บทที่ 8
ขณะนี้ เขากําลังยืนพิงกรอบประตูอยู่อย่างสบายอารมณ์ แขนทั้งสองกอดอกไว้ กางเกงผ้าฝ้ายสีซีด ๆ กับเสื้อเชิ้ตตัวที่อาบเหงื่อหายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าไหมสีนวล กับกางเกงสีน้ำตาลทราย เน้นบุคลิกลักษณะของเขาให้ดูกล้าแกร่งขึ้นกว่าเดิม
“อ้อ..แม่ยกห้องนี้ให้คุณอยู่สินะ” เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง คล้ายกับบังเกิดความใคร่รู้ในอะไรบางอย่างขึ้นมา และคล้ายกับว่า เขาไม่เคยได้เข้ามาในห้องนี้นานแล้ว “เตียงนอนนั่นใหญ่ดีจริง” สายตาของเขาอ้อยอิ่งอยู่ที่เตียงนั้น ก่อนที่จะเลื่อนไปมองหน้าเธอ “ใหญ่เกินกว่าที่จะนอนแค่สองคนด้วยซ้ำ”
“ไม่เอาน่า เจ.อาร์. บาร์บาร่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้นหรอก” ทอดด์พยายามที่ปกป้องคู่หมั้นของตนไว้ แต่สีหน้าและน้ำเสียงของเขาไม่ได้บอกความไม่พอใจหรือความขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย
“อ้าว ยังงั้นหรอกเรอะ” จ๊อคย้อนถาม ราวกับเกิดความแปลกใจขึ้นมาเสียเต็มประดา
“ก็ใช่นะสิ” ดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อนโยนของทอดด์ฉายแสงแห่งความยุ่งยากใจขึ้น ขณะเดียวกัน สีหน้าของเขาก็บอกความไม่เข้าใจที่ว่า ทําไม พี่ชายของเขาจึงต้องกล่าวย้ำในอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
“หยุดเถอะ ทอดด์” บาร์บาร่าพยายามระงับอารมณ์ของตนเองไว้อย่างสุดความสามารถ “ฉันไม่ใช่นักบุญนะคะ”
“แต่คุณก็ไม่ได้เป็นคนบาปเหมือนกันนี่” คราวนี้เขาหันมาขมวดคิ้วใส่เธอ
“คุณเป็นเพียงผู้บริสุทธิ์ไงล่ะ บาร์บาร่า” จ๊อคพูดพร้อมกับยิ้มเยื้อน คลายแขนที่กอดอกอยู่ออก พร้อมกับยืดร่างขึ้น “เราจะกินอาหารค่ำกันทุ่มตรงเครื่องดื่มอยู่ตรงเฉลียงด้านตะวันตก ซึ่งลงไปได้ทุกนาทีก่อนเวลานั้น เสร็จแล้วรีบลงไปก็แล้วกัน”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่บาร์บาร่าได้ยินเขาออกคําสั่งด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอํานาจ และดูเหมือนมันจะเป็นไปตามธรรมชาติเสียด้วย มันทําให้เธอได้ ตระหนัก ในสิ่งหนึ่งว่า จ๊อคสามารถจะออกคําสั่งได้ พอ ๆ กับที่ใช้วาจาของตนลวงล่อให้ผู้อื่นตายใจ เธอรู้จักเขาเพียงฐานะของคู่รักเท่านั้น และแทบจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวเขาในเรื่องอื่นเลย
“ถ้าเช่นนั้น ก็หมายความว่าเรามีเวลาไม่มากนักสินะ” ทอดด์พูดเบา ๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมา
“ค่ะ” บาร์บาร่าตอบออกไป ทั้งที่ไม่รู้ว่า ตอนนี้ เป็นเวลากี่โมงแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น ก่อนที่ผมจะลงไปข้างล่าง ผมจะแวะมาดูก่อนก็แล้วกันว่าคุณเสร็จหรือยัง” เขาให้สัญญา ก่อนที่จะโน้มร่างเข้ามาจุมพิตลงบนนวลแก้มเบา ๆ และเดินออกไปจากห้อง
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ทอดด์จึงได้มาเคาะตรงหน้าประตูห้อง ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น บาร์บาร่าได้จัดเสื้อผ้าเข้าตู้ อาบน้ำและเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เป็นชุดกระโปรงติดกันลายดอกไม้สีฟ้าแล้ว เนื้อผ้าที่บางเบาทิ้งตัวลู่ลงตามธรรมชาติเผยให้เห็นเรือนร่างที่สมสัดส่วน ตรงช่วงลําคอนั้นจับเดรฟไว้เป็นชั้น ๆ เน้นความงามของเนินทรวงให้เอิบอิ่มยิ่งขึ้น ทอดด์อดที่จะเอ่ยชมความงามของคู่หมั้นออกมาอีกครั้งไม่ได้ เพียงแต่บาร์บาร่าไม่ใคร่จะปิติยินดีในคําชมของเขาเท่าไรนัก จากนั้น เขาก็พาเธอเดินลงบันไดไปยังเฉลียงข้างสระว่ายน้ำ
“จัดทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วหรือคะ” ลิเลียนลุกขึ้นจากเก้าอี้เหล็กดัดสีขาว เพื่อต้อนรับลูกชายกับคู่หมั้น สําหรับจ๊อคนั้นเพียงแต่มองมายังหนุ่มสาวด้วยสายตาที่เฉยเมยเท่านั้น
“ค่ะขอบคุณมาก” บาร์บาร่าผงกศีรษะประกอบคําตอบ
“เจ.อาร์.ถ้าทําหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์ละก้อ ผมขอสก๊อตซ์นะ” ทอดด์หันไปสั่งพี่ชาย
“ได้ทันที” จ๊อคเปิดจุกขวดออก รินเหล้าใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็งใส่ไว้แล้ว “แล้วคุณล่ะ บาร์บาร่า จะดื่มเครื่องดื่มอ่อน ๆ หรือว่าเอาที่มันแรงอย่างผมดี”
“จ๊อค...” ลิเลียนเอ่ยปรามลูกชาย เมื่อจับสังเกตหางเสียงที่เยาะหยันนั้นได้
“ฉันขอรัม แอนด์ โค้กก็แล้วกันค่ะ” บาร์บาร่าสั่ง
“ฉันเห็นจะต้องขออภัยเกี่ยวกับลูกชายคนนี้ด้วยนะคะ” ลิเลียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ออกจะเสียใจอยู่ “ในระยะหลัง ๆ นี้ รู้สึกว่าจ๊อคเข้ากับใครไม่ค่อยได้เลย สองสามเดือนมานี่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรอารมณ์เสียมาตลอดเลยค่ะ”
“บางคนเขาบอกว่า เรื่องนี้จะต้องโทษผู้หญิงว่าเป็นต้นเหตุ” จ๊อคเอ่ยขึ้น ขณะที่ส่งแก้วเครื่องดื่มให้น้องชายกับบาร์บาร่า
“ผู้หญิงในที่นี้ เห็นจะต้องใช้คําว่า ผู้หญิงหลาย ๆ คน ถึงจะถูกต้องตรงต่อความเป็นจริง”
จากแผงขนตาที่หลุบลงนั้น บาร์บาร่าเหลือบตามองไปทางจ๊อคอย่างพิศวงคําพูดสองประโยคนั้นยังก้องอยู่ในหู... สองสามเดือนมานี่ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อารมณ์เสียมาตลอด...กับคําพูดของเขาเองที่ว่า...เรื่องนี้ต้องโทษผู้หญิง...หรือเขากําลังจะพยายามบอกใบ้ให้เธอได้รู้ว่า เธอนั่นเองที่ก่อให้เกิดผลกระทบเช่นนั้นขึ้นกับเขา มันเป็นคําถามที่สร้างความสับสน วุ่นวายใจให้เกิดขึ้น แต่เธอก็จะไม่ยอมให้มันฝังรากฝังโคนลงในสมองอย่างแน่นอน
“แด่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวในอนาคต” ลิเลียนชูแก้วที่ถืออยู่ในมือตนเองไปทางทอดด์กับบาร์บาร่า
ขณะที่บุคคลทั้งสามจิบเครื่องดื่มของตนอยู่นั้นบาร์บาร่าสังเกตเห็นว่า จ๊อคไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอวยพรนั้นด้วยแก้วเครื่องดื่มของเขาก็ยังวางอยู่บนรถเข็นใกล้พอที่จะเอื้อมถึง และเขาก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าที่จะหยิบมันขึ้นมาจิบ
แม้กระนั้น มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะเข้ามามีส่วนร่วมในการอวยพรครั้งนี้ด้วย แสดงออกถึงความห่างเหินไม่ยอมร่วมในปาร์ตี้เล็ก ๆ ซึ่งจัดขึ้นเฉพาะแต่กับบุคคลในครอบครัวเท่านั้น เป็นการฉลองการหมั้นลูกชายคนเล็กของตระกูลอย่างเงียบ ๆ
ซึ่งอาการเงียบงันที่เกิดขึ้นกับเขานั้น ทําให้บาร์บาร่าบังเกิดความรู้สึกอึดอัดไม่สบายขึ้นมาอีก...ทั้งความเงียบงัน และสายตาที่คอยจ้องจับความเคลื่อนไหวของเธอในทุกอิริยาบถนั้น...
คนครัวเป็นผู้หญิงชาวคิวบันผู้เงียบสงบ เดินเข้ามาถอนชามใส่ซุปกาซปาโซ่ ซึ่งเป็นซุปที่ผสมเครื่องเทศรสแรงออก การเข้ามาให้บริการของนางทําให้การสนทนาขาดตอนลงชั่วครู่
“คุณพ่อคุณแม่เธออยู่ที่ไหนนะ บาร์บาร่า” ลิเลียนซึ่งนั่งอยู่ตรงปลายโต๊ะในฐานะเจ้าของบ้านฝ่ายหญิง ตรงข้ามกับลูกชายคนโตที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ เอ่ยถามขึ้น
“ตอนนี้ เสียชีวิตหมดแล้วละค่ะ เนื่องจากเครื่องบินตกเมื่อห้าปีก่อน” เธออธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เมื่อห้าปีก่อนงั้นรึ” ทอดด์ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอทวนถามขึ้น “ไม่ยักรู้เรื่องนี้ ตอนนั้น คุณก็ยังเป็นแอร์โฮสเตสอยู่สินะ”
“ใช่ค่ะ”
“และเพราะเหตุนี้หรือเปล่า ที่ทําให้คุณขอย้ายลงมาประจําภาคพื้นดิน”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันยังบินต่อไปอีกตั้งเกือบปี จนกระทั่ง มาถึงจุดหนึ่งที่มันเกิดความรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา”
“หมายความว่าคุณกลัวที่จะต้องบินต่อไปอย่างนั้นสินะ” จ๊อคช่วยสรุป
“มันก็ทํานองนั้นแหละค่ะ แต่จากสถิติแล้ว เราจะเห็นว่ามันได้พิสูจน์ว่าการใช้เครื่องบินนั้นปลอดภัยกว่าการขับรถอยู่บนถนนหลวงมากทีเดียว” เธอพูดยิ้ม ๆ
“แต่เวลานี้ท้องฟ้ามันก็ดูจะมีการจราจรคับคั่งยิ่งขึ้นทุกทีนะ” ลิเลียนเอ่ยขึ้นเชิงปรารภ
“แต่ก็ยังไม่คับคั่งเหมือนบนถนนหลวงหรอกค่ะ เวลาที่เครื่องบินของสายการบินใดก็ตามที่บรรทุกผู้โดยสารถึงสองร้อยคนตกลง มันจะต้องเป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ข่าวจะต้องกระจายออกไปทั่วโลก แต่ในแต่ละวันนั้นต่อให้มีรถชนกันถึงสองร้อยราย มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุนั้นวันละถึงสองร้อยคนเหมือนกัน มันกลับไม่ค่อยจะเป็นข่าวเท่าไหร่นัก” บาร์บาร่ากล่าว
“ถ้าคุณมีความเชื่อว่า การบินเป็นสิ่งที่ปลอดภัยกว่า แล้วทําไม คุณถึงได้กลัวขึ้นมาล่ะ” จ๊อคถามอย่างใคร่รู้
“เรื่องความกลัวน่ะมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีเหตุผลเสมอไปหรอกค่ะ” บาร์บาร่าตอบพร้อมกับไหวไหล่ ใคร ๆ ที่บินมักจะต้องประสบกับปัญหานี้ด้วยเหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นไพล็อต พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน หรือแม้ตัวนักบินเองก็ตาม โดยปรกติแล้ว พวกนี้เขาจะมีชั่วโมงบินสูงกว่าฉันมากมายนัก เพราะฉะนั้น เมื่อชินชาเข้า ความกลัวก็หายไปเอง สําหรับฉันนั้นขอย้ายตั้งแต่ก่อนที่มันจะรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างจริง ๆ จัง ๆ
