1) คืนที่ผิดพลาด
แสงไฟสีส้มภายในห้องที่ถูกหรี่ลงจนเหลือเพียงความสว่างน้อยนิด ไม่อาจบดบังใบหน้างดงามที่บัดนี้ภายในดวงตาที่เคยกลมโตกลับหรี่ปรือและหยาดเยิ้มเต็มไปด้วยความรู้สึก มันระคนไปด้วยความเจ็บปวดและสุขสมจนดูยั่วยวนชวนมองมากกว่าในยามปกติ มากเสียจนคนที่มองอยู่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้
และเผลอโจนจ้วงเข้าใส่ด้วยความลืมตัว
“อื้อ”
เสียงหวานครางกระเส่ายามถูกเคล้นคลึงและขบกัดด้วยริมฝีปากร้อน เรียวลิ้นที่ทำหน้าที่อยู่นั้นสร้างความหวามไหวไปทั่วร่าง ไม่ต่างจากจุดอ่อนไหวด้านล่างที่ถูกโจนจ้วงเน้นหนักราวจะตราตรึงความซ่านเสียวให้เธอจนแทบขาดใจ
เรือนร่างเย้ายวนขาวผ่องบิดเร่าไปตามคลื่นความกระสันที่สาดซัด แอ่นหน้าอกเข้าหาสัมผัสอย่างไม่อาจควบคุม
ขณะที่เอวบางกลับถูกกดตรึงติดที่นอนนุ่ม รับการตอกอัดที่เร่งเร้าหนักหน่วงจนต้องแหงนเงยหน้าครวญครางอย่างสุดจะกลั้น
“ไม่ ไม่ไหว”
มือขาวทั้งจิกทั้งข่วนเข้าที่แขนแกร่งด้วยความกระสันที่เกินต้าน ยิ่งถูกความแข็งแกร่งที่เร่าร้อนตอกอัดเข้ามาจนจุกแน่น ใบหน้าสวยยิ่งบิดเบ้กัดปากส่ายหน้าราวกับจะทนไม่ไหวเข้าจริงๆ
“อา อีกนิด”
เสียงทุ้มกระซิบพร่าตรงใบหู ก้มลงจูบแก้มเนียนอย่างปลอบประโลม สวนทางกับส่วนล่างที่ยังคงตอกตรึงเน้นหนักไม่ผ่อนปรน
“บะ บอส อ๊า”
เสียงหวีดครางแหบแห้งดังขึ้นก่อนที่ร่างกายจะกระตุกเกร็งเมื่อแตะถึงฝั่งฝัน ดวงตาพร่างพราวระยิบระยับกับความสุขสมที่ปลดปล่อยออกมา
ความแข็งขืนถูกตอดรัดจนปวดหนึบ วาวใสไปด้วยธารแห่งความสุขที่ร่างบางปลดปล่อยออกมา กลับยิ่งสร้างเสียงดังน่าอายยามขยับเข้าออกให้ชัดเจนขึ้นในห้องกว้าง
เมื่อทนรับความทรมานไม่ไหวร่างแกร่งก็เร่งจังหวะถี่รัวและปลดปล่อยออกมาในที่สุด
—----------------------
“โทรมาทำไมแต่เช้าวะ”
“เช้าบ้านมึงสิแดดตรงหัวขนาดนี้ไอ้คี”
วิกรด่าสวนทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสาย แสงแดดแทบจะเผาไหม้ขนาดนี้เอาอะไรมาเช้าก่อน
“รบกวนกูแล้วยังกล้าด่ากูอีกนะไอ้สัส มีอะไรก็พูดกูจะนอน”
“มึงไม่เคยนอนรึไง กูเครียดมากนะมึงตื่นมาฟังกูดีๆเถอะขอร้อง”
วิกรแทบจะอ้อนวอนเพื่อนตัวดีที่ไม่สนใจความร้อนรนในน้ำเสียงที่แสดงออกไปสักนิด ไม่รู้ว่าอัคคีใจเย็นเกินหรือว่าไม่ได้สนใจกันแน่
“เอาเลยกร เชิญมึงพูดให้สาแก่ใจก่อนที่กูจะไม่ทน”
“กูว่ากูน่าจะงานเข้าแล้วว่ะ”
“ทำไมวะ”
“กูแบบ เมื่อคืนนี้กู…”
