บทที่ 5
มีเสียงประตูกระแทกปิดลงดังขึ้นในห้องโถง เสียงกระจกกระทบกันอยู่เกรียวกราวบอกให้รู้ว่ากําลังมีคนเดินเข้ามาทางด้านที่เปิดติดต่ออยู่กับสระว่ายน้ำ บาร์บาร่าจึงหันไปมอง ขณะเดียวกัน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินปัง ๆ อยู่บนพื้นที่ปูด้วยแผ่นกระเบื้อง
ผู้ชายรูปร่างสูง ไหล่กว้างคนหนึ่งกําลังเดินเข้ามาทางห้องรับแขก กางเกงผ้าฝ้ายสีซีด ๆ รัดแนบอยู่กับช่วงสะโพกที่ค่อนข้างแคบและกล้ามเนื้อตรงต้นขา เสื้อเชิ้ตที่เคยเป็นสีขาว ขณะนี้ อาบชื้นอยู่ด้วยเหงื่อเช่นเดียวกันกับหมวกปีกกว้างที่ครอบศีรษะ ซึ่งครั้งหนึ่งคงจะเคยเป็นสีน้ำตาล ขอบของปีกหมวกนั้นเองที่บังใบหน้าส่วนหนึ่งของเขาไว้
ทันใด ความตระหนกก็แผ่ซ่านไปทั่วเรือนกาย เมื่อเธอมองเห็นใบหน้าที่กร้านแดดเกรียมลมของผู้ชายคนนั้นดวงตาที่ตวัดมองมายังเธอเป็นประหนึ่งสายฟ้าที่แลบปลาบขึ้น โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว บาร์บาร่ายังเกิดความคิดขึ้นมาว่า ขณะนี้มโนภาพกําลังเล่นตลกเอากับเธอเข้าแล้ว มันจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน...เธอบอกกับตัวเองด้วยความตื่นตกใจเป็นล้นพ้น
และแล้ว เธอก็เห็นหมวกใบนั้นถูกถอดออก และถูกเหวี่ยงไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งเผยให้เห็นเรือนผมสีน้ำตาลแกมทอง อันเนื่องจากถูกแสงแดดลามเลียมานานวัน กิริยาดังกล่าวติดตามมาด้วยรอยยิ้มกว้างที่เผยให้เห็นไรฟันขาวสะอาด
“จ๊อค” ชื่อนั้นหลุดออกจากปากด้วยน้ำเสียงที่ ไม่ได้ต่างไปกว่าเสียงกระซิบเลย ความไม่อยากจะเชื่อบีบรัดอยู่ตรงคอหอยของเธอ จนไม่อาจจะกล่าวออกมาให้ดังกว่านั้นได้
“ในที่สุด คุณก็เปลี่ยนใจ และยอมรับคําเชิญของผมแล้วสินะ” น้ำเสียงทุ้ม ๆ นุ่มนวลก้องมาถึงหูราวจะปลอบประโลม “แต่รู้สึกว่าคุณต้องใช้เวลาในการตัดสินใจนานเหลือเกินนี่”
นี่จะต้องเป็นความฝันอย่างแน่นอนที่สุด บาร์บาร่าเชื่อว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ มันเป็นเพียงภาพฝันที่ผ่านเข้ามาในคลองจักษุของเธอเท่านั้น จ๊อคเพียงแต่เคยเชื้อเชิญให้เธอติดตามเขาไปเท่านั้น และหลังจากนั้น ไม่นานเขาก็แสดงให้เธอรู้เลยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขานั้นมันได้ถึงจุดยุติลงแล้ว เพราะฉะนั้น เขาก็ไม่ควรจะพูดอะไรอย่างนี้อีก
แต่ทว่า เมื่อร่างของเธอถูกรวบเข้าสู่อ้อมแขนนั้นมันไม่ใช่ภาพฝันเลยแม้แต่น้อย ร่างเพรียวระหงนั้นแนบชิดอยู่กับเรือนกายอันแข็งแรงของเขา น้ำหนักของริมฝีปากที่กดประทับลงมา ทําให้บาร์บาร่าถึงกับหงายหลังไป ในขณะที่เขาจูบเธออย่างหิวกระหาย ราวกับอดอยากมาเป็นเวลานานเต็มที ความรุนแรงของจุมพิตนั้นทั้งหักหาญและรุกราน ฝ่ามือของเธอที่ทาบอยู่กับช่วงไหล่ สัมผัสความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อตัวนั้น
