2. ขออาสา
ถ้อยคำของคนสนิทท่านโหวที่เอ่ยออกมา ทำเอาผู้ที่นั่งอยู่ในห้องโถงถึงกับนิ่งไป โดยเฉพาะสองแม่ลูกซึ่งร้อนใจเป็นอย่างมาก เพราะยังหาทางออกไม่ได้เลย
“ปะ…เปล่า ว่าแต่เราขอเวลาล่ำลากันก่อนได้หรือไม่”
“ได้สิ ท่านนายอำเภอไม่ต้องเร่งรีบเพียงนั้น อีกสองวันข้าน้อยจะมารับคุณหนูหรง ว่าแต่ใช่นางหรือไม่ที่จะแต่งกับท่านโหว” ผู้มาเยือนยังไม่วายเอ่ยถามพร้อมกับชี้มาที่ม่านลี่
“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ ม่านลี่ได้หมั้นหมายกับตระกูลหลางแล้ว จะแต่งงานกับท่านโหวได้เยี่ยงไร” หรงฮูหยิน ชิงเอ่ยก่อนที่สามีจะพูด ทำเอานายอำเภอต้องเงียบเสียงที่กำลังจะหลุดออกมา ได้แต่นั่งนิ่งเพราะไม่อาจทำสิ่งใดได้
“งั้นหรือ น่าเสียดายแทนนายท่านข้า คุณหนูม่านลี่งดงามยิ่งนัก” มู่หยางเอ่ยบอกก่อนจะยิ้มให้
“เป็นน้องสาวข้าน้อยที่ไม่มีวาสนาขอรับใต้เท้า” ฉงฟางเอ่ยขึ้นบ้าง พร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก ดูเหมือนแผนการณ์ของพวกเขาจะสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว
“เอ่ยเช่นนี้แล้วไยไม่ถอนหมั้นไปเสียล่ะ” คนที่นั่งเงียบอยู่นานเปล่งเสียงออกมาในที่สุด “นางจะได้มีวาสนาต่อท่านโหว เป็นถึงฮูหยินผู้มีอำนาจในราชสำนักไม่ชอบหรือ” พอได้เอ่ย ก็เอ่ยเสียจนคนในห้องโถงไม่รู้ต้องตอบเช่นใด
“ท่านแม่” ม่านลี่หันมาเขย่าแขนมารดา นางเกรงว่าสองคนนี้จะใช้อำนาจบังคับให้ถอนหมั้นกับตระกูลหลาง
“ใต้เท้าทั้งสองอย่าเอ่ยเช่นนี้เลยขอรับ น้องสามได้หมั้นหมายกับบุรุษที่ชอบพอแล้ว สกุลหรงของเราก็ใช่ว่าจะมีบุตรสาวคนเดียว เรายังมีคุณหนูรองอยู่อีกทั้งคน ถึงจะงามไม่สู้ม่านลี่ก็เถอะ ให้น้องรองเป็นฮูหยินก็ไม่เสียหน้าหรอกขอรับ” ฉงฟางเอ่ยบอกกับทั้งคู่
“เอ่ยเช่นนี้ ข้ายิ่งคิดว่าคุณหนูสามเหมาะกับนายของข้า มากกว่าคุณหนูรองที่เจ้าเอ่ยถึงอีกนะ” เสียงเย็นยังคงเปล่งออกมา ก่อนจะเผยยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับนัยน์ตาคมจ้องมองสตรีตัวน้อย ที่เอาแต่หลบหน้าไม่ยอมมองเขา
ถ้อยคำของบุรุษหนุ่มที่เอ่ยออกมา ทำเอาผู้ที่นั่งหลบมุมถึงกับตัวสั่นเทา เพราะน้ำเสียงเขาเย็นยะเยือก น่าหวาดผวายิ่งนัก นี่แค่คนสนิทของท่านโหว พวกเขายังน่ากลัวเพียงนี้ หากเป็นเขาผู้นั้นคงมีไอสังหารติดตัว แผ่รังสีอำมหิตยิ่งกว่านี้เป็นแน่
