3. มันคือแผน
เสี่ยวมี่มองดูผู้เป็นนาย ซึ่งมีสายตามาดมั่นมาก
“วางแผนไว้แล้วหรือเจ้าคะ” ถามพร้อมกับเอียงคอมองรอคำตอบ เพราะเสียวมี่ชอบยามที่ผู้เป็นนายวางแผนทำการต่างๆ ซึ่งแต่ละอย่างล้วนแต่ประหลาดทั้งนั้น
“คราแรกข้าคิดว่าจะหนีตอนเดินทาง ทว่าคนตระกูลหรงคงถูกร่างแหไปด้วยเป็นแน่ ถึงข้าจะไม่ชอบพวกเขา แต่ท่านพ่อก็ยังดีกับเราสองแม่ลูก จะปล่อยให้ท่านพ่อลำบากไม่ได้” ถึงจะอยู่ที่นี่แค่สองปี ทว่านางก็รับรู้ถึงความรักของท่านนายอำเภอที่มีต่อบุตรผู้นี้ดี
“เอาเถอะ ถึงเมืองหลวงแล้วเราค่อยคิดหาวิธีแล้วกัน” เอ่ยตัดบทเอาดื้อๆ เพราะยามนี้ทำสิ่งใดไม่ได้ คงต้องรอดูว่าถึงเมืองหลวงแล้วจะเป็นเช่นใด
“กลัวแต่จะสายเกินไปน่ะสิเจ้าคะ คำล่ำลือเกี่ยวกับท่านโหวน่ากลัวเพียงนั้น จะหาทางเอาตัวรอดได้เยี่ยงไร” เสี่ยวมี่ก็ยังคงห่วงกังวลเกรงผู้เป็นนายจะพลาดท่า แม้คนตรงหน้าจะฉลาดเฉลียวกว่าแต่ก่อนก็เถอะ ทว่าท่านโหวนั้นมีอำนาจมาก แม้แต่ตาสีตาสาก็ยังรู้เลย แล้วคุณหนูของตนจะหนีรอดเงื้อมมือจอมมารเช่นเขาไปได้เยี่ยงไร
“ข่าวลือ? นี่พี่ไปแอบรู้เรื่องนี้จากที่ใดมาอีกล่ะ” คิ้วสวยผูกกันเป็นปม พร้อมกับเอียงคอมองสาวใช้
“ก็เรือนใหญ่คุยกันเสียงดังเพียงนั้น ใครผ่านไปผ่านมาก็ได้ยินนะเจ้าคะ อีกอย่างเรื่องข่าวลือของท่านโหวผู้นี้ก็มีมานานแล้ว โหดร้ายสังหารคนไม่กะพริบตา ชอบเสพกามกับสตรีทุกวัน เพราะเหตุนี้เขาจึงไม่แต่งฮูหยิน หากไม่ใช่เพราะราชโองการของฮองเฮารับสั่งมา ไหนเลยจะยอมแต่งงานรับฮูหยินเช่นนี้ ที่สำคัญเขาอายุสามสิบห้าแล้วนะเจ้าคะ คุณหนูของพี่นี่สิพึ่งจะสิบเจ็ดเอง” เสียวมี่เอ่ยเสียงอ่อย นางรู้สึกเป็นกังวลมาก
เพราะไม่อยากให้ผู้เป็นนายต้องช้ำใจหากเข้าไปอยู่ในจวนท่านโหว ทั่วทั้งแผ่นดินจะมีสตรีใดทนรับเรื่องนี้ได้กัน ยิ่งสามีมีอำนาจมาก คุณหนูตนก็ยิ่งไม่อาจมีปากเสียง คงต้องอยู่แต่ในที่ของตนไม่อาจทำสิ่งใดได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาต้องการหลับนอนด้วย คุณหนูของตนจะขัดได้หรือ
ซูหลินนิ่งไป มันก็จริงเช่นที่สาวใช้เอ่ย สตรีในยุคนี้แต่งงานแล้วต่างก็ตกอยู่ใต้อาณัติสามี จะซ้ายหรือขวาก็ต้องรอให้ประมุขจวนเอ่ยสั่ง ไม่เหมือนคนในยุคปัจจุบัน
“จริงด้วย ลืมคิดข้อนี้ไปเลยแฮะ ถ้าอีตาโหวนั้นเป็นพวกบ้ากามจริงๆ ล่ะ ไม่ก็เป็นตาแก่พุงพลุ้ย อึ๋ย…ไม่นะ ถอนตัวตอนนี้ทันหรือเปล่าเนี่ยะ” เอ่ยพร้อมกับยกมือขึ้นลูบแขนตนเบา ทำเอาเสี่ยวมี่ถึงกับสงสาร เมื่อเห็นผู้เป็นนายพึ่งคิดได้ เพราะดูท่ามันคงจะสายไปแล้ว