ความรุนแรงทั้งจากจุมพิตและอ้อมกอดที่แน่นกระชับ ทําให้บาร์บาร่าชาไปหมดทั้งเนื้อตัว รู้สึกเหมือนตัวเองกําลังดําดิ่งลงสู่หุบเหว ที่เต็มไปด้วยอันตราย อารมณ์อันรุนแรงนั้นสกัดกั้นการขัดขวางต้านทานของเธอไว้จนหมดสิ้น และยังฝ่ามือของเขาที่โลมลูบลงไปเสียเกือบจะในทุกส่วนของเรือนร่างอีกเล่า มันกระพือโหมเพลิงพิศวาสให้ลามแล่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ความสับสนมึนงง ผ่านแวบเข้ามาในสํานึก ขณะที่เขาไล้ริมฝีปากลงตามช่วงแนวลําคอและกําลังจะซุกซอนต่อไปยังช่วงไหล่นั้น บาร์บาร่าก็พยายามที่จะดึงตัวเองออกมาให้พ้นจากวังวนนั้นให้ได้
“คุณมาทําอะไรอยู่ที่นี่คะ จ๊อค” เสียงที่เอ่ยถามนั้นสั่นพร่า บอกให้รู้ว่าอิทธิพลของเขานั้นได้ทําลายการควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองลงเกือบจะหมดสิ้นแล้ว
“เอ๊ะ...ทําไม คุณถึงตั้งคําถามอะไรพรรค์นั้นล่ะ” ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขาโลมไล้อยู่กับผิวหน้า และแล้วจ๊อคก็เงยหน้าขึ้นนานพอที่ดวงตาคู่สีน้ำตาลแกมทองอันทรงอํานาจจะสะกดเหยื่อของเขาไว้ได้ และเขาก็โน้มริมฝีปากลงหาเธออีกครั้ง ลมหายใจประสมประสานกันอยู่ ขณะที่ตอบคําถามด้วยน้ำเสียงกึ่งขบขันว่า “ผมก็อยู่ที่นี่น่ะสิ”
และจุมพิตอันแรงร้อนก็ลวกลามลงบนเรียวปากของเธออีกครั้ง ราวจะพาบาร์บาร่าให้ล่องลอยขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ซึ่งอยู่สูงจนน่ากลัวยิ่งนัก อารมณ์ที่เตลิดเพริดไปไกลดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่เธอเคยตกใจกลัวมาก่อนเลย แต่ทว่า ก่อนที่เธอจะถูกทิ้งให้ดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งความมืดดํา ทอดด์ก็ได้ก้าวออกมาและช่วยดึงเธอไว้ให้ออกมาพ้นจากหุบเหวมรณะแห่งนั้นได้อย่างทันท่วงที เสียงพูดของเขานั่นเองที่ทิ่มแทงผ่านใยพิศวาสที่กําบังร้อยรัดร่างเธอไว้
“แม่ส่งผมออกมาก่อนพร้อมกับเครื่องดื่มนี่ เดี๋ยวแม่จะ...” เขาทิ้งคําพูดให้ค้างอยู่เพียงแค่นั้น
แผ่นอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อซึ่งอยู่ใต้ฝ่ามือของบาร์บาร่าในยามนี้เผยอขึ้นด้วยแรงหอบหายใจ ขณะที่จ๊อคถอนจุมพิตออกจากเรียวปาก เหลือบตามองไปทางน้องชายอย่างไม่พอใจก่อนที่จะตวัดกลับมามองหน้าเธออย่างรวดเร็ว แววในดวงตาเปลี่ยนไป มันแสดงออกถึงความยินดีและความพอใจในความสุขสมที่เขากําลังได้รับจากเธออยู่
“นี่ ไอ้น้องชาย แกเข้ามาผิดเวลาแล้วละ” จ๊อคเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บอกความดูหมิ่นอยู่ไม่น้อย สายตาของเขาไม่ได้ละจากใบหน้าของบาร์บาร่าที่กําลังแหงนขึ้นมองอยู่เลย “แกจะไปไหนก็ไปเถอะ อีกสักชั่วโมงค่อยกลับมาใหม่ แต่...เอาสักสองชั่วโมงดีกว่า” เขาเปลี่ยนความคิด ก่อนที่จะบอกกับบาร์บาร่าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เราจากกันมานานเต็มที เพราะฉะนั้น ผมคงจะไม่เต็มอิ่มได้ง่าย ๆ หรอกนะ”
คําพูดอันเต็มไปด้วยความยะโสโอหัง ตั้งข้อสมมุติฐานเอาเองว่า เธอจะต้องหวนกลับมาหาเขาใหม่ด้วยความเต็มใจ ทั้งที่ถูกเขาทิ้งขว้างอย่างไม่ไยดีมาแล้วนั้น จุดความแค้นเคืองในใจให้เกิดขึ้น และการที่มีทอดด์เข้ามาอยู่ร่วมในห้องนั้นด้วยทําให้บาร์บาร่าเกิดกําลังใจขึ้นมาอย่างมาก โดยเฉพาะแหวนหมั้นที่อยู่ในนิ้วนางข้างซ้ายของเธอยามนี้ เป็นสิ่งที่เสริมพลังในการต่อสู้ให้โดยไม่คาดคิด
วูบนั้นเอง ที่ฝ่ามือของเธอฟาดออกไปเต็มเหนี่ยว พร้อม ๆ กับที่เธอกระชากร่างของตัวเองออกมาเสียจากวงแขนคู่นั้น ฝ่ามือสั่นระริกด้วยแรงกระทบอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้น สีหน้าและแววตาที่บอกความงุนงงเปลี่ยนเป็นเผือดซีดด้วยความโกรธขึ้นมาทันที ประกายแข็งกร้าว ดุดันปรากฏขึ้น และด้วยความรู้ที่ว่า บัดนี้ เธอได้ทําร้ายสัตว์ป่าตัวนั้นเข้าแล้ว ทําให้บาร์บาร่ารีบเดินกลับไปหาทอดด์ทันที
เสียงหัวเราะเบา ๆ ของทอดด์ดังขึ้น ในท่ามกลางบรรยากาศที่กําลังเต็มไปด้วยความตึงเครียดนั้น
“ผมบอกคุณแล้วไหมล่ะ ว่าคุณจะต้องรู้วิธีการที่จะจัดการกับคนอย่าง เจ.อาร์.เมื่อถึงเวลาเข้าจริง ๆ” เขาเอื้อมมาจับไหล่เธอไว้ และบาร์บาร่าก็รีบหันไปหาเขา ราวกับต้องการที่พึ่งพิงอย่างรวดเร็วที่สุด เพราะรู้ดีว่า การอยู่ใกล้ทอดด์ย่อมทําให้เธอปลอดจากอันตรายทั้งปวง “แม้ว่าผมจะไม่คาดคิดเลยว่าเวลาที่ว่านั่นมันจะมาถึงอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ และถ้าจะมองจากสีหน้าของพี่นะเจ.อาร์. ก็รู้สึกว่าพี่ก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกันใช่ไหมล่ะว่า จะได้รับการตอบโต้ที่รุนแรงกลับมาอย่างนี้”
บาร์บาร่าเหลือบตามองไปทางจ๊อค เขากําลังยกมือขึ้นลูบซีกแก้มข้างที่ถูกเธอตบไว้ แววในดวงตาเป็นประกายราวสัตว์ที่ต้องบาดเจ็บ และคล้ายกับเขาพยายามจะอ่านเรื่องราวและสถานการณ์ที่กําลังเป็นอยู่ในขณะนี้ไปพร้อมกัน เธอเองก็ไม่เข้าใจเลยว่า เพราะเหตุใด ทอดด์จึงเรียกจ๊อคว่า เจ.อาร์.และทําไมจ๊อคจึงกลายมาเป็นพี่ชายของทอดด์ได้
“แล้วนี่ผมยังจะต้องแนะนําอย่างเป็นทางการอีกไหมนี่” ทอดด์ยังรู้สึกขบขันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ “หรือว่าพี่คิดจะแสดงความยินดีกับผมที่เลือกคู่หมั้นได้สวยขนาดนี้”
