2) งงไปหมด
“เอ่อ คุณนีนครับ”
วิกรที่เดินกลับเข้ามาในห้องนอนเอ่ยเรียกคนที่ลุกมานั่งพิงหัวเตียงอย่างเกรงใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำตัวไม่ถูกจนไม่รู้ว่าจะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหนดี
ยืนอึกอักอยู่ไม่กี่วิก็โดนคนที่เพิ่งตื่นถามคำถามที่ทำเอาแทบสติหลุด
“บอสเห็นเสื้อผ้านีนรึเปล่าคะ”
“อ้อ คือ ผมให้คนเตรียมมาให้แล้วครับแขวนไว้ตรงนั้น ส่วนชุดคุณนีนเพิ่งส่งซักไปครับ”
พอตอบแบบนี้ภาพเมื่อคืนที่แสนเร่าร้อนก็ย้อนเข้ามาในหัวจนกลายเป็นฝ่ายเขินอายซะเอง และมันตลกที่นีรนารากลับทำตัวปกติราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“งั้น ขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะคะ”
“เชิญตามสบายเลยครับ เดี๋ยวผมไปรอคุณนีนข้างนอกละกัน”
วิกรรีบบอกก่อนจะรีบออกจากห้องไปตั้งหลักอีกหน สถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ทำเอาบอสใหญ่ของบริษัทถึงกับงุนงงจนไปไม่เป็น
รู้สึกว่าอะไรๆมันแปลกที่แปลกทางไปหมดทั้งที่อยู่ห้องตัวเองแท้ๆ
—-------------------------
“คุณนีน มาทานข้าวก่อนสิครับผมสั่งมาให้แล้ว”
วิกรรีบเรียกนีรนาราที่เดินออกมาจากห้อง พลางมองอย่างลุ้นๆว่าอีกฝ่ายจะยอมทานข้าวด้วยมั้ย เพราะนี่น่าจะเป็นจังหวะที่ดีที่สุดในการเริ่มคุยกัน
“ขอบคุณค่ะ”
“พอทานได้มั้ยครับ”
วิกรถามแม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่านีรนาราไม่ใช่คนทานยากอะไรเลย ทำงานกันมาตั้งกี่ปีแทบจะรู้นิสัยกันทุกอย่างอยู่แล้ว
“ได้ค่ะ”
นีรนารายังคงตอบน้อยคำจนวิกรแอบหนักใจ ถึงจะรู้จักกันดีแต่การจะเดาใจของเลขาคนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ความเพราะอีกคนคุยแต่เรื่องงาน จริงจังอยู่ตลอดเวลาจนไม่เคยเผยด้านอื่นๆให้เห็นมาก่อน
แต่ไม่ว่ายังไงเรื่องแบบนี้ก็คงปล่อยผ่านไปไม่ได้อยู่ดี วิกรลอบมองใบหน้าสวยที่เรียบเฉยอยู่หลายครั้ง จนเมื่อเห็นว่าอีกคนกินเสร็จถึงได้เริ่มเกริ่นออกมา
“คือ คุณนีนครับ”
“คะ”
“เรื่องเมื่อคืนนี้ ผม…”
“ช่างมันเถอะค่ะบอส เราอย่าพูดถึงมันอีกเลยค่ะ”
ไม่ทันที่วิกรจะได้พูดจบประโยคนีรนาราก็ตัดบทออกมาจนวิกรทำหน้าเหวอ ยิ่งเห็นว่านีรนารานิ่งเฉยไม่มีท่าทีอะไรสักนิดก็ยิ่งร้อนใจ
ถึงจะแอบคาดหวังให้นีรนาราคุยง่ายแต่ก็ไม่ได้คิดเอาไว้ว่าจะไม่สนใจเลยแบบนี้ และมันทำให้วิกรไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก
“แต่ว่าคุณนีน”
“เชื่อนีนนะคะบอสถ้าอยากให้เราทำงานด้วยกันต่อแบบสบายใจ บอสควรลืมมันไปให้หมด”
“คุณต้องการแบบนั้นจริงๆเหรอครับ”
วิกรถามย้ำมองหน้านีรนาราด้วยสายตาจริงจังและค้นหา แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าที่ยากจะคาดเดาใจได้
