6. ห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัว
เพ้นเฮาส์ด้านบนตอนนี้ ภารัญเปิดประตูเข้ามาเบาๆ เพราะคิดว่าคนน้องคงหลับไปแล้วแน่ๆ เขามองไปยังเตียงกว้างกลับไม่เห็นร่างเล็กแม้แต่น้อย
“อย่าบอกว่าหนีกลับไปแล้วนะ” เขาพูดขึ้นเสียงเบา ก่อนจะเดินไปที่อีกด้านซึ่งเป็นโซนนั่งเล่น
“ทำไมมาหลับอยู่ตรงนี้ล่ะ” เขาพูดขึ้นด้วยเสียงเอ็นดูแบบไม่รู้ตัว ก่อนจะหาผ้ามาห่มให้เธอ ทีแรกก็ตั้งใจจะอุ้มไปนอนบนเตียงนั่นแหละ แต่กลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่น สุดท้ายเพราะอะไรไม่รู้เขาเลยนั่งแหมะอยู่บนพื้น พิงโซฟามองคนน้องหลับไปเสียอย่างนั้น
พอสายของวันรมิตาก็ตื่นขึ้นมา เธอตกใจจนต้องเอามือป้องปาก เพราะกลัวจะส่งเสียงทำให้คนตัวโตตื่น ก็เล่นมานอนเอาหัววางบนขอบโซฟาแบบนี้น่ะสิ
“เกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกเนี่ยะ ทำไมเตียงมีไม่ไปนอน” เธอนึกในใจ จะปลุกให้ไปนอนดีดีก็ไม่กล้ากลัวอีกฝ่ายจะต่อว่าอีก จะลุกออกไปก็ทำไม่ได้ เพราะมืออีกข้างถูกเขาเกาะกุมเอาไว้ ทำให้เธอสับสนเป็นอย่างมาก
“เขาต้องการอะไรกันแน่ถึงได้ทำแบบนี้” รมิตามองภาพและการกระทำของอีกฝ่าย ที่มันดูขัดกันกับคำพูดเขาขึ้นเรื่อยๆ ห้ามเธอทุกเรื่องแต่เขาดันทำมันทุกอย่าง เธอจำได้ว่าตอนที่นอนเล่นตรงนี้ไม่มีผ้าห่ม
“คุณเป็นคนห่มให้ฉันงั้นเหรอ” เธอนึกในใจ อดย้อนไปวันที่ฝนตกเมื่อสามเดือนก่อนไม่ได้ ตอนนั้นรมิตามีไข้ขึ้นตัวหนาวสั่น ขอแค่เสื้อนอกที่เขาสวมมาคลุมกายยังไม่ได้เลย มีแค่สายตาเย็นชาของอีกฝ่ายเท่านั้นที่มองมา แต่ตอนนี้เขากลับห่มผ้าให้เธอถึงสองครั้งรวมเมื่อวานด้วย
เธอลองขยับเล็กน้อยบางทีอาจหลุดจากตรงนี้ไปได้ แต่ดูเหมือนสัมผัสแค่เบาๆ เท่านั้นก็ทำให้คนตัวโตงัวเงียตื่นขึ้นมา ลิมิตาชะงักงันเพราะภาพตรงหน้ามันดูมีเสน่ห์มาก ถึงแม้ผมของเขาจะยุ่งเหยิงก็เถอะ
“ทำไมแค่ตื่นนอนต้องหล่อขนาดนี้ด้วยเนี่ยะ คนอะไรหน้าใสกิ๊กทั้งที่อายุสามสิบกว่าแล้วแท้ๆ” เธอนึกในใจพร้อมกับจ้องอีกฝ่ายนิ่งเพราะมัวแต่ตะลึง ปกติไม่เคยเห็นเขาใกล้ๆ แบบนี้และไม่เคยมองให้เต็มตา
ไม่ต่างจากคนที่นั่งมองเธออยู่นักหรอก เมื่อวานรมิตายังใส่แว่น แต่คงถอดตอนนอนนี่แหละ เลยทำให้ภารัญได้เห็นใบหน้าของคนน้องที่ไร้เครื่องสำอางชัดเจน นัยน์ตาสีฟ้าครามมันสะกดเขาได้ดีเหลือเกิน ผมยาวสลวยก็ถูกปล่อยลงมาน่ามอง
“รู้สึกตัวแล้วก็ไปนอนต่อที่เตียงนะ ฉันยังง่วงอยู่เลย” เสียงทุ้มพูดขึ้นทำลายความเงียบ
“ขะขิมจะกลับบ้านค่ะ” เธอตอบเสียงสั่น ใครมันจะอยากขึ้นไปนอนบนเตียงกับเขาอีกล่ะ เกิดทำเรื่องบ้าๆ แบบเมื่อวานจะเอาตัวรอดได้ยังไง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันบ่งบอกให้รู้แล้วว่าเขาสามารถชักจูงเธอได้ง่ายมากๆ ยิ่งตอนนี้เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วด้วย
“อย่าดื้อ กลับไปก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ใช่เหรอ นอนต่อเถอะ” ภารัญไม่พูดเปล่า แต่ยังโน้มตัวลงมาช้อนอุ้มเอาคนน้องไปทั้งผ้าห่ม แล้วเดินตรงไปที่เตียงนอนก่อนจะค่อยๆ วางเธอลง แล้วกดรีโมทปิดผ้าม่านที่เปิดเอาไว้เมื่อคืน ก่อนจะปีนขึ้นเตียงโดยผ่านร่างอีกฝ่ายที่นอนกอดอกอยู่ไปดื้อๆ
“นอนเถอะ” เขาบอกพร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มให้คนน้องจนถึงคอ และที่สำคัญยังรั้งกอดร่างเล็กเข้าไปแนบอกอีกต่างหาก รมิตาถึงกับตัวแข็งทื่อไม่ชินกับการกระทำของเขา แต่ก็ไม่กล้าขยับตัวหนีออก เพราะกลัวอีกฝ่ายจะตื่นจนทำอะไรมากกว่าตอนนี้
“คนบ้า ทำอะไรของเขาเนี่ยะทำไมไม่ปล่อยฉันกลับบ้าน” เธอก่นด่าเขาในใจอยู่ซักพัก พอได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของอีกฝ่ายถึงได้เบาใจ ทำให้เธอที่อยู่ท่านี้นานๆ เลยผล็อยหลับไปเหมือนกัน
15:45 รมิตาลืมตาตื่นมาก็ไม่เห็นคนตัวโตบนเตียงแล้ว เธอยิ้มก่อนจะรีบเดินไปหาอุปกรณ์สื่อสารของตัวเอง ที่ถูกเขายึดไปมันน่าจะอยู่ในห้องนี้แหละ ร่างเล็กกำลังก้มเงยเปิดในลิ้นชักทุกซอกมุม ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วยินเท้าสะเอวมองวนรอบห้อง ก่อนจะมาสะดุดที่ร่างสูงของสามีที่กำลังยืนเช็ดหัวตัวเองอยู่ สายตาคมจ้องมองมาที่คนน้องก่อนจะยกยิ้ม
“หาอะไร บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ายุ่งกับอะไรก็ตามที่มันเป็นของส่วนตัวฉัน การที่เธอทำแบบนี้หมายความว่าไง” มาเฟียหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบ
“อย่ามามั่วนะคุณ ฉันก็แค่หามือถือที่คุณยึดไป มันอยู่ไหนเอาคืนมานะ ฉันจะได้กลับบ้านไปเปลี่ยนชุด มาทำงาน แล้วจะมาบอกว่าเข้างานสายไม่ได้หรอกนะ” คนน้องย้อนเขาทันที ถึงแม้จะกลัวอีกฝ่ายอยู่ก็เถอะ
โดยเฉพาะการที่เขานุ่งแค่ผ้าขนหนูแบบนี้ มันทำให้เธอคิดถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมาทันที แต่การตอบกลับเธอก็ไม่ได้หันไปมองเขาหรอก เพราะรู้สึกอายขึ้นมา แทนที่จะเป็นอีกฝ่ายซะมากกว่าที่คิดแบบนั้น
“ไปอาบน้ำเสื้อผ้าฉันให้ป้าแจ่มเตรียมมาให้แล้ว อยู่ตรงนั้น” ภารัญบอกพร้อมกับส่งสายตาเป็นสัญญาณ คนน้องมองตามก็ถึงกับตาโต เพราะกระเป๋าถูกจัดมาจนดูเหมือนเธอจะอยู่เป็นเดือนเลย
“อะไรกันเนี่ยะ ทำไมขนมาขนาดนี้ ของฉันแน่เหรอคะ”