“ช้าไปแล้วเจ้าค่ะคุณหนู” เอ่ยบอกพร้อมกับสะกิดให้มองออกไปนอกเรือน ซึ่งยามนี้บ่าวไพร่กำลังผูกผ้าสีแดงตบแต่งทั่วจวน รวมถึงเวรยามที่เดินไปเดินมา
และยังมีผู้ที่ยืนเฝ้าหน้าประตูด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคือพี่ชายต่างมารดายังเดินเข้ามาพร้อมกับคนสนิทมุ่งหน้ามาหานางทั้งคู่ พร้อมกับยิ้มเยาะมาแต่ไกล
“เอาตัวนางไปส่งให้คนของท่านโหว” ฉงฟางเอ่ยก่อนที่คนของเขาจะหิ้วปีกเสี่ยวมี่ออกไปจากห้อง ซึ่งนางก็ร้องท้วงตลอดทางเพราะไม่รู้ว่าตนจะถูกพาไปที่ใด
“ไยต้องทำถึงเพียงนี้” ผู้ที่นั่งเผากระดาษเอ่ยถาม นางไม่ได้ตื่นตะหนก เพราะพอจะมองออกว่าพี่ชายทำไปเพราะเกรงว่านางจะหนีนั่นเอง
“หึ ก็เพราะเจ้ามันเล่ห์เหลี่ยมมากน่ะสิ” เสียงเย็นเหน็บทันที เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่เขาเสียรู้น้องสาวผู้นี้ นางไม่ได้อ่อนแอ่เช่นแต่ก่อนที่ยอมให้พวกเขารังแกได้ง่ายๆ รีบกำจัดนางออกไปให้พ้นทางน่าจะง่ายกว่า สิ่งที่เขาทำอยู่ยามนี้จะได้ไม่ติดขัด
“ขอบคุณท่านพี่ที่ชม” เอ่ยก่อนจะเงยหน้าส่งยิ้มที่มุมปากให้ ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับขบกรามแน่น
“ลุกไปจัดการเตรียมตัวได้แล้ว พรุ่งนี้เจ้าต้องออกเดินทาง สิ่งใดที่ควรทำก็ทำเสีย” เปล่งเสียงรอดไรฟันออกคำสั่งกับผู้ที่นั่งอยู่ แม้ซูหลินจะแปลกใจเรื่องเวลาที่ย่นเข้ามา ทว่านางก็ไม่คิดจะเอ่ยถาม ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหนนางก็คงต้องออกจากจวนนี้อยู่ดี ร่างเล็กลุกขึ้นเดินตรงไปจุดธูปเพื่อบอกลามารดาเจ้าของร่าง ซึ่งดีกับตนมาก
‘ท่านแม่ เดิมทีข้าก็ไม่ใช่คนสกุลหรง และไม่ใช่คนในยุคนี้ อย่างไรเสียเราก็ต้องจากในสักวัน แต่วันนี้ซูหลินต้องไปแล้ว ขอให้ท่านแม่ช่วยคุ้มครองลูกด้วย' บอกกล่าวในใจ
ก่อนจะปักธูปลงในกระถาง แล้วรั้งเอาผ้าคลุมสีเปลือกไข่บนหัวออก รวมถึงชุดที่ส่วมใส่เพื่อไว้อาลัย ส่งให้กับสาวใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะหันมาหาพี่ชายต่างมารดา
“หึหึ หากแต่ก่อนเจ้าว่าง่ายเช่นนี้ เจ้าอาจจะไม่พบจุดจบที่น่ากลัวเยี่ยงนี้ก็ได้ ข้าหวังว่าท่านโหวจะเมตตาสตรีอัปลักษณ์เช่นเจ้า โดยการเลี้ยงไว้ดูเล่นนะซูหลิน” เสียงหยันเปล่งออกมา ก่อนจะตามด้วยเสียงหัวเราะชอบใจ
