่ะ? เด็กคนนั้นเพียงแค่ต้องการใช้ความสงสารให้เป็นประโยชน์ก็แค่นั้น

“ที่แม่พูดแบบนั้นไม่ได้ต้องการให้ลูกสงสารอีกฝ่าย แต่เพราะตอนนี้พวกเราทั้งสามคนต่างก็ต้องเผชิญการสูญเสีย ลูกสูญเสียพ่อไป แม่สูญเสียสามีไป ส่วนต้นน้ำก็สูญเสียแม่ของเขาไป”

บัลลังก์ยังคงหลับตานิ่ง ไม่ขยับ ในใจแย้งว่าเด็กคนนั้นไม่รู้สึกเสียใจที่ต้องสูญเสียแม่เลยสักนิดเดียว ถึงตอนนี้เขาจะโกรธพ่ออยู่แต่วินาทีที่เห็นควันลอยไปสู่ท้องฟ้า ภายในใจกลับเศร้าไม่น้อย แต่เจ้านั่นกลับทำหน้าตาเรียบเฉย แถมยังกินข้าวอร่อยอีกต่างหาก

“ลูกคงรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องอยู่ใกล้กับต้นน้ำ แถมคงจะตั้งคำถามกับการกระทำของแม่มากมาย แม่ก็อยากจะบอกลูกเหมือนกันว่าทำไมต้องทำแบบนั้น แต่ดูเหมือนว่าบัลลังก์คงจะหลับไปแล้ว งั้นเอาไว้ค่อยตอบวันที่ลูกถามดีกว่า”

เขมจิราเอ่ยแกล้งเด็กชายในอ้อมแขน โดยที่มั่นใจว่าเขาตื่นอยู่แท้ๆ แต่เธอกลับไม่ยอมพูดอะไรอีก แต่ถึงต่อให้บัลลังก์จะอยากฟังมากแค่ไหน ทว่าความหงุดหงิดภายในใจยังคงมากกว่าความสงสัยอยู่ดี

ในคืนนั้นเขาจึงยอมหลับไปในอ้อมแขนของแม่อย่างไม่สบอารมณ์

เช้าวันต่อมาต้นน้ำตื่นแต่เช้าตรู่ รีบวิ่งมาที่ห้องครัวด้วยความสงสัย ก่อนจะเห็นว่าเขมจิรากำลังทำอาหารเช้า เขาไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปช่วยด้วยความชำนาญ

“ให้ผมช่วยไหม” มือผอมแห้งจับมีดขึ้นมา

“ตื่นแล้วเหรอ ไปนั่งรอก่อนเถอะ” เขมจิราบอก

“ไม่เป็นไร ผมเคยทำมาก่อน แค่ปอกผลไม้ไม่ยากเลย คุณเขม…” ต้นน้ำลังเลเล็กน้อย ไม่มั่นใจว่าควรเรียกหญิงตรงหน้าว่าอย่างไร เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้พูดคุยกันอย่างจริงจังหลังจากที่เธอไปรับเขามาจากห้องเช่า

“เรียกฉันว่าพี่เขมดีกว่า”

“เอ๊ะ? พี่เขมเหรอ?” ต้นน้ำยิ่งลังเลมากกว่าเดิมเพราะเขมจิราเหมือนจะอายุมากกว่าแม่เขาเสียอีก แต่อีกฝ่ายกลับให้เรียกว่าพี่

เขารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง…

“ใช่ ต่อไปนี่นายต้องเรียกฉันกว่าพี่ เข้าใจไหม” เขมจิราเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ครับพี่เขม…”

“เยี่ยมมาก” พูดจบริมฝีปากอวบอิ่มก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี

เนื่องจากแต่งงานตั้งแต่เรียนจบ ชีวิตจึงเหมือนก้าวกระโดดไปอีกขึ้นหนึ่งทันที ไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นมากนัก แต่จู่ๆ การที่มีเด็ก ‘รุ่นลูก’ มาเรียกเธอว่าพี่สาว คำพูดเหล่านี้คล้ายจะเยียวยาชีวิตวัยรุ่นของเธอได้บ้าง

เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว ต้นน้ำก็ยังยืนยันที่จะช่วยเขมจิราทำอาหารต่อไป โดยมีหน้าที่ล้างและหั่นผัก

“ต้นน้ำเคยทำงานแบบนี้ด้วยเหรอ” เธอถาม หลังจากที่สังเกตมาสักพักว่าเขาทำด้วยความคล่องแคล่ว

“ผมเคยทำมาก่อน ที่หน้าปากซอยจะมีร้านขายอาหารตามสั่งอยู่ เจ้าของร้านให้ผมทำหน้าที่หั่นผักบ่อยๆ”

“คงจะทำมานานแล้วใช่ไหมถึงได้คล่องแคล่วแบบนี้” เขมจิราจำได้ว่ามีร้านอาหารร้านหนึ่งตั้งอยู่ที่หน้าปากซอยจริงๆ แต่แน่นอนว่าสภาพร้านไม่ได้ดูดีนัก

“ผมทำงานที่นั่นมาได้หนึ่งปีแล้ว”

คำตอบของต้นน้ำทำให้เขมจิราเข้าใจได้ทันทีว่าเขาไม่ได้ไปโรงเรียนเลย และการทำงานที่นั่นบางทีอาจจะเป็นการใช้แรงงานเด็กอย่างหนักจนถึงขั้นถูกเอาเปรียบ

ต้นน้ำเห็นเขมจิราเงียบไปจึงรีบอธิบาย “อันที่จริงที่นั่นก็ไม่ได้แย่อะไร พวกเขาให้อาหารผมทานระหว่างวัน แถมยังให้เงิน-”

“ฉันเข้าใจแล้ว” เขมจิรารีบพูดตัดบท ก่อนจะใช้มือทั้งสองวางลงบนไหล่ของเด็กชาย จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น “ต้นน้ำ ตั้งแต่ที่นายมาอยู่ที่นี่ ฉันมีกฎข้อเดียวที่ขอให้นายจำให้ขึ้นใจ”

“อะไรครับ”

“ฉันภูมิใจที่นายดูแลตัวเองได้ดี แต่ที่บ้านหลังนี้นายไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ต้องพยายามดิ้นรนอะไรทั้งนั้น เข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า”

“เข้าใจ…”

“งั้นก็เดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร รอทานข้าวเช้าพร้อมกับพวกเรา”

“ครับ”

ต้นน้ำพยักหน้ารับ เดินไปที่โต๊ะอาหารด้วยความมึนงงสับสน สำหรับเขาการพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการนั้นเป็นเรื่องปกติ

หากไม่อยากอดตาย เขาก็ต้องทำงาน

แต่จู่ๆ วันหนึ่งกลับมีคนเดินมาบอกว่าไม่ต้องพยายามทำอะไรทั้งนั้นก็สามารถกินอิ่มนอนหลับได้สบาย

เขาไม่รู้ว่าควรจะรับมือสิ่งนี้อย่างไร

ไม่นานบัลลังก์ก็เดินลงมาที่ห้องอาหาร เมื่อเห็นต้นน้ำนั่งรออยู่ก่อนแล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา จึงรีบเชิดหน้าไปทางอื่น

“เอาล่ะ ทุกคนมาพร้อมแล้ว งั้นมาทานอาหารเช้ากันดีกว่า” เขมจิรายื่นแก้วนมทั้งสองไปให้เด็กชาย แล้วเดินกลับไปที่ห้องครัว

บัลลังก์ที่เกลียดนมจืดเป็นทุนเดิมก็เลือกที่จะจิบเพียงนิดเดียวเท่านั้น ไม่เหมือนกับต้นน้ำที่กินคำเดียวหมดแก้วทันที