“โอ้ยไอ้ห่านี่ ลีลาชิบหายเลยพูดให้มันจบๆเถอะกูขอร้อง”
คราวนี้อัคคีลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงแล้วขยุ้มหัวตัวเองอย่างสุดจะทน หากทะลุจอออกมาตบหัวเพื่อนได้ก็คงทำไปแล้ว
“เออๆรู้แล้วหัวร้อนง่ายจังมึงนี่ กูนอนกับคนที่ไม่ควรนอนด้วยว่ะ ตอนนี้กูไม่รู้จะยังไงต่อเลย เครียดจนจะบ้าตายแล้วมึง”
“มึงจะเครียดทำซากอะไร ทำเป็นไม่เคยไปได้ที่ผ่านมาทำยังไงก็ทำยังงั้นแหละจะยากอะไรนักหนา”
อัคคีบ่นออกมาพร้อมพ่นลมหายใจยาวๆด้วยความเอือมระอากับปัญหาที่วิกรปรึกษา ดูตรงไหนก็ไม่น่าเป็นปัญหาได้สักนิด คนโสดแบบวิกรนอนกับใครก็ไม่แปลกทั้งนั้นแหละก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นไม่รู้จะกลัวอะไร
“ก็เค้าไม่เหมือนคนอื่นไง ถ้าทำได้กูจะโทรหามึงเพื่อ”
“อย่าบอกนะว่ามึงไปหิ้วเด็กมัธยมมาอ่ะ เหี้ยนะกร”
“มึงสิเหี้ยไอ้คี กูไม่แดกเด็กไอ้ห่านี่ พูดซะกูชั่วเลย”
วิกรด่าสวนเสียงดังอย่างลืมตัวเพราะโมโห ก่อนจะต้องหันไปมองประตูห้องนอนด้วยความระแวงและเดินไปที่ระเบียงข้างนอกแทน
“แล้วมันยังไงล่ะเค้าเป็นใครมึงถึงแยกย้ายไม่ได้”
“เลขากู”
“ห้ะ!?”
คราวนี้อัคคีเป็นฝ่ายตกใจจนแทบตกเตียงเมื่อได้ยินคำตอบที่แสนจะน่าเหลือเชื่อนั่น
“อือ ตกใจได้รึยังล่ะทีนี้”
วิกรทำหน้าเอือมก่อนถามออกมาด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง คิดดูละกันว่าขนาดเพื่อนอย่างอัคคียังตกใจแล้ววิกรจะทำเป็นไม่ทุกข์ไม่ร้อนได้ยังไงก่อน
“มึงหมายถึงคุณนีนเลขาของมึงอ่ะนะ”
“แล้วมึงว่ากูมีเลขากี่คนล่ะไอ้คี ถามมาได้”
วิกรย้อนกลับอย่างหงุดหงิด มาย้ำชื่อที่ทำให้อยากกระโดดตึกหนีความจริงอยู่ได้
“ชิบหายมาก”
อัคคีพึมพำออกมาเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า เพราะตอนนี้ก็ยังรู้สึกช็อคกับสิ่งที่เพื่อนบอกมากๆ มันเกิดขึ้นได้ยังไงวิกรกับเลขาสุดเนี้ยบหน้าห้องมันน่ะนะ บอกว่าแมวออกลูกมาเป็นไข่ยังน่าเชื่อกว่าอีกเถอะ
“อือ กูก็ว่างั้นแหละ”
วิกรพึมพำเสียงแผ่วไม่ต่างจากอัคคีก่อนใบหน้าหล่อเหลาที่สาวๆต่างพากันลุ่มหลงจะเงยขึ้นมองฟ้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“กูขอเวลาทำใจแป้บ”
“อย่านานมาก กูว่าเค้าน่าจะใกล้ตื่นแล้ว”
วิกรบอกพลางมองเข้าไปทางประตูห้องนอนด้วยใจที่ยังลุ้นระทึกอยู่ คิดยังไงก็ไม่อยากจะเชื่อว่าทุกอย่างเมื่อคืนไม่ใช่ฝัน
“มึงคงไม่ใช่คนแรกของเค้าหรอกใช่มั้ยไอ้กร”
