นึกรังเกียจ
เขมจิราไม่ได้กลับไปบ้านของพ่อแม่เหมือนอย่างที่คนอื่นๆ คิดเอาไว้ เธอพาลูกชายและต้นน้ำมาที่บ้านหลังใหม่ที่เธอซื้อไว้เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ เป็นบ้านสองชั้นตกแต่งด้วยสไตล์ยุโรป ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายโดยที่ในโครงการมีแค่ไม่กี่สิบหลัง
เธอแอบซื้อไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน และวันนี้ก็เป็นไปตามคาด
ในระหว่างทางบนรถยนต์ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด ทั้งสามคนต่างไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะบัลลังก์ที่เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึง ไม่ยอมสบตากับต้นน้ำแม้แต่น้อย ทำราวกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้…
“เอาล่ะ แม่เตรียมห้องไว้ให้ทั้งสองคนแล้ว ของบัลลังก์อยู่ทางขวา ส่วนของต้นน้ำอยู่ทางซ้าย” เขมจิราชี้ไปทั้งสองทาง เด็กทั้งสองคนพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินไปที่ห้องของตัวเอง
ในระหว่างนั้นเขมจิรากำลังจัดการเสื้อผ้าบางส่วนของเธออยู่ในห้องนอน ไม่นานก็มีสายเรียกเข้าโทรมา เป็นชื่อที่คุ้นเคย
“ว่าไงเมฆา”
“ตอนนี้เขมอยู่ที่ไหน คงไม่ได้อยู่ที่บ้านของลุงอุดมหรอกใช่ไหม” เขาพูดอย่างรู้ทัน
“อืม ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น”
“งั้นก็ดีแล้ว”
“ทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่าพ่อแม่ของทักษ์จะลากตัวฉันกลับไป”
“พวกเขาคิดแบบนั้น แต่ว่าคุณย่าบอกว่าให้ปล่อยเธอไปก่อน แล้วฉันก็เห็นด้วยกับคุณย่าเหมือนกัน เธอสบายดีใช่ไหม” เมฆาถามด้วยความเป็นห่วง “รวมถึงเด็กคนนั้นด้วย”
“อืม พวกเราสบายดี”
“แล้วเธอจะกลับมาที่ตระกูลเทวราชอีกทีวันไหน”
“ไม่รู้สิ แต่ฉันจะไม่กลับไปที่นั่นในฐานะลูกสะใภ้อีกต่อไปแล้ว”
“อะไรนะ! เขมจิรา เธอต้องใจเย็นมากกว่านี้นะ ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอคงโกรธทักษ์มาก แต่ไม่ควร-”
“ฉันไม่ได้โกรธเขา”
“แล้วทำไม…”
“ฉันแค่ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเทวราชอีกต่อไปแล้ว”
“แล้วบัลลังก์ล่ะ ลูกชายของเธอตั้งใจทำทุกอย่างเหมือนพ่อเขามาตลอดนะ” เมฆาถามด้วยความคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าเขมจิราจะถึงขั้นตัดขาดกับตระกูล
“เรื่องนั้นฉันคงต้องถามบัลลังก์ก่อน ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไรฉันก็จะเคารพการตัดสินใจของเขา-”
“เป็นเพราะเด็กคนนั้นเหรอ...” เมฆาพูดเสียงเบา “เป็นเพราะเด็กที่ชื่อว่าต้นน้ำใช่หรือเปล่าที่ทำให้เธอตัดสินใจแบบนี้”
“ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขา แต่ถึงไม่มีเขาฉันก็จะจากไปอยู่ดี”
“ไม่ได้! จะทำแบบนี้ไม่ได้นะเขมจิรา เธอก็รู้ว่าเรื่องการแต่งงานของพวกเธอมีธุรกิจครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถึงต่อให้จะยืนกรานตัดขาดกับพวกเรา แต่พ่อของเธอไม่มีทางยอมแน่”
“ฉันรู้”
“แล้วเธอยังจะทำเรื่องสิ้นคิดแบบนี้อีกเหรอ!” เมฆาตะคอกด้วยความโกรธ เขาไม่อยากให้เธอต้องทิ้งทุกอย่างที่ทำมาด้วยเหตุผลสิ้นคิดเหล่านั้น “ตัดสินใจเรื่องต้นน้ำใหม่เถอะนะเขม ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้”
เมฆาตัดสายไปก่อนที่เขมจิราจะได้ตอบกลับ เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอมาโดยตลอด แต่อีกฝ่ายรู้เพียงเบื้องหน้าเท่านั้น เขาไม่รู้เหตุผลทั้งหมดที่เขมจิราทำลงไป
ทั้งสองคนนั้นเป็นเพื่อนวัยเด็กที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันมานานมากจนเกือบจะถึงขั้นพัฒนาความสัมพันธ์ แต่ก็ต้องหยุดไปเมื่อเมฆาเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ส่วนเธอถูกพ่อบังคับให้ต้องแต่งงานหลังเรียนจบ
ความรู้สึกดีๆ เหล่านั้น แม้จะมีมากเพียงใดก็ต้องถูกลบล้างให้หมดไป ก่อนจะแต่งงานกับสามีอย่างทักษ์
