

ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร
พิมพ์มาดาเพิ่งรู้ซึ้งในประโยคนี้ก็วันนี้นี่เอง ใครจะคิดว่าช่วงเวลาห้าเดือนที่รู้จักกับตรัยคุณ เขาจะสอนให้เธอรู้จักกับความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะและความเจ็บปวดรวดร้าว เสียใจ ปานใจจะขาดในเวลาเดียวกัน
เปิดโลกใบใหม่ที่เขารังสรรค์สร้างขึ้น เพื่อให้เธอติดอยู่ในวังวนแห่งกามารมณ์ คำหวานที่พร่ำบอก ความเอาใจใส่ที่เขามอบให้ การดูแลที่แสนพิเศษ ทำให้พิมพ์มาดายิ่งถลำลึกจนหาทางออกไม่เจอ หูหนวกตาบอดไม่รับรู้หรือเห็นอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่เขาอยากให้เห็นไม่ฉุกคิดหรือไตร่ตรองหาเหตุผลใด
เป็นเวลาห้าเดือนที่ปราศจากคำว่ารักจากตรัยคุณ มีเพียงคำหวานที่บอกว่าชอบเธอเท่านั้น เมื่อสิ้นคำนี้ก็จบลงที่ความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางร่างกาย จนมาวันนี้พิมพ์มาดาถึงเข้าใจในความหมายของคำว่า ชอบ ที่เขาเอ่ยมา เขาไม่ได้ชอบเธอ แต่เขาชอบร่างกายของเธอต่างหาก
แต่เหตุใดเล่า...เธอจึงได้เผลอใจรักเขาอย่างง่ายดายโดยไม่รู้ตัว และยังคิดเข้าข้างตัวเองจนน่าขบขัน ว่าเขาคงรักเธอเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่มาหาเธอที่ห้องเป็นประจำทุกเมื่อเชื่อวัน ประเคนข้าวของเครื่องใช้ให้ไม่เคยขาด
แต่ก็นั่นแหละ คนโง่เขลาย่อมไม่มีทางฉลาด ย่อมไตร่ตรองหาเหตุผลไม่ได้ ลืมคิดแม้กระทั่งว่าทำไมเขาถึงมาหาเธอ ในเฉพาะเวลาที่เขาต้องการเธอเท่านั้น ตื่นเช้ามาเขาก็แต่งตัวออกจากห้องไป หรือบางครั้งก็ไม่นอนค้างอ้างแรมด้วยซ้ำ ไม่เคยเอ่ยปากอาสาไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัย ครอบครัวของเธอเขาก็ไม่เคยเอ่ยปากอยากจะรู้ข้อมูลอะไร
แม้แต่การออกไปทานข้าวข้างนอกก็แทบนับครั้งได้ เธอและเขาใช้ชีวิตร่วมกันแค่บนเตียงนอนเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังคิดว่าเขารักเสียหนักหนา หากไม่เกิดเรื่องขึ้น เธอคงกลายเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารและน่าเวทนาที่สุด ที่คิดเองเออเอง เข้าข้างตัวเอง กลายเป็นตัวตลกในสายตาเขา
พิมพ์มาดากลับมาห้องพักที่มีกลิ่นอายของตรัยคุณ มีเรื่องราวระหว่างเธอและเขาเกิดขึ้น มีความทรงจำดีๆ ที่มีร่วมกัน น้ำตาที่เพิ่งจะเหือดแห้งไปก็ไหลอาบแก้มลงมาเป็นสาย เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นอย่างน่าเวทนา สองแขนเล็กโอบกอดเข่าตัวเองร้องไห้ หวังให้ตัวเองคลายความเสียใจลงบ้าง แต่ไม่เลย...