“เหมือนจะเป็นอย่างงั้นแหละ จริงๆก็ใช่เลยไม่ใช่แค่เหมือน”
“เออ ฟังแล้วอึดอัดใจมากกว่าเดิมดีไอ้สัส มึงทำอะไรลงไปไอ้กรไอ้คนชั่ว นั่นเลขาสุดเทพของมึงเลยนะ มึงกำลังลบหลู่เบื้องสูงเหรอวะ”
“โอ้ย กูก็ไม่ได้ตั้งใจมั้ย ด่าเหมือนกูไปฆ่าใครตายเลยแค่นี้ก็รู้สึกผิดจะตายห่าแล้วเนี่ย ช่วยกูคิดก่อนเถอะว่าควรทำยังไง”
วิกรโวยวายออกมาบ้างเมื่อถูกเพื่อนด่าซะจนรู้สึกเหมือนเป็นคนชั่วขึ้นมาจริงๆ
“ถามจริงๆนะ มันเกิดขึ้นได้ยังไงก่อน มันไม่น่าเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำมึงกับเค้าทำงานด้วยกันมาตั้งกี่ปีแล้วอยู่ดีๆจะมาปิ๊งกันตอนนี้เนี่ยนะ”
“ปิ๊งที่หน้ามึงสิไอ้คี คำพูดคำจาแย่มาก ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละก็เมาทั้งคู่เมื่อคืนไปงานลูกค้ามาแล้วคุณนีนเค้าเมามากกูไม่รู้จักบ้านเค้าเลยพามาพักที่ห้อง แล้วทีนี้กูก็เสือกไปชวนเค้าดื่มอีกไงเห็นว่าวันหยุดพอดี ไปๆมาๆก็แบบนั้นแหละ”
“โคตรแย่”
“อือ แย่มาก กูตื่นมาแล้วสร่างเมาเลย ตอนนี้อยากร้องไห้ด้วย”
“ร้องไปก็ย้อนเวลาไม่ได้ไอ้กร คุณนีนดูเป็นคนจริงจังขนาดนั้นมึงก็คุยไปเลยให้จบๆ”
“กูไม่แต่งนะ กูไม่พร้อม”
วิกรทรุดลงนั่งพิงกำแพงราวกับว่าเพื่อนจะพูดคำที่ไม่อยากฟังออกมาจนอัคคีที่ฟังอยู่กรอกตาด้วยความเอือมระอา เล่นตัวขนาดนี้เรียกมั่นหน้ารึเปล่านะ
“อย่าเยอะไอ้กร เค้าอยากแต่งกับมึงมั้ยก่อน นอนด้วยกันคืนเดียวแต่งงานกันได้ที่ไหนมึงบ้ารึเปล่า กูให้ไปคุยว่าจะยังไงต่อเชื่อเถอะว่าเค้าไม่เอามึงหรอก ขอแค่เค้าไม่ลาออกหนีมึงไปก็พอ”
“ไม่ได้นะ ถ้าเค้าลาออกกูจะหาเลขาเก่งๆแบบนี้ที่ไหนอีกวะ”
คราวนี้วิกรลุกขึ้นมายืนย่ำเท้าราวกับเด็กเมื่อได้ยินคำว่าลาออก กว่าจะทำงานจนรู้ใจกันได้ขนาดนี้ไม่ใช่ง่ายๆ ใครจะยอมให้ลาออกกัน
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับมึงแล้ว ไปคุยดีๆเค้าไม่น่าคุยยากหรอก อย่างแรกก็ไปขอโทษก่อนเลยถึงเค้าจะเต็มใจแต่มึงก็ผิดที่พามาจนเกิดเรื่องแบบนี้”
“เออ รู้แล้วสอนยิ่งกว่าพ่อกูอีก”
“มึงชอบปัญญาอ่อนกับเรื่องง่ายๆไงกร มึงน่ะฉลาดแค่ตอนทำงานแค่นั้นแหละ”
อัคคีด่าอีกครั้งอย่างรำคาญ นักธุรกิจสุดหล่อแสนเพอร์เฟคที่คนจ้องอยากทำข่าวไม่เว้นวันอย่างวิกรพอเป็นเรื่องง่ายๆกลับชอบทำให้ยุ่งยากอัคคีไม่เคยเข้าใจเลย
“ไปนอนเถอะคี ถ้ามึงจะด่ากูขนาดนี้กูไม่กวนมึงแล้วก็ได้”
“เออ มีอะไรก็ไม่ต้องโทรมาอีกนะรำคาญ”
“เออ!”