4) คนที่กำลังคบ
“คุณแม่ครับ”
“อ้าวกร มาแล้วเหรอลูกแม่กำลังรออยู่เลย”
วิภาดาหันกลับมาหาลูกชายก่อนจะยิ้มออกมาและเผื่อแผ่รอยยิ้มใจดีนั้นไปให้นีรนาราที่เดินตามมาข้างหลังด้วยอีกคน
“สวัสดีค่ะคุณวิภาดา”
“หนูนีนก็มาด้วยเหรอลูก มาๆมานั่งกันก่อนค่ะ”
“นี่ของขวัญที่บอสเตรียมให้คุณวิค่ะ นีนไม่ได้เตรียมของขวัญมาให้คุณเลยขอโทษด้วยนะคะ”
นีรนารายื่นต้นดอกไม้เล็กๆในมือให้ก่อนจะบอกออกมาอย่างรู้สึกผิดที่ไม่ได้เตรียมอะไรมาให้เจ้าของวันเกิดเลย ปกติเธอไม่ได้มาร่วมงานทำแค่เตรียมของขวัญให้วิกรเอามาเอง พอต้องมาร่วมงานกะทันหันก็เลยหาอะไรไม่ทัน
“ขอโทษอะไรกันคะ แค่มาร่วมงานแม่ก็ดีใจแล้วค่ะแล้วเมื่อไหร่จะเลิกเรียกแบบนั้นซะทีบอกให้เรียกแม่ไงคะเรารู้จักกันมาตั้งกี่ปีแล้วเนี่ย ทำเป็นห่างเหินไปได้นะ”
วิภาดาดุออกมาอย่างไม่จริงจัง เพราะเธอนั้นเอ็นดูนีรนาราเหมือนลูกคนนึงด้วยความที่รู้จักมานาน เลยชื่นชมความเก่งและการวางตัวที่น่ารักมาตลอด
“คือ นีนไม่ชินเลยค่ะขอเรียกแบบเดิมเถอะนะคะ”
นีรนาราบอกอย่างเกรงใจ ต่อให้ได้รับความเอ็นดูมากขนาดไหนเธอก็ไม่คิดจะข้ามเส้นคำว่าเจ้านายกับลูกจ้างเด็ดขาด
“ถ้าไม่เรียกแล้วเมื่อไหร่จะชินล่ะคะ แล้วดูสิทำงานเหนื่อยๆยังจะลากน้องมาเหนื่อยเพิ่มด้วยอีกตากรนี่ใจร้ายกับเลขาจังนะ”
“ก็ผมไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรให้คุณแม่นี่ครับ เลยต้องขอให้คุณนีนเค้าช่วย”
วิกรแก้ตัวยิ้มๆ มองดูความเอ็นดูที่แม่มอบให้เลขาตัวเองที่เห็นมานานหลายปีจนชิน แต่แปลกที่วันนี้กลับรู้สึกว่าน่ารักขึ้นมากกว่าเดิมซะอย่างงั้น
“ไม่ลำบากอะไรเลยค่ะคุณวิ ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุดอยู่แล้วค่ะ”
“น่ารักจัง วันนี้แต่งตัวสวยมากเลยนะคะแม่เกือบจำไม่ได้แน่ะ”
วิภาดายังคงชมไม่หยุดปาก ไม่ต่างจากสายตาที่มองสำรวจนีรนาราอย่างพอใจจนออกนอกหน้า พาใครๆในงานที่อยู่ใกล้ต่างถือโอกาสจ้องมองคนสวยที่เดินเข้างานมากับวิกรอย่างไม่ต้องแอบอีกต่อไป
“ขอบคุณค่ะคุณวิ”
นีรนาราเอ่ยขอบคุณออกมาด้วยอาการประหม่ากว่าเดิมเพราะหลายสายตาที่จับจ้องทำให้ไม่ชินสักนิด ได้แต่ข่มความเกร็งเอาไว้แล้วสนใจเพียงแค่บุคคลที่สนทนาอยู่ด้วยเท่านั้น
“คุณวิอีกแล้ว เอาล่ะๆตากรพาน้องไปหาอะไรทานก่อนไป เลิกงานมายังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลยใชมั้ยคะ”
“ค่ะ แต่ว่าไม่รบกวนบอสดีกว่าค่ะนีนจัดการตัวเองได้”
“ได้ไงล่ะคะ พามาก็ต้องดูแลสิ ไปเร็วตากรมัวแต่นั่งเหม่ออยู่นั่นแหละ”
วิภาดาบอกนีรนาราอย่างใจดีก่อนจะหันไปดุลูกชายที่มัวแต่นั่งเฉยอย่างขัดใจ โดยที่ไม่รู้สักนิดว่าอาการเหม่อที่ว่าก็เพราะมัวแต่มองเลขาคนสวยที่แม่ตัวเองชมไม่หยุดปากนั่นแหละ
ตลอดเวลาที่มาด้วยกันก็แอบมองอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่กล้ามองตรงๆสักที พอได้โอกาสที่ไม่มีใครมาสนใจตัวเองแบบนี้วิกรก็ไม่อยากพลาด เพราะนีรนาราไม่ได้แต่งตัวแบบนี้ให้ดูทุกวันซะหน่อย
“ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”
วิกรลุกขึ้นมาตอบรับคนเป็นแม่ยิ้มๆ อยากจะขำออกมาที่แม่ตัวเองเอาแต่ดุแล้วไปเอาใจนีรนาราแทน เหมือนแม่จะสลับตำแหน่งให้ยังไงก็ไม่รู้
“ตามสบายนะหนูนีน เดี๋ยวแม่ไปหาเพื่อนๆก่อนค่ะ”
“ค่ะคุณวิ”
“คุณนีนอยากทานอะไรครับ”
“เดี๋ยวนีนจัดการเองค่ะบอส ไม่ต้องพาไปก็ได้ค่ะ”
นีรนาราบอกอย่างเกรงใจ ถึงจะนอกเวลางานเธอก็ไม่กล้าทำตัวตามสบายกับวิกรอยู่ดี เพราะการอยู่แบบมีขอบเขตชัดเจนทำให้ที่ผ่านมามันราบรื่นดีทุกอย่าง
แต่เหมือนว่าขอบเขตนั้นวิกรเองก็อยากทำลายมันทิ้งบ้างเหมือนกัน
“ได้ไงครับ เดี๋ยวคุณแม่ก็บ่นผมอีกคุณเป็นลูกตัวจริงนี่นา”
“บอสโกรธเหรอคะ”
“ล้อเล่นครับ อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิ วันนี้คุณนีนยังไม่ยิ้มเลยนะ”
วิกรรีบบอกเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของนีรนารา อุตส่าห์จะล้อเล่นก็ดันล้อเล่นกับคนที่จริงจังตลอดเวลาซะอีก
“ปกติก็ไม่ได้ยิ้มนะคะ”
“แปลกจัง อยู่ดีๆก็อยากเห็นคุณนีนยิ้ม”
จบประโยคนั้นรอบข้างก็เงียบกริบราวกับทั้งคู่ไม่ได้ยินเสียงอะไรในงานอีกเลย พอเห็นนีรนาราเฉยใส่วิกรก็พลอยทำตัวไม่ถูกไปด้วยอีกคน และก่อนที่จะกระอักกระอ่วนกันไปมากกว่านี้นีรนาราก็เปลี่ยนเรื่องทันที
“บอสอยากทานอะไรคะ เดี๋ยวไปตักมาให้”
“ไปด้วยกันดีกว่าครับ”
วิกรรีบเดินนำหน้าเมื่อรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองล้อเล่นมากไปหน่อย แถมยังไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายลงสักนิดเดียว ระหว่างทางก็ต้องหยุดทักทายคนรู้จักเป็นระยะซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเหล่าเพื่อนๆของพ่อแม่ที่สนิทกันทั้งนั้น มีคนในวงการธุรกิจที่สนิทกันบ้างแต่ก็ไม่เยอะเพราะไม่ได้จัดงานใหญ่อะไร
ครอบครัวของวิกรค่อนข้างเรียบง่ายเน้นความสัมพันธ์ที่จริงใจต่อกันมากกว่าจะใช้ชีวิตหรูหราในสังคมจอมปลอม เป็นข้อดีที่ทำให้เจอแต่มิตรภาพที่แน่นแฟ้นและยาวนาน อาจไม่ได้ทำให้ธุรกิจพุ่งทะยานรวดเร็วแต่กลับค่อยๆเติบโตด้วยรากฐานที่แข็งแรงและยากจะโค่นล้ม