“ทำอย่างกับว่าไม่เคยกินมาก่อน” บัลลังก์กล่าว

“ก็ฉันไม่เคยจริงๆ ไม่สิ อันที่จริงก็เคยกินแต่ไม่เคยกินรสชาติที่อร่อยแบบนี้” ต้นน้ำเคยมีโอกาสทานนมจืดบ้างเป็นบางครั้ง เขาต้องแย่งชิงกับเด็กคนอื่นๆ เพื่อนมไม่กี่กล่อง ทว่ารสชาติกลับไม่อร่อยสู้นมแก้วนี้เลย “นายไม่ชอบเหรอ”

“ไม่ชอบ! ฉันไม่ชอบทั้งนมแก้วนี้ ทั้งนายด้วย!” บัลลังก์ตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้า

ต้นน้ำรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงจะเกลียดเขามากและนั่นก็สมเหตุสมผล เขาจึงเลือกที่จะไม่ตอบโต้ แล้วตั้งใจทานอาหารแทน

นับตั้งแต่ที่ได้ออกมาจากที่แห่งนั้น ทุกอย่างในชีวิตของเขากลับดีขึ้นมาก ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าในชีวิตนี้จะได้ทานอาหารอร่อย ได้นอนหลับบนเตียงนุ่ม

หากต้องแลกสิ่งเหล่านี้มาด้วยคำถากถางเล็กน้อยเช่นนี้ สำหรับเขาถือว่าคุ้มมาก

“นายชื่อบัลลังก์ใช่หรือเปล่า” ต้นน้ำเอ่ยถาม

บัลลังก์ไม่สนใจ ทำราวกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน

“พี่เขมเคยพูดถึงนายให้ฉันฟังด้วย เธอบอกว่า-”

“พี่เหรอ? นี่นายกล้าเรียกแม่ฉันว่าพี่งั้นเหรอ!” บัลลังก์ตะคอกเสียงดังลั่นห้อง สิ่งที่เด็กคนนี้ทำมันจะเกินไปแล้ว กล้ามาเรียกแม่ของเขาว่าพี่ได้อย่างไร? “อย่าเอาแม่ฉันเข้ามาเกี่ยว เธอไม่ใช่พี่ของนาย!”

“แต่เธอบอกให้ฉันเรียกแบบนั้น แล้วก็ดูจะมีความสุขมากด้วย”

“อย่ามาโกหก! แม่ของฉันไม่ใช่คนบ้ายอกับคำพูดแบบนั้น นายต่างหากที่สร้างเรื่องขึ้นมา คงเพราะอยากจะทำให้เธอพอใจล่ะสิ ฉลาดไม่เบานี่”

“ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อย ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามพี่เขมดูก็ได้”

“หยุด!” คำว่าพี่ยิ่งได้ยินก็ยิ่งรังเกียจ

“ทั้งสองคนคุยอะไรกันอยู่เหรอ ดูท่าทางสนุกเชียว” เขมจิราเอ่ยถาม ก่อนจะนั่งลงบนหัวโต๊ะ ขั้นกลางทั้งสองคนเอาไว้เหมือนกับว่าเป็นกรรมการ

“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่เรื่องทั่วไป” บัลลังก์เอ่ยปฏิเสธ “แม่รีบทานดีกว่าเดี๋ยวอาหารจะเย็นหมด”

“นั่นสิ ‘พี่เขม’ รีบทานดีกว่า” ต้นน้ำจงใจเรียกคำนั้นอย่างบรรจง

บัลลังก์หนังตากระตุกอย่างรุนแรง มือที่จับส้อมเริ่มสั่นทีละน้อย หลังจากที่ได้ยินคนตรงข้ามเอ่ยเรียกแม่เขาแบบนั้น แต่กลับยิ่งต้องเจ็บใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นว่าแม่ไม่มีท่าทีปฏิเสธกับคำพูดเยินยอเหล่านั้น

ศึกสังเวียนนี้เขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel