บทย่อ
เกิดใหม่ทั้งทีสวรรค์กลับเล่นตลก ให้นางตกเป็นบรรณาการในต่างแคว้น รอบตัวไม่อาจไว้ใจใครได้เลย มิหนำซ้ำยังต้องแต่งกับคนเจ้าชู้รักใครไม่เป็นอีก ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมืองเท่านั้น
1.ควรตายแต่ไม่ตาย
เสียงเอะอะโวยวายของผู้คนด้านนอก ดังพอให้คนที่หลับอยู่ในกระโจมเปิดเปลือกตาตื่นขึ้นมา คิ้วสวยผูกกันเป็นปมทันที เพราะภาพเบื้องหน้ามันไม่คุ้นตาเลยสักนิด ไหนจะชุดที่สวมใส่นี่อีก “หรือชาวบ้านแถวนี้จะช่วยเราไว้” พึมพำกับตนเอง
หญิงสาวรูปร่างอรชรลุกขึ้นมาสำรวจภายในกระโจม จับนั่นจับนี่ดู กระทั่งเดินมาหยุดที่ทางเข้าซึ่งเป็นผ้าม่านยาวถึงพื้น มือขาวเปิดมันออกก่อนจะยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้า “กองถ่ายเหรอ” พึมพำแล้วก็นิ่งไป เพราะมีชายรูปร่างสูงโปร่งใส่ชุดโบราณ พร้อมหญิงสาวอีกสองคนเดินตรงมา
“องค์หญิงตื่นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” คนถือดาบเอ่ยทักทายก่อน ทำให้ผู้ที่หมายจะก้าวออกนอกกระโจมต้องถอยกลับ
“ใครองค์หญิง??” ย้อนถามทันที ดวงตาสวยเหลือบมองไปทางด้านหลังชายหนุ่ม ผู้หญิงสองคนนั้นกำลังซุบซิบอะไรอยู่
“เหตุใดนางถึงยังมีชีวิต”
“นั่นสิ ยาพิษที่ท่านหลงฟานปรุงให้มันรุนแรงมากนะ”
“หรือนางไม่ได้กิน”
“จะไม่ได้กินได้อย่างไร ข้าเป็นคนล้างจอกเองกับมือหลังนางดื่มหมดนะ” หญิงสาวทั้งสองกระซิบกระซาบถกเถียงกันด้วยความสงสัย เพราะเมื่อคืนพวกนางใส่ยาในชาขององค์หญิงไปจนหมด ทว่าเหตุใดนางถึงยังมีชีวิตอยู่อีก
“พวกเจ้าไยไม่รีบมาแต่งตัวให้องค์หญิง ขบวนใกล้จะออกเดินทางแล้วนะ” ชายหนุ่มที่ถือดาบอยู่ส่งเสียงเตือนทั้งคู่ ก่อนจะหันมาทำความเคารพผู้ที่ยืนมองด้วยความฉงน
‘คนพวกนี้กำลังแสดงงั้นเหรอ แล้วทำไมต้องมาแสดงกับเรา ในนี้เท่าที่สำรวจดูก็ไม่มีกล้องเลย หรือมันถูกซ่อนเอาไว้’ คิดในใจไม่กล้าพูดออกมา เพราะยังไม่รู้สถานการณ์ตรงหน้า
“องค์หญิงรีบสรงพระพักตร์ก่อนนะเพคะ อีกหนึ่งเค่อเราต้องออกเดินทางแล้ว” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงนอบน้อม ท่าทางก็ดูพินอบพิเทาเหมือนซีรี่ย์ที่เคยดูมาไม่ผิดเพี้ยน
“ไปกันใหญ่แล้ว มาองค์ยงองค์หญิงอะไรกัน” มินซูตวาดลั่น ก่อนจะผลักทั้งคู่ให้หลบทางแล้ววิ่งออกไปจากกระโจม มองซ้ายแลขวาเพื่อหาลู่ทางหนี ทว่าภาพตรงหน้ามันทำให้เธอต้องหยุดนิ่ง