“ก็เปิดออกดูสิว่าใช่หรือเปล่า” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องแต่งตัว ทิ้งให้คนน้องเดินมาเช็คกระเป๋าใบใหญ่ของเธอ ที่ทุกอย่างถูกบรรจุลงมาจนครบ ราวกับเธอเป็นคนจัดการเอง
“นี่ป้าแจ่มเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่านะ แล้วทำไมเขาต้องให้คนจัดกระเป๋ามาด้วยล่ะ” รมิตามัวแต่สงสัยในพฤติกรรมของสามี เลยไม่ทันระวังว่าอีกฝ่ายเดินมาประกบอยู่ด้านหลังแล้ว ภารัญพูดขึ้นเบาๆ ที่ข้างหูคนน้อง
“รีบไปอาบน้ำได้แล้ว เหม็นขี้ฟัน” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้รมิตาตกใจมาก จนเธอรีบหันกลับมาในทันที พอเห็นคนตัวโตยืนใกล้มากเลยคิดจะถอยหนี แต่ดันปะทะกับกระเป๋าเดินทางของตัวเองทางด้านหลังซะได้ เลยทำให้เธอเกือบจะเซล้ม ถ้าไม่มีแขนแกร่งโอบรอบเอวเอาไว้ก่อน
“ทำไม จะอ่อยฉันเหรอฮึ” ภารัญพูดเย้าคนน้องทันที ทำเอาอีกฝ่ายอายจนแก้มแดงลามมาถึงหู
“อะ อ่อยบ้าอ่อยบ่อะไร คุณนั่นแหละโผล่มาทำไมเงียบๆ แล้วยังมาพูดข้างหูอีก ใครจะไม่ตกใจ” เธอแผดเสียงใส่อีกฝ่ายทันที
“อ้าวเหรอ เธอเป็นคนขี้ตกใจว่างั้น แล้วแบบนี้ต้องกอดปลอบหรือเปล่า แต่เอ๊ะ! อย่าเลยเหม็นขี้ฟันคนยังไม่ได้อาบน้ำ รีบๆ ไปเลยห้องฉันจะกลายเป็นโกดังหมักปลาร้าซะเปล่า” ภารัญพูดกวนคนน้องทันทีเมื่อได้โอกาส รมิตาถึงกับลมออกหูเพราะรู้สึกโกรธที่อีกฝ่ายเอาแต่ก่นว่าเธอ
“ฮ๊าา” นั่นคือเสียงที่คนน้องอ้าปากพ่นลมใส่สามี ก่อนจะรีบวิ่งหอบผ้าเข้าห้องน้ำไป ภารัญยืนนิ่งไม่ไหวติง เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำแบบนี้กับเขา
“ยัยตัวแสบ กล้ามากเลยนะ” เขาพูดขึ้นเสียงดังพอให้คนน้องได้ยิน ก่อนจะยกยิ้มออกมาเพราะกลิ่นมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น โดยเฉพาะใบหน้าหวานที่ยื่นเข้ามาใกล้ เขาเกือบจะอดใจไม่ไหวรั้งเธอเข้ามาจูบเสียด้วยซ้ำ
ที่รีบไล่ให้ไปก็เพราะลูกชายตัวดีมันเริ่มตื่นนี่แหละ เห็นหน้าคนน้องทีไรนึกถึงคืนนั้นทุกที เขาให้เธอมาอยู่ด้วยก็เพราะอาศัยให้ส่วนล่างมีกำลังมากขึ้นก็เท่านั้น ไม่ได้คิดจะพิศวาสอะไรรมิตาหรอก เวลาปีกว่านี้อาจทำให้เขาหายจากอาการนกเขาไม่ขันก็ได้
รมิตาเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดเดรสสีเปลือกไข่ ขับให้ผิวเธอดูน่ามองเป็นอย่างมาก เพราะเสื้อผ้าที่ถูกจัดมาเธอยังไม่ทันได้ลื้อเลย เจอคำพูดของคนตัวโตเข้าไปคว้าอันไหนได้ก็เอาอันนั้น ผมก็ถูกปล่อยยาวลงตามเดิม เรียกได้ว่ายังไม่ได้แต่เติมอะไรเลยนอกจากชุดที่ใส่
“โอ่โห้! คุณขิมสวยมากเลยนะครับเนี่ยะ อย่างกับนางเอกละครเลย” เก่งชมเสียงดังทันทีที่เห็นรมิตา
ภารัญเงยหน้าขึ้นจากมือถือคนน้อง เขายกยิ้มมองเธอเล็กน้อย เพราะวันนี้รมิตาดูสวยขึ้นมากจริงๆ แต่!
