4. ไม่รู้ก็แสร้งเป็นจำไม่ได้
คนในกระโจมย่นคิ้วเข้าหากันทันที เมื่อได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่ายที่ดูห้วนเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก
‘ดุอย่างกับร็อตไวเลอร์เลย หน้าตาก็ออกจะดี’ ก่นด่าอีกฝ่ายในใจ เมื่อเห็นเขามองด้วยหางตา และใช้น้ำเสียงข่มด้วย ทว่านางก็จำต้องถามให้รู้แจ้ง “ทุกคนเลยเหรอ”
คิ้วหนาย่นเข้าหากัน นี่หรูเชียนไม่รู้เลยหรือว่าคนรอบตัวล้วนแต่อยากให้นางตาย “เหลือแค่องครักษ์ที่ขอสาวใช้ให้เจ้าเท่านั้น เขาถูกกลุ่มผู้ติดตามของเจ้าทำร้าย”
“หา! แล้วหนักมากไหม” ร้อนใจจนลืมตัวเผลอปล่อยมือออกจากผ้า พอนึกได้ก็รีบรั้งมาปิดหน้าต่อ ดีที่รุ่ยอ๋องพูดโดยไม่ได้มอง ดูท่าเขาคงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนางเท่าใดนัก
“ก็พอสมควร แต่ไม่ต้องห่วงในคณะเดินทางของข้ามีหมอเก่งหลายคน ไม่งั้นคงเอาชนะแคว้นของเจ้าไม่ได้หรอก” ยังมิวายเอ่ยหยันหมายให้นางเจ็บใจเล่น องค์หญิงแปดผู้นี้ถือว่าใกล้ชิดสนิทสนมกับเจิ้นอ๋องมาก เฟิงหรานเชื่อว่านางต้องเคียดแค้นและรอโอกาสเอาคืนเขาอยู่เป็นแน่ ทว่าไหนเลยเขาจะสนในเมื่อเฟิงหรานเองก็เกลียดราชวงศ์นี้เช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่นาง
“เช่นนั้นก็ดี” ว่าแล้วก็ปิดม่านลง ทิ้งให้คนที่มาช่วยยืนมึนงงอยู่ภายนอกพักหนึ่ง เพราะไม่ค่อยเข้าใจประโยคที่นางเอ่ย เขาจึงเดินตามเข้ามาเพื่อถามเอาความ
หรูเชียนมองร่างสูงที่ยืนอยู่ พร้อมกับผูกคิ้วเป็นปม “ท่านมีอะไรก็พูดมาสิ” ถามเสียงเรียบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนนิ่ง
“เจ้าพอจะรู้สาเหตุที่คนของเจ้าคิดเอาชีวิตหรือไม่” น้ำเสียงเขายังคงเรียบเย็นชาไม่เปลี่ยน แม้แววตาจะอ่อนลงก็เถอะ
“ไม่รู้ สาวใช้ท่านไม่ได้บอกหรือว่าเมื่อวานข้าถูกพิษ ตื่นมาก็จำอะไรไม่ได้เลย” ปดไปตามเรื่องที่เคยเอ่ยก่อนหน้า
“จูเหยียนบอกว่าเจ้าจำไม่ได้แม้แต่ชื่อตนเอง”
“ก็ตามนั้นแหละข้าจำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ด้วยว่ากำลังเดินทางไปไหนไปทำไม แม้แต่อายุตัวเองข้าก็จำไม่ได้” ประโยคหลังนางแสร้งเอ่ยเพื่อให้อีกฝ่ายบอก
“ขนาดนั้นเลยหรือ” นัยน์ตาคมหรี่ลงในใจยังคงไม่เชื่อ เขากำลังเพ่งพินิจตรวจการกระทำและสีหน้าของนาง
“อืม ขนาดนั้นแหละ แล้วท่านอ๋องพอจะรู้ประวัติข้าบ้างหรือไม่ ช่วยบอกเรื่องราวเกี่ยวกับข้าให้ฟังทีสิ” ในเมื่อคนที่ติดตามมาถูกจับหมดแล้ว ก็ถามคนตรงหน้านี่แหละ
“ข้ารู้แค่ว่าเจ้าอายุสิบแปด มาที่นี่ก็เพื่อเป็นตัวประกัน นอกนั้นข้าก็ไม่แยแสที่จะรู้ เพราะข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสตรีต่างแคว้น โดยเฉพาะคนจากราชวงศ์หลิง” บอกเสียงเย็นชา
“อ๋อ! งั้นเหรอ” ตอบอย่างไม่ยี่หระเช่นกัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนยังต้องพึ่งบารมีอีกฝ่ายอยู่ “ขออภัยท่านอ๋อง ข้าก็แค่รู้สึกหดหู่หลาย ๆ เรื่อง ไม่รู้ใครที่คิดวางยาเอาชีวิต”
ประโยคที่นางเอ่ยออกมาทำให้ผู้ที่กำลังขบกรามอ่อนลงพอสมควร ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ชอบนิสัยแข็งกระด้างขององค์หญิงผู้นี้อยู่ดี แต่ก็นั่นแหละ หน้าที่เขาคือดูแลนางจนถึงเมืองหลวง ต่อให้ฝืนใจแค่ไหนก็ยังต้องข่มอารมณ์เก็บเอาไว้
“ทุกอย่างข้าจะเป็นคนจัดการเอง จากนี้เจ้าก็พักผ่อนให้สบายใจเถิด ได้ความแล้วข้าจะให้คนมาแจ้งข่าวอีกที” เอ่ยจบเขาก็เดินออกไป ทิ้งคนในกระโจมมองตามจนม่านปิดลงอีกครั้ง
ร่างอรชรจึงทิ้งตัวนอนราบบนเตียง ตามมาด้วยเสียงทอดถอนใจ “เห้อ! เกิดใหม่เป็นองค์หญิงมันก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายในวังนี่สิ มันใช่เรื่องเหรอ ลืมตาตื่นขึ้นมาก็มีคนจ้องเอาชีวิตซะงั้น สวรรค์ทำไมใจร้ายแบบนี้” รำพันกับตนเอง
ขณะนั่นเองสาวใช้ก็เดินเข้ามา “องค์หญิง อาหารมาแล้วเพคะ” เสี่ยวถงและจูเหยียนเดินเข้ามาพร้อมกับของกินมากมาย
คนบนเตียงเห็นแบบนั้นก็รีบดีดตัวลุกทันที “โห มากมายขนาดนี้เชียว ขอบคุณนะพี่ทั้งสอง” กล่าวเสียงใส
“ค่อย ๆ เสวยเพคะ” เสี่ยวถงเตือนเมื่อเห็นองค์หญิงกินอย่างรีบร้อน อันที่จริงคนจากยุคปัจจุบันติดนิสัยมากกว่า
เหยามินซู เธอมีอาชีพเป็นทหาร อยู่หน่วยรบพิเศษทางตอนใต้ของประเทศ บางครั้งก็รับงานรักษาความปลอดภัยให้กับคณะสำรวจ การทำงานส่วนมากจึงอยู่ในป่า และมันต้องใช้เวลาอย่างเร่งรีบ นิสัยเลยเหมือนผู้ชาย ออกห้าว ๆ ทำอะไรคล่องแคล่วว่องไว และยังเป็นมือหนึ่งของทีมด้วย
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ตายแล้วมาเกิดในร่างนี้ก็เพราะ หน่วยของเธอได้รับคำสั่งให้ออกตามหาคนหายในป่าแถบเขาหงเจียง พบแล้วสามคนยังขาดอีกหนึ่ง ซึ่งกลุ่มของพวกเธอค้นหามาเกือบสองเดือนแล้วแต่ก็ยังไม่พบวี่แววของพรานนำทางเลย
กระทั่งเธอและเพื่อนอีกสี่คนกลับไปยังถ้ำที่พรานคนนั้นหายไป เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อผนังถ้ำด้านบนเกิดถล่มลงมา ทำให้เหยามินซูต้องตายอย่างอนาถในนั้น เรื่องราวในช่วงสุดท้ายเธอจำได้ดี รู้ตัวว่าตนต้องตายแน่ แต่พอตื่นขึ้นมาร่างกายกลับมีความรู้สึก เลยคิดว่ามีคนช่วยออกมาได้
กว่าจะรู้ว่าตัวเองเกิดใหม่ก็สร้างความวุ่นวายอย่างที่เห็น