“แต่เอาเถอะ เป็นใครก็ไม่สำคัญ ท่านโหวไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว เอาเป็นว่าอีกสองวันเราจะมารับเจ้าสาว ถึงยามนั้นก็เตรียมการณ์ไว้ให้พร้อมล่ะ อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาดนะท่านนายอำเภอ” มู่หยางยังคงเอ่ยก่อนจะยิ้ม ซึ่งเป็นปกติที่เขาทำยามมาเจรจาแทนผู้เป็นนาย
“ขอรับ ใต้เท้า” เป็นฉงฟางที่ตอบรับ ก่อนจะเดินออกไปส่งทั้งคู่ที่หน้าประตูจวน ซึ่งมีอีกคนยืนรออยู่
“ท่านแม่ข้ากลัวมากเลย” ม่านลี่เอ่ยเสียงสั่น แม้ได้ยินเพียงเสียงก็ยังตื่นกลัว นางรีบหลบทันทีที่รู้ว่าเป็นคนของใคร เพราะเกรงว่าพวกเขาจะรายงานให้ผู้เป็นนายรู้ถึงความงามของนางที่มี จนฝ่ายนั้นอยากได้และไม่ใส่ใจว่าตนจะหมั้นหมายแล้ว เพราะกิตติศัพท์ของท่านโหวมันมีมากนัก แม้แต่เรื่องที่เขามักมากในกาม
“ท่านพี่ ดูสิเจ้าคะ แม้แต่คนสนิทท่านโหวยังน่ากลัวเพียงนี้ ม่านลี่หมั้นหมายแล้วก็ยังข่มขู่จะให้แต่งด้วย เช่นนี้แล้วจะให้ลูกเราแต่งไปที่เมืองหลวงได้เยี่ยงไร”
“แล้วซูหลินล่ะ จะให้ข้าตัดใจปล่อยนางแต่งงั้นหรือ”
“ท่านพ่อ ท่านก็ได้ยินแล้วว่าคนของท่านโหวเอ่ยว่าเช่นไร สองคนนี้คือมือขวาและซ้ายที่ท่านโหวไว้ใจมาก อีกคนหนึ่งพูด อีกคนหนึ่งนิ่ง ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขาสังหารคนมาไม่ต่ำกว่าร้อยแล้วนะ จะให้ครอบครัวเราเป็นเช่นนั้นหรือ” ฉงฟางยังไม่วายย้ำถึงความร้ายกาจของท่านโหวและคนรอบข้างของเขา
แม้แต่ในราชสำนักยังกลัวเกรง เพราะท่านโหวผู้นี้เป็นถึงพระปิตุลา หรือน้องชายไทเฮา แม้แต่อำนาจทางทหารเขาก็ยังมีในมือครึ่งหนึ่ง เพราะฮ่องเต้ไว้ใจผู้เป็นน้ามาก
หน่วยองครักษ์เสื้อแพรท่านโหวผู้นี้ก็ยังได้ดูแล นี่จึงเป็นที่มาของอำนาจล้นแผ่นดินของเขา แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนลอบสังหารไม่ขาด เพราะอยากให้เขาตายเสีย
ในขณะที่ทั้งสี่ยังคงหารือกันอยู่ ร่างเล็กของผู้ที่อยู่ในอาภรณ์ไว้ทุกข์ก็เดินเข้ามา ทุกคนต่างก็จับจ้องมาที่นางเพราะไม่มีใครอยากเห็นหน้าอยู่แล้ว ซูหลินย่อตัวลงคำนับอย่างอ่อนน้อมเช่นเคย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“ท่านพ่อ ลูกจะเป็นคนแต่งงานแทนน้องสามเอง อย่ากังวลกับเรื่องนี้อีกเลยนะเจ้าคะ ที่เหลือฝากท่านแม่และพี่ใหญ่จัดการตามสมควรด้วย” เอ่ยจบนางก็ย่อตัวแล้วเดินออกไป ทำเอาคนในห้องโถงต่างก็มึนงง มองหน้ากันไปมา ก่อนที่สามแม่ลูกจะเผยยิ้ม ต่างจากผู้เป็นพ่อที่ได้แต่ถอนหายใจแรง มองตามร่างบุตรสาวอันเป็นที่รักของตน