สิ่งเดียวที่ทำให้วิกรอึดอัดใจได้ก็คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองล้วนๆ อย่างเช่นตอนนี้ที่เห็นคนเป็นแม่เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเกินปกติ วิกรที่กำลังทานอาหารก็พลันอิ่มขึ้นมาจนต้องวางช้อนลง
นีรนาราที่นั่งอยู่ตรงข้ามเงยมองสีหน้าเบื่อหน่ายของบอสตัวเองด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเข้าใจได้ทันทีที่ได้ยินประโยคคุ้นๆจากวิภาดา เพราะไม่ว่าจะไปร่วมงานเลี้ยงที่ไหนด้วยกันเธอก็มักได้ยินประโยคนี้จนชินและก็จะเห็นสีหน้าแบบเดียวกันนี้ของวิกรเช่นกัน
“กร ไปกับแม่หน่อยลูก”
“ไปไหนครับ”
วิกรแกล้งถามทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าประโยคถัดไปของคนเป็นแม่คืออะไร
“แม่มีคนอยากให้รู้จักหน่อยค่ะ ลูกเพื่อนแม่เอง”
“ไม่ครับ ผมรู้ว่าคุณแม่จะทำอะไร”
“ตากร อย่าดื้อกับแม่นะ นี่ลูกอายุเท่าไหร่แล้วยังไม่มีแฟนซักที กว่าจะได้แต่งงานมีหลานให้แม่น่ะเมื่อไหร่ห้ะ”
แล้วก็เป็นเหมือนเดิมที่วิภาดาจะตัดพ้อลูกชายตัวเองออกมาด้วยสีหน้าเสียใจซะเต็มประดา แต่แทนที่วิกรจะรู้สึกผิดและสงสารกลับตอบออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยด้วยประโยคที่คนเป็นแม่ฟังแล้วหัวร้อนได้ทันที
“ลูกนะครับไม่ใช่แมวจะได้มีง่ายๆ”
“พูดแบบนี้มากี่ปีแล้ว ถึงตอนนั้นแม่คงตายไปก่อนพอดี ไม่ต้องมาบ่ายเบี่ยงเลยมากับแม่เดี๋ยวนี้ ยังไงวันนี้ก็ต้องรู้จักกันไว้ก่อน”
และไม้ตายสุดท้ายคือเอาความเป็นความตายมาขู่จนวิกรต้องจำยอมเหมือนเคย ผิดที่วันนี้วิกรย้อนกลับด้วยไพ่ที่เหนือกว่าอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง
“ไม่ครับ เพราะผมมีแฟนอยู่แล้ว”
“อะไรนะ!”
วิภาดาถึงกับถามย้ำทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆลูกชายและจ้องมองราวกับวิกรเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ต่างอะไรจากนีรนาราที่เงยหน้ามองบอสตัวเองตาค้าง แขกในงานที่อยู่ใกล้พอจะได้ยินการสนทนาก็พลอยหูผึ่งและหันมามองด้วยความสนใจทันที
แทนที่จะกดดันวิกรกลับยิ้มออกมาด้วยท่าทีสบายๆราวกับกำลังพูดเรื่องแสนธรรมดา ก่อนจะอธิบายเพิ่มให้ทุกคนอยากรู้ยิ่งกว่าเดิม
“ผมเพิ่งจะลองคบกับใครคนนึงอยู่ครับ กะว่าอีกนิดจะบอกคุณแม่งั้นบอกตอนนี้เลยก็ได้ครับ”
“นี่ลูกมีแฟนเหรอ ใครคะ”