“ใช่ค่ะ หวังว่าบอสจะไม่พูดถึงมันอีกได้มั้ยคะ”
“อ่า งั้นก็ตามใจคุณนีนครับ”
เมื่ออีกคนย้ำแล้วย้ำอีกแบบนั้นวิกรก็หมดคำจะโต้แย้ง แม้ในใจจะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องก็ตาม ที่บอกเพื่อนไปว่าไม่อยากแต่งงานนั่นก็ใช่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยแบบนี้ แต่เมื่อเป็นความต้องการที่ชัดเจนของนีรนาราวิกรก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่ออีกเลย
“ขอบคุณค่ะ งั้นเจอกันวันจันทร์นะคะบอส”
“ครับ”
วิกรรับคำอย่างจนใจจะพูดอะไรต่อ ได้แต่เดินตามไปส่งนีรนาราที่ประตูห้องและเดินกลับมานั่งเหม่อลอยที่โต๊ะต่อจนลืมเวลา
—----------------------
“แป้ง แกมารับเราด่วนเลย”
นีรนารารีบพูดทันทีที่เพื่อนรับสาย ร่างบางเดินสับขาด้วยท่าทางรีบร้อนราวกับกำลังหนีอะไรอยู่ ท่าทีสงบเรียบเฉยก่อนหน้าหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน ทั้งมองซ้ายมองขวาราวกับว่ากลัวใครจะมาเห็นตัวเองในตอนนี้เข้า พอถึงล็อบบี้ใต้คอนโดก็รีบเข้าไปนั่งมุมในสุดทันที
“อะไรนีน แกเป็นอะไรอ่ะป่วยเหรอ”
“รีบมาเถอะเดี๋ยวเล่าให้ฟัง เร็วๆนะ”
เอ่ยเร่งเพื่อนอีกครั้งอย่างกลัวว่าจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ จนเปรมาที่ได้ยินเลยรีบรับคำและออกรถมาหาเพื่อนทันที
“เออๆ ไปแล้วๆส่งโลมาที”
“อือ”
นีรนารารีบส่งที่อยู่ให้เพื่อนมารับก่อนจะถอนหายใจยาวๆหลังวางสาย โล่งอกที่เพื่อนไม่ได้เซ้าซี้อะไรมากกว่านี้ เธออยากออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุดก่อนที่จะทนฝืนเก็บอาการไม่ไหวอีกต่อไป
“แกว่าอะไรนะนีน!”
เปรมาตะโกนออกมาลั่นรถจนนีรนาราสะดุ้ง ก่อนจะต่อว่าเพื่อนออกมาที่ทำเสียงดัง
“เสียงดังทำไมเนี่ย ตกใจหมด”
“เรานี่ที่ต้องตกใจอ่ะ บ้าบอมาก มันเกิดขึ้นได้ยังไงอ่ะ”
เปรมายังคงโวยวาย ก่อนจะตั้งสติและขับรถออกมาจากคอนโดหรูแห่งนั้นทันที
“เมา”
“โทษนะ แต่เหตุผลละครน้ำเน่ามาก”
เปรมาที่ได้ยินคำตอบเพื่อนกรอกตาก่อนจะต่อว่าออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ คนแบบนีรนาราคิดยังไงก็ไม่น่าพลาดปล่อยตัวเองเจอเรื่องแบบนี้ได้ ยิ่งคำว่าเมายิ่งแปลกไปใหญ่
“แล้วจะให้บอกยังไง อยู่ดีๆก็หลงเสน่ห์บอสตัวเองจนต้องพาขึ้นเตียงงี้เหรอ”
นีรนาราประชดกลับด้วยสีหน้าเอือมระอา เหตุผลลึกกว่านั้นมันก็มีที่ปล่อยตัวเองเมาจนไร้สติได้น่ะ แต่ถ้าพูดไปตอนนี้ได้โดนเพื่อนด่ามากกว่าเดิมน่ะสิ
แค่นี้ก็สร้างเรื่องจนไม่รู้จะจัดการยังไงแล้ว
“น่าขนลุกกว่าเดิมอีก”
“เค้าถึงบอกไง ความเมาทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ชีวิตเรากำลังจะจบสิ้นแล้วแก”
นีรนาราโอดครวญออกมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น สิ่งที่ไม่มีวันย้อนกลับไปแก้ไขได้อีกแล้ว
“เกินไปมาก แกก็ยังอยู่ดีไม่ใช่รึไง แล้วบอสแกเค้าไม่พูดอะไรเลยเหรอ”
“เค้าจะพูดแต่เราไม่เปิดโอกาสให้พูดต่างหาก รู้มั้ยว่าต้องกลั้นใจทำเป็นนิ่งทั้งที่แทบสติแตกอยู่ตั้งนาน”
นีรนาราสารภาพออกมาด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่ลงทุกที ใครจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าและท่าทางสงบนิ่งที่เธอแสดงออกให้วิกรเห็นนั้น ก็แค่เกราะป้องกันตัวเองที่สร้างขึ้นมาเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องเมื่อคืนต่างหาก
ทั้งที่ความจริงเธออยากลุกมากรีดร้องและโวยวายกับตัวเองให้สาแก่ใจที่ไร้สติทำเรื่องบ้าบอลงไปตั้งมากขนาดนั้น
“แล้วทำไมไม่คุยกับเค้าให้รู้เรื่องล่ะ แบบนี้ไม่อึดอัดกันแย่เหรอ”
“จะให้คุยอะไรล่ะ ยังไงก็ต้องกลับไปทำงานด้วยกันต่อเหมือนเดิม ลืมๆมันไปสบายใจกว่าเยอะ”
“มันลืมได้ด้วยเหรอวะ”
คราวนี้เปรมาหันมาถามเสียงสูงอย่างเหลือเชื่อ
“ไม่มีใครพูดก็ไม่มีปัญหา คนอื่นไม่มีทางรู้อยู่แล้ว”
“จะรอดูเลยว่ามองหน้ากันทุกวันแล้วไม่นึกถึงอ่ะ บ้าบอมากนะ”
เปรมากรอกตาก่อนจะประชดออกมาด้วยความเหนื่อยใจ ความคิดแปลกๆแบบนี้ของนีรนาราใครฟังแล้วจะเชื่อลงบ้าง มันใช่เรื่องที่ลืมกันง่ายได้ที่ไหนกัน
“ช่างมันเถอะเดี๋ยวก็ผ่านไป จะคุยกันยังไงผลมันก็เหมือนเดิมรึเปล่าวะ มันไม่มีอะไรเปลี่ยนทั้งนั้นแหละ”
นีรนาราบอกอย่างไม่ใส่ใจ เธอก็แค่คิดว่าถ้าตัวเองทำนิ่งเฉยไปวิกรเองก็คงต้องทำตามเหมือนเมื่อกี้นั่นแหละ
“ถ้าเค้าอยากรับผิดชอบล่ะ ครั้งแรกของแกนี่นีน เรารู้นะ”
เปรมาดักอย่างรู้ทัน เพื่อนเธอทำตัวเป็นสาวมั่นแบบนี้ ที่จริงไม่เคยคบใครเลยต่างหาก ความสัมพันธ์ทางกายยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นกับหนุ่มคนไหนทั้งนั้นเพราะเจ้าตัวเอาแต่เรียนและทำงานมาตลอด ต่อให้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆก็แค่เมาแล้วกลับมานอนเท่านั้น
“แล้วไง ก็ไม่ได้ชอบกันจะมาคบเพราะมีอะไรกันก็แปลกๆมั้ยอ่ะ ทำแบบนั้นเสียงานเสียการหมด”
“แล้วแบบนี้ไม่เสียเหรอวะ”
“ถ้าไม่มีใครล้ำเส้นก็เหมือนเดิมทุกอย่าง แค่นั้น”
“แล้วถ้ามีคนล้ำเส้นล่ะ แกจะทำไง”
“มันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ ถึงมีก็แค่เปลี่ยนงาน”
“บ้ามากจริงๆ”
เปรมาบ่นออกมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำตอบเพื่อน ถ้าทุกอย่างมันง่ายเหมือนที่นีรนาราพูดก็คงดีแต่เธอเดาได้เลยว่าไม่ใช่ ก่อนจะเตือนออกมาเมื่อนึกถึงใครอีกคนที่มีบทบาทสำคัญมากๆในชีวิตของนีรนารา คนที่นีรนาราไม่มีทางอยากให้รู้แน่ๆ
“อย่าให้น้องสุดที่รักแกรู้นะ บอสแกตายแน่”
“ถึงตายก็จะไม่มีทางให้รู้แน่ๆ”