ทว่าตอนนี้นางสงบใจได้แล้ว และคิดว่าจะใช้ชีวิตเป็นองค์หญิงหรูเชียนไปก่อน หากภายหน้าหาทางออกได้ค่อยว่ากันอีกที แต่การจะเป็นองค์หญิงได้นั้น นางคงต้องเรียนรู้มารยาทอีกเยอะ ซึ่งอาจารย์สอนก็คงหนีไม่พ้นสองคนนี้แล้ว
หลังจากทานเสร็จ มินซูก็ไปอาบน้ำชำระร่างกาย โดยมีสาวใช้สองนางคอยดูแลสอนวิธีใส่ชุดให้ ตอนขึ้นมาจากน้ำนางไม่ยอมให้ทั้งคู่อยู่ด้วย เพราะรู้สึกกระดากอายที่ต้องมาแก้ผ้าให้คนอื่นดู ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นหญิงเหมือนกันก็เถอะ
“องค์หญิงงดงามมากจริง ๆ เพคะ” เสี่ยวถงเอ่ยชม
“ปกติองค์หญิงก็งามเช่นนี้ไม่ใช่หรือ” ถามอย่างพาซื่อ คนมีเงินมีอำนาจ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ดูดีทั้งนั้น เพราะคนเหล่านี้ไม่ต้องตากแดดตากลมหรือทำงานหนัก ทำให้ผิวดีไม่หยาบกร้าน ฉะนั้นในความคิดของนางจึงมองว่าคนที่อยู่แต่ในวัง ในบ้านไม่ต้องทำอะไรอย่างพวกลูกคุณหนูต้องงามอยู่แล้ว
“แคว้นเราไม่มีองค์หญิงเพคะ เราพึ่งเห็นพระองค์คนแรก แต่ถ้าเป็นคุณหนูชั้นสูงก็มีมาก แต่พวกนางก็งามสู้องค์หญิงกับฮูหยินท่านโหวไม่ได้” เสี่ยวถงเอ่ยแล้วก็ยิ้มแก้เขิน เกรงนายคนใหม่จะหาว่าตนเยินยอเอาความชอบ
“ฮูหยินท่านโหวงั้นหรือ คนไหนล่ะ ใช่คนสวย ๆ ที่เดินอยู่กระโจมฝั่งนั้นหรือไม่” รีบถามทันที ทว่าคำตอบยังไม่ทันหลุดออกมาจากปากสาวใช้ เสียงด้านนอกก็ดังขึ้นก่อน
“ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย” เอ่ยแล้วก็เงี่ยหูฟังรอคำตอบ
“เชิญท่านอ๋องเพคะ” จูเหยียนเอ่ยขึ้นพร้อมกับเปิดม่านออกผูกมันไว้กับมุม ก่อนจะขยับมายืนด้านหน้าทั้งสองคน
“นั่งไหมเพคะ” ขยับให้เขาอย่างมีมารยาท เพราะด้านในไม่มีโต๊ะรับแขก หากไม่เกิดเรื่องนี้ในกระโจมองค์หญิงก็คงไม่มีผู้มาเยือน และการเดินทางตามปกติแล้วกระโจมก็สร้างสำหรับนอนเท่านั้น เช้ามาก็เก็บแล้วออกเดินทางต่อ พวกเขาทำกันเช่นนี้ตลอด มีแค่วันนี้ที่การเดินทางต้องหยุดชะงักลง
เฟิงหรานคิดว่าต้องคุยกับนางนาน เขาจึงหย่อนก้นนั่งอีกมุมของเตียงเพื่อเว้นระยะห่าง จากนั้นก็ยื่นบางสิ่งส่งให้
“นี่เป็นจดหมายลับที่ได้จากตัวองครักษ์” เอ่ยบอกพร้อมกับสังเกตสีหน้าไปด้วย ‘คงนึกไม่ถึงสินะว่าคนที่คิดเอาชีวิตจะเป็นบิดาตนเอง’ นึกในใจเมื่อเห็นนางนิ่งไม่พูดจา
ใบหน้างามเงยขึ้นมองไปเบื้องหน้า ก่อนจะหันมาหาผู้ที่นั่งห่างออกไปสองช่วงแขน แล้วเอ่ยกับเขาแผ่วเบา
“ข้าอ่านไม่ออก” ยิ้มแหยส่งให้เขา เมื่อเห็นอีกฝ่ายอึ้ง นางจึงรีบเอ่ยอีก “ต้องเป็นเพราะยาที่สองคนนั้นให้ข้ากินแน่ ทำให้ข้าลืมสิ้นทุกอย่างเลย แม้แต่ตัวอักษรก็ยังอ่านไม่ออก” แถไปเรื่อย ก็นางอ่านไม่ออกจริง ๆ นี่มันภาษาเมื่อพันห้าร้อยปีก่อนเลยนะ ใครจะไปตรัสรู้อ่านออกกันล่ะ
#แถจนถลอกหมดแล้วลูกสาวเรา