๓ แผนซ้อนแผน (๒)
เขาชกหัวหน้าแล้วขอลาออกกลับมายังบ้านเกิดทันที ดื่มเหล้าร้องไห้ร่วมสัปดาห์จนตัดใจได้ พอดีที่มธุรินเข้ามาจึงลบคนเก่าออกจากหัวใจ
“เออว่ะ ผมก็ลืม”
ม่อนที่กำลังซ่อมรถมอเตอร์ไซค์มองดูนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงตรง ท้องเขาก็เริ่มร้องประท้วงเหมือนรู้เวลา มองเพื่อนสนิทที่มาทำงานด้วยกัน พยักหน้าเป็นอันรู้ว่าต้องไปซื้อข้าวมาให้เจ้านายที่ขะมักเขม้นกับการดูเครื่องยนต์ให้ลูกค้า
“เที่ยงแล้วนี่หว่า พี่จะเอาไรเดี๋ยวพวกผมไปซื้อมาให้” ลุกยืนเต็มความสูง ปัดเศษฝุ่นออกจากกางเกงทั้งที่มือเปื้อนดำ
“กะเพราหมูกรอบ ไข่ดาวเยิ้มๆ” เมนูประจำที่สั่งทุกวัน ถ้าวันไหนงานเยอะก็เลือกตามสั่ง แต่ถ้าทำงานเสร็จเร็วมีเวลาเหลือก็สั่งลาบมากินเพราะเป็นของโปรดเขา
“จัดไปครับ” สองหนุ่มรับคำแล้วเดินออกจากร้านเพื่อไปสั่งอาหารร้านตรงข้ามทันที
ไปไม่นานก็มีสาวสวยแวะมาเยือนถึงร้านซ่อมรถ จินลดารีบออกจากวัดเพื่อมาหาเพื่อนสมัยประถมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอคิดแผนการบางอย่างออกและดูเข้าท่าซะด้วย ไม่รอช้ามีเวลาจำกัดในการทำตามแผนให้เป็นจริง
คนแรกที่เลือกมาหาก็คือหนุ่มหล่อของหมู่บ้าน...เจ้าของร้านซ่อมรถที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี
“เสือ เสือ...มันไม่อยู่เหรอวะ” ตะโกนเรียกแล้วมองหาทั่วร้าน แต่กลับไม่เห็นอีกฝ่ายจนกระทั่งได้ยินเสียงบางอย่างจึงก้มมองพื้น เห็นร่างหนาเลื่อนตัวออกจากใต้รถกระบะพร้อมใบหน้าบึ้งตึงจึงค่อนข้างตกใจ
“อะไร”
“นึกว่าไม่อยู่...จะมาบอกข่าวดีเรื่องมลสักหน่อย” แค่เอ่ยชื่อคนของหัวใจเขาก็ตาโตทันที รีบเดินเข้ามาถามเสียงตื่นเต้น จนจินลดาเกือบเก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ เหมือนชัยชนะของเธออยู่เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น
ขอแค่คนตรงหน้าตกหลุมพราง...ที่เหลือก็ง่ายแล้ว
“ข่าวดี ข่าวดีอะไรวะ” ขมวดคิ้วมุ่น แต่คนที่วางแผนมาอย่างดีก็ค่อยก้าวเข้าไปหา แล้วพูดเสียงเบาพอให้ได้ยินเพียงสองคน ทั้งที่ตรงนั้นก็มีแค่พวกเขาอยู่แล้ว
“เย็นนี้หลังแต่งหน้าให้เด็กๆ เสร็จมลมีเรื่องจะคุยกับนาย แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรหรอกนะ อาจจะยอมตกลงคบกับนายมั้ง” บอกหน้าตายเล่นเอาร่างหน้าถึงกับเหวอ อุทานเสียงดังไม่อยากเชื่อว่ามันคือความจริง
เขาหมั่นเพียรเช้าถึงเย็นถึง งานเยอะแค่ไหนก็ต้องปลีกตัวไปหาหล่อน ไม่คิดว่าวันที่รอคอยจะมาถึงสักที ความจริงก็พอมีสัญญาณจากมธุรินบ้างว่าชอบ แต่เธอก็ไม่ได้แสดงอาการเกินงาม ยังคงเว้นระยะความสัมพันธ์ไว้เสมอ
แต่ดูเหมือนความพยายามของเขาจะสัมฤทธิ์ผลแล้วล่ะ...