เขามองดูรอยแผลขนาดใหญ่บนใบหน้านางก็พาให้ยิ้มหยัน เมื่อนึกถึงเรื่องสองปีก่อน เขาหลอกพาซูหลินเข้าไปในป่าใหญ่และทำร้ายนางเพราะน้องสาวเห็นตนลงมือสังหารคน จึงต้องลงมือฆ่าปิดปากนางเสีย ทว่าใครจะคิดว่านางจะตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีก
ยังดีที่นางจำเรื่องราวเก่าก่อนไม่ได้เลย จึงไม่รู้ว่าคนที่เอาตนเองไปปล่อยนั้นคือพี่ชายผู้นี้ และท่าทางนางก็เหมือนคนเสียสติจำผู้ใดไม่ได้เลย ฉงฟางจึงปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ต่อมาจนถึงสองปี แต่ก็ยังคอยจับสังเกตดู
ทว่าวันหนึ่งคนของทางการกลับไปทลายแหล่งหาเงินของเขา ฉงฟางจึงสงสัยว่าผู้ที่แจ้งเบาะแสะจะต้องเป็นน้องสาวผู้นี้ เพราะนางเคยเห็นเขาให้คนเอาสินค้ามาพักไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่เขาพอจะคิดออกคือซูหลินน่าจะจำทุกอย่างได้แล้ว หากเขาไม่ลงมือทำบางอย่าง เห็นทีน้องสาวต่างมารดาผู้นี้ต้องสร้างปัญหาให้ตนอีกเป็นแน่
เช้าตรู่ของวันใหม่ เสียงดนตรีบรรเลงอยู่ที่หน้าจวนดังขึ้นตั้งแต่เช้า เพื่อรอส่งเจ้าสาวตามประเพณี ซูหลินถูกจับแต่งกายใหม่ ด้วยอาภรณ์งดงาม ทว่าใบหน้าก็ยังมีรอยแผลเป็นทางยาวซึ่งทำเช่นใดก็ปิดไม่มิด จำต้องปล่อยไว้เช่นนั้น เพราะเจ้าตัวเองก็อยากให้เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
“โชคดีนะพี่ซูหลิน” เสียงอวยพรจากม่านลี่ดังขึ้น ทว่ามันก็เป็นการหยันเสียมากกว่า
“ขอบใจน้องสาว” คนที่นั่งอยู่รับคำ ก่อนจะถูกผ้าแดงคลุมหัว แล้วแม่สื่อก็พาออกไปที่หน้าจวน
คนสนิทของท่านโหวเป็นผู้มารับนางไปขึ้นเกี้ยว ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นรถม้าที่หน้าเมือง เพราะต้องเดินทางไกลจึงไม่สะดวกให้คนแบก และการอารักขาก็จะทำได้ง่ายกว่าด้วย
“ใต้เท้า สาวใช้ของข้าล่ะ” เพราะอดห่วงผู้ที่ถูกพาตัวออกมาก่อนไม่ได้จึงรีบถามผู้ที่ประคองนางขึ้นรถม้า
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ค่อยไปห่วงผู้อื่น” เสียงเย็นตอบกลับมา ก่อนจะเดินไปขึ้นม้าของตน
“เฮ้อ! ลูกน้องยังขนาดนี้ เจ้านายจะขนาดไหนกันนะ” ขึ้นมานั่งในรถม้าแล้วก็บ่นให้กับบุรุษเมื่อครู่
“หวังว่าพี่จะปลอดภัยดีนะพี่เสี่ยวมี่” กล่าวถึงสาวใช้ที่เป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยทอดทิ้งตนเลย ตั้งแต่เกิดใหม่ในร่างนี้ เสี่ยวมี่ก็ยังรักและเอ็นดูนาง ไม่ต่างจากนายคนเก่า และเลือกที่จะติดตามไปแม้ทางข้างหน้าจะดูน่ากลัวยิ่งกว่าอยู่ในจวนสกุลหรง