“บางที ความตายของคุณพ่อคุณแม่อาจจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนอยู่ด้วยก็ได้นะ” ลิเลียนเอ่ยขึ้นอย่างเห็นใจ
“มันก็เป็นไปได้ค่ะ แต่มาระยะหลัง ๆ การที่จะต้องไปนอนอยู่ตามบ้านเมืองต่าง ๆ แปลกที่แปลกทาง มันเริ่มรบกวนความรู้สึกของดิฉันอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่พ่อกับแม่ตายลงแล้ว ดิฉันก็เกิดความรู้สึกว่าอยากมีบ้านขึ้นมาอีก...ไม่ใช่บ้านประเภทห้องเช่าที่อาศัยหลับนอนไปชั่วคืนหนึ่ง ๆ ระหว่างที่รอการขึ้นบินนั่น ดิฉันต้องการบ้านที่มันเป็นของตัวเอง บ้านที่ดิฉันจะกลับไปได้ในทุกครั้งที่เสร็จจากภารกิจทั้งหลายแล้วน่ะค่ะ” บาร์บาร่าเล่าให้มารดาคู่หมั้นฟัง แต่เธอไม่ได้เอ่ยถึงอีกความปรารถนาหนึ่งในหัวใจที่ว่า...เธออยากจะมีใครอีกสักคนหนึ่งที่พร้อมจะให้เธอหันไปหาด้วย
“แล้วเธอไม่มีญาติพี่น้องอื่นอีกเลยหรือคะ” ลิเลียนถาม แววแห่งความเห็นใจฉายแสงอยู่ในดวงตาคู่สีน้ำตาลที่อ่อนโยนนั้น
“ไม่มีหรอกค่ะ” บาร์บาร่าสั่นศีรษะ เรือนผมพลิ้วไหวเป็นประกายอยู่ในแสงไฟ
“แต่คุณก็มีครอบครัวของผมแล้วไง” ทอดด์เอ่ยขึ้นทันที รอยยิ้มของเขาบอกความเข้าใจในความรู้สึกของคู่หมั้นอย่างสุดซึ้ง “ก็เท่าที่คุณเห็นอยู่นี่แหละ”
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่บาร์บาร่าไม่อาจจะคิดค้นหาคําพูดใดมาตอบสนองต่อคําพูดประโยคนั้นของทอดด์ได้ ออกจะเป็นการโชคดีอยู่ที่มารดาของเขาเอ่ยขึ้นเสียก่อน ซึ่งเท่ากับเป็นการคลี่คลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดใจที่ตกลงปกคลุมอยู่ให้เบาบางลง
“เรายินดีที่จะต้อนรับเธอเข้ามาร่วมในตระกูลของเราอีกคนหนึ่งนะ บาร์บาร่า ฉันน่ะพอเห็นเธอครั้งแรกก็นึกชอบแล้ว” ลิเลียนพูดตามความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง “ตอนฉันเห็นเธอครั้งแรกนั่นน่ะ มันมีความรู้สึกบ้า ๆ คล้ายกับว่า ฉันได้รู้จักเธอมาแล้วตลอดทั้งชีวิตทีเดียวนะ”
ความตระหนกที่บังเกิดขึ้นทําให้ใบหน้าของบาร์บาร่าเผือดซีดลงทันที ทั้งหมดที่ลิเลียนกล่าวออกมา คือคําพูดประโยคที่จ๊อคเคยได้กล่าวมาแล้วตอนที่เดินเล่นอยู่กับเธอบนชายหาด และทันทีที่กล่าวจบ เขาก็ก้มลงจุมพิตเธออย่างหนักหน่วง