“จริงเหรอ!” เผลอร้องเสียงดังอย่างตื่นเต้น
“จะโกหกทำไมล่ะ แต่เขานัดนายที่กระท่อมใกล้บึงบัว เห็นบอกว่าเงียบดีจะได้คุยกันสะดวก” ทว่าสถานที่นัดทำให้เขาไม่ค่อยมั่นใจ
กระท่อมใกล้บึงบัวเป็นแม่เขาเองที่ทำไว้สำหรับพักผ่อน แล้วที่แถวนั้นก็เป็นของครอบครัวก้องคำราม ซึ่งอยู่ติดกับผืนนาของบ้านกนกวดี
ดวงตาคมติดแววเคร่งเครียดแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง เริ่มวิตกหากต้องไปเจอกับหล่อนที่นั่น เกรงว่าอาจมีคนเห็นแล้วเอาเรื่องของเราไปพูดเสียหาย
“แต่มันเปลี่ยวมากนะ มลนัดฉันแน่เหรอ” ถามย้ำอีกรอบกับจินลดา จ้องนิ่งจนคนที่ปั้นเรื่องต้องรีบโมโหกลบเกลื่อน กลัวว่าจะเผยพิรุธออกไป
“โอ๊ย ทำไมถามมากอย่างนี้ล่ะ ก็นัดแน่สิ แต่เขายุ่งเลยวานให้ฉันมาบอกนายเอง สี่ทุ่มเจอกันที่กระท่อม...ตามนี้แหละ อยากรู้อะไรก็โทรไปถามหรือข้อความก็ได้ แต่ฉันคิดว่านายไปลุ้นเอาหน้างานดีกว่า” พูดรัวเร็วพร้อมกับมีท่าทีฮึดฮัดจนเสือไม่กล้าถามอะไรอีก
เขากำลังล่องลอยกับสิ่งที่ยังไม่เกิดแต่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ดูนาฬิกาพบว่าเพิ่งเที่ยงวันแต่ตนอยากให้ถึงสี่ทุ่มแล้ว
ต้องการรู้ว่ามธุรินนัดตนไปทำไม...
“ขอกระซิบอีกนิด...มลซื้อน้ำหอมด้วยนะตอนเช้า ฉันคิดว่าต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นแน่นอน นายไปรอที่กระท่อมสร้างบรรยากาศก่อนก็ดีนะ เผื่อฟ้าเป็นใจจะได้ตกล่องปล่องชิ้นกันสักที” คำพูดที่สร้างจินตนาการอันล่องลอยให้คนฟัง ก่อนเขาจะรีบเก็บอาการพลางทำหน้าขรึม
“คิดอะไรบ้าๆ ฉันให้เกียรติคนที่รักเสมอ”
“อ้อเหรอ ก็ขอให้โชคดีจ้า โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยต้องรีบคว้าไว้ ฉันไปล่ะแค่มาส่งสาสน์แทน” ไม่อยากเชื่อในคำพูดนั้นเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อาจอยู่นานกว่านี้เกรงความจริงจะเปิดเผย จึงรีบขับมอเตอร์ไซค์กลับงานวัดที่กำลังครึกครื้น ปล่อยร่างหนาให้ยืนฝันหวานแล้วคิดทบทวนกับตัวเอง
“เอาไงดีวะ...ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า” พึมพำเสียงเบากับตัวเอง รีบเข้าไปอาบน้ำทันทีแล้วค่อยมาซ่อมรถ
ทั้งบ่ายไม่รู้เขาอาบน้ำไปกี่รอบเพื่อดับความตื่นเต้น ไม่ยอมบอกใครว่าคืนนี้จะไปหามธุริน เกรงหล่อนจะเสื่อมเสียชื่อเสียง
ดวงหน้าคมมีรอยยิ้มประดับตลอดเวลาจนลูกน้องสองคนถึงกับงุนงง ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายกันแน่...