ปัจจุบันเธอเข้าใจดีกว่าสถานะของตนเองไม่สามารถเลี้ยงดูต้นน้ำได้อย่างเปิดเผย ทุกอย่างมีข้อจำกัดในตัวเองทั้งนั้น แต่ก่อนที่ข้อจำกัดนั้นจะมาถึงเธอต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด
การมีอยู่ของต้นน้ำจะช่วยให้เขมจิราเข้าใกล้เรวัชได้มากขึ้น
ประโยคเมื่อครู่อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวไปมาก แต่การที่เธอจะแก้ไขเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้นั้นต้องเริ่มที่ตัวต้นเหตุอย่างเรวัช และต้นน้ำเป็นตัวกลางสำคัญที่จะช่วยให้เธอติดต่อกับเขาได้
ถึงจะไม่ใช่ตอนนี้แต่ในอนาคตต้องเกิดขึ้นแน่นอน
เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยจังหวะเวลานี้ที่ทุกคนต่างเห็นใจ คิดว่าเธอเสียใจจนไร้สติสัมปชัญญะ เขมจิราต้องใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะสามารถแก้ไขทุกอย่าง
เขมจิราไม่รู้ว่าในอนาคตชีวิตของต้นน้ำจะเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อเธออยู่ที่นี่แล้ว อย่างน้อยที่สุดชีวิตของเด็กคนนี้จะต้องปลอดภัย ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นของใครทั้งนั้น
เธอจัดห้องนอนของตัวเองอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเรียกเด็กทั้งสองคนมาทานอาหารเย็นด้วยกัน ทันทีที่บัลลังก์เห็นว่าต้นน้ำนั่งอยู่ที่นี่ด้วยก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจอีกครั้งหนึ่ง
แม้จะไม่พอใจแต่เด็กชายก็เลือกที่จะเงียบ ถึงต่อให้จะไม่ชอบเด็กสกปรกคนนี้มากแค่ไหน แต่จิตใจของแม่คงจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก แม้ภายนอกจะดูเฉยชาแต่เธอเองก็คงจะเสียใจมาก บัลลังก์ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายมากไปกว่าเดิม จึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น
“มาทานอาหารกันเถอะ ถึงจะธรรมดาไปหน่อยแต่ก็อร่อยใช่ย่อยนะ” เขมจิราเอ่ยชวนเด็กชายทั้งสองคน โดยบนโต๊ะอาหารเป็นเพียงอาหารทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษทั้งนั้น แต่สายตาของต้นน้ำกลับแวววาวมาก สำหรับเขาขอแค่เพียงเป็นอาหารอุ่นร้อนก็พิเศษมากแล้ว
เขาไม่รอช้ารีบหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารด้วยความหิวโหยแบบที่บัลลังก์ไม่เคยเจอมาก่อน ช้อนใบนั้นถูกจุ่มลงบนน้ำแกงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่บางส่วนจะกระจายเลอะเทอะ สร้างความรังเกียจแก่บัลลังก์อย่างชัดเจน
คุณชายแบบเขาไม่เคยเจอคนไร้มารยาทเช่นนี้มาก่อน ทำราวกับว่าอาหารมื้อนี้เป็นมื้อสุดท้าย
อีกทั้งเมื่อสังเกตให้ดี ต้นน้ำร่างกายผอมแห้งกว่าเด็กทั่วไปมาก ทั้งดวงตาที่กลมโตมากกว่าคนปกติ ทั้งรอยช้ำบางส่วนที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมา นั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับบัลลังก์มากขึ้นไปอีก
เขมจิราเห็นลูกชายเบ้ปากด้วยความรังเกียจใส่การกินอย่างมูมมามของต้นน้ำ “อย่ารีบร้อนเกินไปนะเดี๋ยวอาหารจะติดคอได้”
“ครับ?” ต้นน้ำเงยหน้าพูดขณะที่อาหารเต็มปาก
“ค่อยๆ เคี้ยวนะ ระวังอาหารติดคอด้วย” เขมจิราพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะตักอาหารบางส่วนวางลงบนจานของต้นน้ำโดยใช้ช้อนกลางให้เขาเห็น
“ผะ ผมเข้าใจแล้ว” ต้นน้ำเอ่ยด้วยความอับอาย สิ่งที่เขมจิราทำเมื่อครู่ต้นน้ำเข้าใจได้ดี แต่ในอดีตสำหรับเขาเพียงแค่ช้อนใบเดียวก็พอแล้วจริงๆ
“ไม่เป็นไร สมัยเด็กฉันก็ถูกพ่อดุเรื่องนี้บ่อยๆ” เธอเอ่ยติดตลก ก่อนจะหันกลับมาหาลูกชายที่นั่งทำหน้าตาบูดบึ้งไม่มีผิด “ส่วนนี่ก็คืออาหารโปรดของบัลลังก์ ทานเยอะๆ นะลูก”
เขมจิราหันมากล่าวกับลูกชายเพื่อเอาใจอีกฝ่าย จากใบหน้าที่เคยบูดบึ้งกลับดีขึ้นมาบางส่วน ในอาหารมื้อนั้นแม้น้ำแกงจะเป็นเมนูโปรดที่บัลลังก์ชื่นชอบแต่เขากลับไม่แตะถ้วยนั้นเลยแม้แต่น้อย