“คุณหนู ไม่เห็นต้องทำเช่นนี้เลยนะเจ้าคะ ท่านไว้ทุกข์อยู่ ใช้เรื่องนี้หลีกเลี่ยงได้ ไม่เห็นต้องออกรับแทนคุณหนูสามเลย ท่านก็เห็นแล้วแม้แต่คนสนิทท่านโหวยังดูดุร้ายเพียงนี้ แล้วท่านโหวจะเย็นชาไร้ใจเพียงใดเจ้าคะ” สาวใช้รีบเตือนด้วยความเป็นห่วง
“คนนะไม่ใช่เสือจะได้ดุร้ายเช่นที่พี่เอ่ย อยู่ที่นี่หรือที่อื่นมันต่างกันด้วยหรือ อย่างไรเสียข้าก็ไม่ใช่คนที่นี่อยู่ดี ออกจากเรือนนี้แล้ว อาจจะมีชีวิตอิสระขึ้นก็ได้”
“ในจวนโหวน่ะหรือเจ้าคะจะอิสระ” ถามเพื่อให้แน่ใจ ก่อนที่ผู้เป็นนายจะยิ้มแห้งใส่ เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าการตัดสินใจเช่นนี้มันจะดีหรือร้ายคิดเพียงว่าต้องลองเสี่ยงดู
“ไม่รู้สิ พี่ก็รู้ว่าข้าไม่ใช่ซูหลินคนเก่านานแล้ว จะให้ข้าทนให้พวกเขารังแกเช่นตอนที่ท่านแม่อยู่ข้าไม่เอาหรอกนะ ออกไปจากจวนนี้ข้าว่าน่าจะดีกว่าถึงยามนั้นค่อยหาทางอีกที” เสียงใสเอ่ยบอก ก่อนจะนั่งลงเผากระดาษเงินที่เหลือ พร้อมกับมองป้ายวิญญาณที่ตั้งอยู่ด้านหน้า
นึกแล้วก็ถอนใจยาวออกมา ที่นางเอ่ยเช่นนี้ก็เพราะตนไม่ใช่คนในยุคโบราณ แต่มาจากโลกอนาคตในอีกพันปีข้างหน้า ซึ่งไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้เยี่ยงไร จำได้ว่าตนถูกยิงตอนที่หนีจากการตามล่าของกลุ่มค้ายาแถบชายแดน สติดับวูบไปในยามนั้น ทว่าตื่นมาอีกทีก็ยังอยู่ในป่า แต่คนที่ตายไปแล้วก็ไม่รู้ว่าตนเหลือเพียงวิญญาณ
ทำให้เธอยังคงเดินวนเวียนเพื่อหาทางออก ทว่ายิ่งเดินหมอกมันก็ยิ่งหนา จนมองไม่เห็นทาง สะดุดเข้ากับร่างของเด็กสาวคนหนึ่ง เธอเลยรีบหันกลับมาเพื่อจะช่วย ทว่าร่างโปร่งใสของหมอทหารวัยยี่สิบห้า กลับถูกดูดเข้ามาอยู่ในร่างของเด็กสาววัยปักปิ่นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ภายใต้วงแหวนของจันทรุปราคา ที่ถูกความมืดกลืนกินตรงหัวทั้งคู่พอดี ทำให้ผู้ที่พลัดหลงยุคถึงกับไปไม่เป็น สุดท้ายก็จำต้องทำความคุ้นชินกับยุคสมัยที่ต่างออกไป ยังดีที่มารดาเจ้าของร่างนั้นดี และนางก็รู้ด้วยว่าตนนั้นไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ เพราะก่อนจะเข้าร่างซูหลินหมดลมไปแล้ว
ทว่าผู้เป็นแม่ก็ยังยินดีที่ได้บุตรสาวกลับคืนมา แม้จะไม่ใช่คนเดิมก็เถอะ นางก็ยังรักและเอ็นดูเช่นเดิม พร้อมกับปิดเรื่องนี้เป็นความลับจนกระทั่งตายไป
เมื่อไม่มีมารดาแล้ว ซูหลินจึงหมายจะไปตายเอาดาบหน้า นางมีวิชาความรู้ที่ติดตัวมาจากยุคปัจจุบัน อย่างไรเสียตนก็ไม่มีทางอดตายเป็นแน่ เพียงแต่ต้องหาทางออกจากจวนแห่งนี้ให้ได้เสียก่อน