เลือกกลับมาบ้านเพื่อพักผ่อนในช่วงบ่าย และอีกอย่างคือคิดแผนในการชวนภูมิรพีไปเที่ยวตอนเย็น แต่ไม่ว่าใช้เวลาคิดนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้พัฒนาความสัมพันธ์ได้ อีกอย่างตนไม่มีคนที่สามารถพูดคุยระบายความในใจ
นอกจากเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่แต่งงานกับหนุ่มต่างชาติแล้วย้ายไปอยู่แคนาดาได้สองปีแล้ว เธอจึงหัวเดียวกระเทียมลีบ
เลือกโทรไปหาปรางทิพย์โดยไม่ดูเวลาว่าตอนนี้ที่นู้นดึกแค่ไหน เพราะเธอต้องการเพื่อนสนิทที่รู้นิสัยกันดีไม่ต้องเสแสร้ง รอไม่นานปลายสายก็รับด้วยเสียงงัวเงีย ด่าหล่อนฉาดใหญ่แล้วค่อยฟังเรื่องทั้งหมดที่กนกวดีเล่า
“เอาไงดีวะปราง กูอยากได้เขาจริงๆ นะเว้ย แต่ก็มีผู้หญิงหลายคนจ้องจะตะครุบเขาทั้งนั้นเลย” เหนื่อยใจจนต้องพรูลมหายใจอย่างหนักอก คนอีกซีกโลกถึงกับกุมขมับ ง่วงจนตาจะปิดแต่ก็ยังอุตส่าห์ให้คำปรึกษาเพื่อนตัวเอง
‘ท่าทีเขาที่มีต่อมึงเป็นยังไงบ้าง เปอร์เซ็นต์ความชอบอยู่ที่เท่าไหร่’
“เขาทักทายกู ยิ้มให้กู เรียกชื่อกู...ชอบประมาณเก้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์” ไม่รู้ว่าเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าแต่หล่อนคิดเช่นนั้นจริง
‘งั้นก็ลุยเลยเพื่อน กว่าจะมีคนเข้าตาหาไม่ได้ง่าย เท่าที่ฟังเขาก็เป็นคนดี...จับทำผัวเลยไหมจะได้ไม่พลาด’ เสนอความคิดที่กนกวดีเองก็เคยคิด แต่ตัดออกเพราะมันยากเกินไปในการทำให้สำเร็จ หล่อนทอดถอนใจอย่างหนักอก
“บ้า! เป็นสาวเป็นนางจะมาพูดว่าจับทำผัวได้ยังไง...มันจะดีเหรอวะ” เลือกปฏิเสธแต่ก็ยังแอบถามความคิดเห็นของเพื่อน
‘ก็ไม่ต้องทำจริงแค่จัดฉากไง ดูอย่างเรื่องของอีเอมสิ ตอนนี้เป็นคุณนายเสี่ยใหญ่ กูไปรู้มาว่ามันมอมเหล้าผัวแล้วจัดฉากได้เสีย พอคนมาเห็นก็แกล้งบีบน้ำตาเรียกร้องให้รับผิดชอบ สุดท้ายก็ได้แต่งงานเข้าบ้านเขา ถึงผัวจะมีเล็กมีน้อยแต่มันก็ใหญ่สุด แฮปปี้จะตาย มึงไม่ลองเอาเป็นตัวอย่างล่ะ’
ฟังแล้วก็เผยอปากค้าง ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนขนาดเธอตามติดชีวิตของทุกคนในหมู่บ้าน ความฝันอันเลือนรางเริ่มใกล้ความจริง หากใช้วิธีนี้นายอำเภอภูมิรพีจะไปไหนรอด
“จะดีเหรอวะ อับอายคนทั้งหมู่บ้านเลยนะมึง”