“ไปเปลี่ยน ใครให้ใส่แบบนี้ไปทำงาน แต่งแบบเดิมก็ดีแล้ว ยังไม่ถึงเวลาหาผัวใหม่ไม่ต้องรีบ” คำพูดของคนตัวโตไม่ได้ทำให้คนน้องรู้สึกเจ็บอะไรเลย เพราะเริ่มจะชินชาแล้ว ถูกเขาเหน็บแนมกระทบทุกวันมันก็ทำให้รมิตาแกร่งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว รอแค่ครบตามกำหนดก็ไม่ต้องมานั่งฟังเรื่องไร้สาระพวกนี้แล้ว
“ชิ! ก็แค่ตอนนั้นคว้าชุดนี้ได้เฉยๆ หรอก ใครเขาจะใส่ให้คนอื่นดู เก็บไว้ให้ผัวในอนาคตดูยังจะดีกว่าอีก” รมิตาตอบเสียงใส พร้อมกับยักคิ้วให้ราวกับตัวเองเป็นต่อ แต่พอเห็นมือถือที่คนพี่ชูขึ้นเธอก็ยิ้มแห้ง
“คงไม่อยากได้คืนสินะ” ภารัญพูดก่อนจะทำทีโบกของในมือเล่น รมิตาถลาตัวเข้ามาหาเขาทันที เธอนั่งคุกเข่าต่อหน้าสามี พร้อมกับดวงตาสวยที่ส่งอ้อนวอนเขาไปด้วย ภารัญกลืนน้ำลายลงคอมองการกระทำของคนน้องนิ่ง
“เอ่อ คุณขิมถ้าไม่รีบจะเข้างานสายนะครับ” เก่งท้วงเมื่อมองดูเวลาที่เหลือแค่สิบห้านาที จะถึงห้าโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่รมิตาต้องเข้างาน
“อุ๊ย!จริงด้วย งั้นขิมขอนะคะ” เสียงหวานเอ่ยบอก ก่อนจะฉกเอามือถือของตัวเองทันที แล้วรีบวิ่งมาที่กระเป๋าแล้วรื้อหาชุดใส่ทำงานคือเสื้อยึดกางเกงยีนส์วิ่งเข้าห้องน้ำไป การกระทำของเธออยู่ในสายตาของภารัญทุกอย่าง เขานั่งขำกับท่าทางดุ๊กดิ๊กของคนน้องที่ดูรีบเหลือเกิน
“น่ารักดีนะครับ ขนาดเป็นถึงภรรยาเจ้าของโรงแรมแท้ๆ แต่กลับไม่เคยแสดงออกให้ใครรู้ ทั้งที่จะไปสายหรือไม่เข้างานเลยก็ได้ แต่เธอก็ยังทำเหมือนพนักงานทั่วไป ผู้หญิงแบบนี้นายจะปล่อยไปจริงๆ เหรอครับ” เก่งเดินเข้ามาพูดพร้อมกับตั้งคำถามให้ภารัญคิดตามไปด้วย
“ใครบอกให้มึงชมเมียกูไอ้เก่ง” นั่นคือคำตอบของเจ้านาย ที่ทำให้เก่งยิ้มออกมา เพราะเขาคงไม่ต้องพยายามเชียร์แล้ว ถ้าภารัญหวงรมิตาขนาดนี้