“รถอยู่ไหน ต่อให้เป็นกองถ่ายจีนโบราณก็ต้องมีรถจอดบ้างสิ แล้วกล้องล่ะ สายไฟ สปอร์ตไลท์ อุปกรณ์เซ็ตฉากต่าง ๆ อยู่ที่ไหน ทำไมเห็นมีอะไรเลยสักอย่าง” เธอยืนพึมพำอยู่คนเดียวด้วยความมึนงง มองไปทางไหนก็มีแต่ชายฉกรรจ์แต่งชุดโบราณถือดาบไม่ต่างจากซีรี่ย์ที่เคยดูมา
“องค์หญิงรีบกลับมาสวมอาภรณ์เถิดเจ้าค่ะ”
“ไม่! เลิกเล่นเสียที” เธอตวาดใส่อย่างหัวเสีย เพราะดูเหมือนคนเหล่านี้ยังไม่ยอมหยุดเล่น จากนั้นเธอก็วิ่งไปตามทางโดยไม่คิดชีวิต มีชายหนุ่มที่พูดคุยกับเธอวิ่งตาม พร้อมกับชายฉกรรจ์ที่แต่งชุดทหารโบราณอีกหลายคน
มินซูพยายามมองหารถหรือพาหนะที่สามารถใช้หนีได้เร็วกว่าการวิ่ง ทว่ายิ่งหนีออกมาไกลจากกลุ่มคนในใจก็ยิ่งหวาดหวั่น เพราะเส้นทางเบื้องหน้าก็มีแต่รอยล้อเกวียน ด้านหลังก็ยังมีกลุ่มคนแต่งชุดโบราณวิ่งตาม
ไม่มีสิ่งไหนบ่งบอกให้รู้ว่าเขากำลังถ่ายซีรี่ย์กันเลย
“องค์หญิงหยุดเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มที่คุยกับเธอหน้ากระโจมพุ่งมากางแขนขวางนางเอาไว้
เท้าเล็กจึงยกขึ้นหมายจะฟาดก้านคออีกฝ่าย แต่ดีที่เขาหลบทัน ถึงกระนั้นพอเท้านางแตะพื้น ขาอีกข้างก็หมุนเหวี่ยงลอยขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ฟาดปะทะเข้าที่ต้นคออย่างจัง
ชายหนุ่มเซถลาลงไปกองกับพื้น ยกมือจับต้นคอตนด้วยความประหลาดใจ ไม่ต่างจากบรรดาชายฉกรรจ์ที่วิ่งตามมา
“อะ…องค์หญิงพระองค์ไปเรียนต่อสู้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“ยังจะเรียกองค์หญิงอีก เมื่อไหร่จะเลิกเล่นสักที อ๊ะ!” มัวแต่ต่อว่าชายหนุ่ม จึงไม่ทันระวังคนด้านหลัง
เธอก็ถูกชายหนุ่มอีกคนสับเข้าที่ต้นคอเสียก่อน ทุกอย่างดับวูบลงทันที พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนอยู่ในกระโจมแล้ว
ดวงตาสวยเปิดขึ้นมองเพดานด้วยอารมณ์คุกรุ่น มือขาวลูบลงที่ต้นคอเพราะยังรู้สึกมึน ๆ พร้อมกันนั้นก็ขยับลุกนั่ง “เล่นทีเผลออย่างกับหมาลอบกัด อย่าให้รู้นะว่าใคร” พึมพำถึงคนที่กล้าทำเธอล้มทั้งยืน
มินซูเริ่มแน่ใจแล้วว่าสถานที่แห่งนี้คงไม่ใช่โลกใบเดิมที่เธอเคยอยู่อีกแล้ว ไม่มีกล้องถ่ายหนัง ไม่มีรถยนต์ ไม่มีมือถือ มีแต่คนแต่งตัวด้วยชุดโบราณ ถือดาบ และพูดจาต่างออกไปจากยุคปัจจุบันมาก “นี่เราหลุดมาอยู่ในยุคอดีต หรือว่าตายแล้วอยู่ในร่างคนอื่นเหมือนในนิยายกันนะ”