“นี่เธอสองคนหมั้นกันแล้วอย่างนั้นเรอะ” ถ้าทอดด์จะไม่ได้ยินหางเสียงที่กราดเกรี้ยวของจ๊อคแล้ว คนที่ได้ยินและสังเกตอยู่ก็คือบาร์บาร่านั่นเอง
“อ้าว...นี่คุณยังไม่ได้ให้เขาดูแหวนหมั้นหรอกหรือ บาร์บาร่า” เสียงทอดด์เอ่ยทักถามขึ้น
“ก็มันไม่มีโอกาสเลยนี่คะ” ซึ่งนั่นก็เป็นคําตอบที่ตรงต่อความเป็นจริงอย่างที่สุด แต่กระนั้น บาร์บาร่าก็อดที่จะมีความรู้สึกไม่ได้ว่า มือข้างซ้ายของตนออกจะแข็ง ๆ อย่างไรชอบกล ไม่ยอมที่จะทําตามคําสั่งของสมองเอาเสียเลย แต่ในที่สุด มันก็ยกขึ้น อวดแหวนเพชรเม็ดเดี่ยวที่น้ำงามพราวให้จ๊อคได้เห็น
“รู้สึกว่า เรื่องนี้มันออกจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไปสักหน่อย ใช่ไหมทอดด์” ในน้ำเสียงที่คล้ายกับจะแสดงออกถึงความคิดเห็นธรรมดานั้น มันมีสําเนียงท้าทายในอะไรบางอย่างแฝงอยู่
“เราเพิ่งพบกันเมื่อสักเดือนเดียวมานี่เอง” ทอดด์ตอบไปตามความเป็นจริง และก้มลงยิ้มให้บาร์บาร่า “แต่ผมเดินตามรอยเท้าพี่ไงล่ะ เจ.อาร์ คือเมื่อพบคนที่ต้องใจแล้วก็ไม่คิดที่จะรอช้าอยู่อีก”
“ฉันไม่เข้าใจอะไรเลยจริง ๆ” บาร์บาร่าเพิ่งจะหาเสียงของตัวเองพบ แต่มันก็แหบพร่าเต็มที ด้วยความรู้สึกกึ่งสับสนและงุนงง “ทั้งที่คุณทั้งสองคนบอกว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ฉันก็ยังมีความรู้สึก ว่ามันไม่ได้มีอะไรที่คล้ายกันเลย...”
“เราไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันหรอก” จ๊อคขัดขึ้นเสียก่อน “แม่เดียวกัน แต่คนละพ่อ ทอดด์เขาไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังหรอกหรือ” มุมปากของเขาเผยอขึ้น รอยยิ้มคร้าน ๆ ปรากฏขึ้นคล้ายจะเยาะหยันกับการขาดความรู้เรื่องนี้ของเธอ ขณะเดียวกัน มันก็ทําให้เขาได้ค้นพบความจริงประการหนึ่ง เพราะเหตุใด บาร์บาร่าจึงไม่เคยมีความรู้มาก่อน ว่าจะต้องมาพบเขาในบ้านหลังนี้
“ไม่หรอกค่ะ เขาไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังเลย” เธอจําต้องยอมรับในความจริงข้อนี้ด้วย รู้สึกอึดอัดใจกับสถานการณ์ที่ตนเองกําลังเผชิญอยู่อย่างยิ่ง
“ทอดด์เป็นคนเดียวเท่านั้นแหละที่เรียกผมว่า เจ.อาร์. สําหรับคนอื่น ๆ น่ะ ผมคือจ๊อค”
“จ๊อค มอลลี่” บาร์บาร่าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด เธอจึงเอ่ยเรียกชื่อเต็ม ๆ ของเขาออกมา อาจจะเป็นเพราะต้องการที่จะตอกย้ำให้มันฝังเข้าไว้ในสมองกระมัง แต่ก็ออกจะเป็นความพยายามที่ไร้ความหมายอยู่ ทั้งนี้เพราะ ถึงอย่างไร มันก็ได้เข้าไปอยู่ในความทรงจําของเธอแล้วและอย่างแนบแน่นด้วย