ความเสียใจยังเกาะเกี่ยวจิตใจมาเนิ่นนานแรมเดือนนับจากวันนั้น พิมพ์มาดายังเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึงคนใจร้าย หญิงสาวก็ได้แต่หวังว่าสักวันเธอจะกลับมาสดใส ร่าเริงและยิ้มง่ายดังเดิม ไม่ต้องนอนร้องไห้หลับไปพร้อมน้ำตาเฉกเช่นทุกค่ำคืนดั่งที่ผ่านมา
“ไงยะคุณแม่ หน้าตาซีดเชียว นอนไม่หลับหรือไง” มนัสวีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของพิมพ์มาดา คนที่รู้เรื่องระหว่างเธอกับตรัยคุณเป็นอย่างดี ทรุดตัวลงนั่งข้างเพื่อนสาวที่มานั่งรอในห้องเรียนเป็นที่เรียบร้อย วางกระเป๋าผ้าที่มีของกินมากมาย ที่มารดาทำเผื่อมาให้พิมพ์มาดาลงบนโต๊ะ
“หลับๆ ตื่นๆ น่ะ” หันมาตอบเพื่อนที่กำลังค้นกระเป๋ายุกยิก ก่อนจะหยิบแซนด์วิชที่ทำจากขนมปังธัญพืช ไส้พริกเผาไข่ดาวแฮมส่งให้เพื่อนสาว
“แม่ฝากมาให้เพลง”
“ฝากบอกแม่ด้วยนะ ว่าขอบคุณมาก แต่เพลงเกรงใจ” ตั้งแต่ที่มนัสวีรู้ว่าเธอตั้งท้อง เพราะเธอดันซุ่มซ่ามทำยาบำรุงครรภ์หล่นจากกระเป๋า มารดาของเพื่อนสาวก็ทำอาหารฝากมาให้แทบทุกวัน
“คิดมากไปได้ เรื่องเล็กน้อยน่า แม่เราอะชอบทำอาหารและทำทีละมากๆ เอาไปแบ่งเพื่อนบ้านกินเป็นประจำ เพราะฉะนั้นเพลงอย่าคิดมาก รีบกินเถอะเดี๋ยวอาจารย์มา นี่ มีนมสำหรับคนท้องด้วยนะ” หยิบนมกล่องในกระเป๋ามาวางบนโต๊ะให้เพื่อนสาว
คนถูกดูแลเอาใจใส่น้ำตาคลอ ไม่รู้ทำไมถึงได้กลายเป็นคนบ่อน้ำตาตื้นได้ง่ายดายขนาดนี้ เจอเรื่องเล็กน้อยที่มีผลต่อความรู้สึกก็น้ำตาคลอขึ้นมาทุกที
“ไม่ต้องมานั่งน้ำตาคลอตื้นตันใจเลยนะ รีบกินเลยค่ะคุณแม่” ก่อนที่น้ำตาเพื่อนจะไหล มนัสวีจึงต้องพูดเสียงดุออกไป ไม่อย่างนั้นคุณแม่มือใหม่คงได้นั่งร้องไห้เป็นแน่
“แล้วนี่ยังแพ้ท้องอยู่ไหม” คนถูกถามพยักหน้ารับ เพราะปากยังเต็มไปด้วยแซนด์วิช พิมพ์มาดาค่อยๆ กลืนลงคอไปช้าๆ จนหมดปาก
“ก็ยังแพ้บ้าง เพลงก็พยายามเลี่ยงอาหารที่ตัวเองแพ้ แต่ช่วงเช้าตื่นมาก็มีอาเจียนอยู่”
“เดี๋ยวก็คงดีขึ้นแหละ ช่วงแรกแม่บอกว่าก็แพ้แบบนี้แหละ ยังดีนะที่เพลงทานอาหารได้ ตอนแม่ท้องเรา แม่บอกว่าทานอะไรไม่ได้เป็นเดือนเลย นอกจากน้ำส้มคั้นแช่เย็น แล้วนี่เพลงยังรับติวหนังสืออยู่ไหม ทำไหวหรือเปล่า” เพราะต้องการแบ่งเบาภาระจากทางบ้าน พิมพ์มาดาจึงรับติวหนังสือให้เด็กๆ ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมต้น เพื่อหารายได้มาใช้จ่ายในแต่ละเดือนและจ่ายค่าเทอม