นึกได้แบบนั้นมินซูก็รีบมองหากระจก พอส่องดูก็ถึงกับนิ่งอึ้ง “มะ…ไม่จริงมั้ง” พึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นใบหน้าที่สะท้อนกลับมา “นี่เราตายแล้วมาอยู่ในร่างนี้จริงเหรอ” เธอยังคงไม่เชื่อ จึงยกมือขึ้นลูบหน้าไปมาก่อนจะหยิกแขนตัวเองแรง ๆ หนึ่งที “เจ็บ” เธอบ่นงึมงำอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอยกลับมานั่งที่เตียงอย่างหมดอาลัย
ทว่าพอได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอกเธอก็รีบเอนตัวลงนอน ทำเหมือนตัวเองยังคงหลับอยู่ จึงได้รู้อะไรดีดีอีก
สาวใช้สองนางเดินมาหยุดที่ข้างเตียง มองดูผู้เป็นนายที่ยังไม่ได้สติ ทั้งคู่จึงขยับไปพูดคุยกันที่หน้าทางเข้า
“นึกไม่ถึงว่ายาที่เราให้นางกินเมื่อวานจะไม่ได้ผล”
“ยาที่เตรียมมาก็หมดแล้วด้วย เราควรทำเช่นไรดี หากนางไม่ตายคงเป็นพวกเรานี่แหละที่ต้องตายแทน”
“แล้วเราจะไปหายามาจากที่ไหนได้ล่ะ หรือจะให้องครักษ์เหวินเป็นคนจัดการ” เมื่อหาทางออกไม่ได้จึงหมายจะพึ่งผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหนึ่ง และเขาผู้นี้ก็คือคนที่ทำให้องค์หญิงหมดสติ
“จริงด้วย ในเมื่อวันนี้ไม่ได้ออกเดินทาง เราก็ให้องครักษ์เหวินควบม้าไปที่เมืองใกล้ ๆ หายาพิษสักชนิดมาให้นางกินก็จบแล้ว” อีกคนออกความคิดเห็น จากนั้นก็เผยยิ้มร้ายใส่กัน ก่อนที่ทั้งคู่จะชักชวนกันออกไปทำอย่างที่พูด เมื่อเสียงภายในเงียบหายไป คนที่แสร้งหลับจึงลุกขึ้นนั่ง
“สองคนนี้คิดฆ่าเจ้าของร่างงั้นเหรอ หรือว่าสาเหตุที่เรามาอยู่ในร่างนี้ เป็นเพราะองค์หญิงอะไรนี่ถูกวางยาและตายไปแล้ว ส่วนเราก็ตายอยู่ในถ้ำ หรือว่าสถานที่อยู่บริเวณเดียวกัน วิญญาณเราเลยได้มาเข้าร่างนี้” มินซูสันนิษฐานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นึกสงสารตัวเองรวมถึงเจ้าของร่างด้วย
“คนรอบตัวเธอนี่ไม่น่าไว้ใจเลยนะ” พึมพำถึงภัยรอบตัวที่เจ้าของร่างพบก่อนตาย แต่จะว่าไปคนที่ต้องเผชิญชะตากรรมต่อจากนี้คือเธอต่างหาก อยู่ดีดีก็ได้เกิดใหม่ในร่างที่มีคนคิดจะเอาชีวิต จะให้ตายซ้ำตายซ้อนหรือไงกัน
ทว่าเธอคนนี้เป็นถึงองค์หญิง แล้วทำไมถึงมีคนคิดวางยาเอาชีวิต แล้วนี่พวกเขากำลังจะเดินทางไปไหนกัน นึกมาถึงตรงนี้เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นมา เพราะมินซูไม่รู้ว่าเธอจะถามใครได้ แต่ละคนไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
ชีวิตใหม่บนโลกที่ต่างออกไปมันช่างมืดมนเสียจริง
#เปิดเรื่องมา ลูกสาวเราจะตุยอีกรอบซะแล้ว 555