“ไม่ได้รับเพิ่มแล้วล่ะ กลัวทำได้ไม่เต็มที่ อีกอย่างอีกไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบแล้ว ไม่อยากให้นักเรียนเลิกคลาสกลางคัน”
“ดีแล้ว ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเลย ว่าแต่เย็นนี้จะไปหาหมอใช่ไหม”
“ใช่”
“งั้นเดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน จะได้ประหยัดค่ารถและไม่ต้องโหนรถเมล์ให้หลานเราผจญภัยด้วย”
“ขอบใจนะ”
“เล็กน้อย มีอะไรให้ช่วยก็บอกไม่ต้องเกรงใจ ยังไงเราสองคนก็เพื่อนกัน และเด็กที่อยู่ในท้องเพลงก็หลานเรา ใครไม่รักก็ช่างเขา เนอะ” พูดออกไปแล้วถึงรู้ว่าไม่ควรพูด มนัสวีรีบยกมือขึ้นมาปิดปาก มองเพื่อนอย่างขอโทษที่ไม่น่าปากไวพูดให้เพื่อนสะเทือนใจ แต่พิมพ์มาดากลับยิ้มให้และบีบไหล่มนัสวีเบาๆ
“เพลงโอเค ใครไม่รักก็ช่างเขา เพราะเพลงรักและพร้อมจะเลี้ยงเขาให้ดีที่สุด”
“เก่งมากเพื่อนฉัน”
คนถูกชมว่าเก่งยิ้มรับ เธอต้องเก่งอยู่แล้วล่ะ ในเมื่อเธอมีอีกหนึ่งชีวิตต้องดูแล เธอไม่สามารถอ่อนแอได้อีก พิมพ์มาดาที่อ่อนต่อโลกคนนั้นจะค่อยๆ ตายไปทีละนิด เปลี่ยนเป็นพิมพ์มาดาคนใหม่ที่เข้มแข็ง แข็งแกร่ง เพื่อปกป้องหัวใจดวงน้อยของตัวเองให้ได้ในวันข้างหน้า
สังคมปัจจุบันบนโลกที่บิดเบี้ยวใบนี้น่ากลัวเกินไป จิตใจคนโหดร้ายกว่าที่คิด ตรงกันข้ามก็เปราะบางเกินกว่าจะสู้กับสิ่งเลวร้ายได้ เธอจะทำตัวเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีโล่วิเศษไว้คอยกันภัยให้ลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา
เธอจะไม่ทำให้ลูกของเธอรู้สึกว่าตัวเองขาดความรัก เธอจะใช้ความรักของเธอโอบกอดลูกเอาไว้ ทำให้ลูกเห็นว่าแม่คนนี้พร้อมจะปกป้องดูแลลูกด้วยชีวิต
“คุณพิมพ์มาดา ชโวชัย เชิญที่ห้องตรวจหมายเลข 2 ค่ะ” เสียงเรียกของพยาบาลหน้าเคาน์เตอร์ดังขึ้น มนัสวีหันมายิ้มให้เพื่อนและพยักหน้าให้เป็นกำลังใจ
“เพลงจะไม่ให้เราเข้าไปด้วยจริงๆ นะ” เอ่ยถามย้ำอีกรอบ หลังจากถามมาแล้วสองครั้ง แต่เพื่อนสาวก็ยืนกรานว่าไม่เป็นไร
“ไม่ต้อง วีรออยู่นี่แหละ”
“โอเค” สุดแท้แต่เพื่อนของเธอจะตัดสินใจ มนัสวีไม่อยากรบเร้ามากไปกว่านี้ แม้จะเป็นห่วงเพื่อนมากแค่ไหนแต่ก็ได้แค่มองอยู่ห่างๆ
