บทที่ 4
หลังจากที่ได้เห็นดอกส้มช่อแรกแล้ว บาร์บาร่าก็ได้เห็นช่อดอกสีขาวพราวกระจ่างอยู่ท่ามกลางใบสีเขียวเข้ม และตัดอยู่กับสีเหลืองสดของผลส้มที่สุกเต็มที่อยู่ทั่วไปในสวน ทอดด์ขับรถช้า ๆ ผ่านไปตามเส้นทางที่มีลูกศรชี้ไว้และไร่ส้มแห่งนั้นก็ดูจะยาวเหยียดราวกับไม่มีวันจะจบสิ้นลงได้
“ส้มกับเกรฟฟรุทนั้น มันมีลักษณะที่เหมือนกันอยู่ประการหนึ่งคือ ถ้าเราปลิดมันลงจากต้นแล้วมันจะไม่สุกอีกต่อไป ไม่เหมือนกับผลไม้ชนิดอื่น ๆ เพราะฉะนั้น ตอนที่เปลือกยังเขียวอยู่เราจะเก็บไม่ได้เป็นอันขาด จะต้องรอให้สุกคาต้นทีเดียว” ทอดด์อธิบายต่อไปเรื่อย ๆ
“ฉันเองก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกนั่นแหละ” บาร์บาร่าหัวเราะให้กับความไม่รู้ของตนเอง
“พรุ่งนี้ ผมจะพาคุณไปเที่ยวชมให้ทั่วบริเวณไร่ส้มของเราเลย คุณจะได้มีความรู้เรื่องส้มเพิ่มขึ้นไง ดีไหม”
“ดีมากเลยค่ะ”
ขณะที่รถแล่นเลี้ยวไปตามทางโค้งทัศนียภาพก็เปลี่ยนไป โดยมีท้องทุ่งที่ใช้ปลูกหญ้าเพื่อทําหญ้าแห้งเข้ามาแทนที่ต้นส้มเบื้องหน้านั้น บาร์บาร่ามองเห็นราวรั้วสีขาวที่กั้นอาณาเขตของทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ประดับด้วยดอกโคลเวอร์สีม่วงแสนสวย และในท้องทุ่งอันกว้างไกลแห่งนั้น แสงอาทิตย์ ได้สาดส่องลงมาต้องสีน้ำตาลอ่อนมันปลาบของฝูงม้าที่กําลังกัดกินหญ้าอยู่ ลูกม้าที่ขายังไม่มีกําลังเท่าไรนักยืนอยู่ชิดตัวแม่ของมัน
“เอ๊ะ...คุณเลี้ยงม้าด้วยหรือคะนี่” บาร์บาร่าเอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“ครับ เราผสมพันธุ์ม้าแข่งสายเลือดตรง เอ...ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังเลยหรือ”
“ไม่เคยเห็นพูดเลยนี่คะ” เธอหันไปมองเขาอย่างขัน ๆ และแล้ว ก็หันกลับไปมองท้องทุ่งนั่นอีกครั้ง “แหม...สวยจังเลยนะคะ”
“คุณขี่ม้าเป็นหรือเปล่า”
“เป็นสิคะ แล้วก็จะต้องขี่ในทุกครั้งที่มีโอกาส...ซึ่งมันก็มีไม่มากนักหรอกค่ะ” แววเสียดายฉาบอยู่ในน้ำเสียง
“ที่นี่มีม้าเยอะแยะไป คุณจะเปลี่ยนขี่วันละตัวก็ยังได้เลย ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่” ทอดด์บอก
“แหม...ยิ่งฟัง ฉันก็ยิ่งมีความรู้สึกว่าที่นี่ใกล้จะเป็นแดนสวรรค์เข้าไปทุกทีแล้วนะคะ”
“และเราก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันที่นี่เป็นเวลาถึงสองอาทิตย์ด้วย” ทอดด์เสริม
“ซึ่งฉันก็จะไม่คิดจะรังเกียจเลยค่ะ” หลังคาของคอกม้าผ่านเข้ามาในสายตา และกับตัวอาคารสีขาวซึ่งเข้ากับราวรั้วด้านนอก
“ผมเองก็ไม่รังเกียจเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นเวลาสองอาทิตย์ที่ผมจะได้อยู่กับคุณ ผมคงจะเฝ้ามองคุณตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่ยอมสูญเสียโอกาสที่จะได้ชื่นชมกับความงามของธรรมชาติหรอกนะ” เขาสรุปในตอนท้าย อาบละไออุ่นลงบนเรือนร่างและใบหน้าด้วยแววในดวงตา ซึ่งทําให้บาร์บาร่าบังเกิดความรักใคร่ไยดีในตัวเขาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เธอไม่สนใจกับความจริงที่ว่า ขณะนี้ ทอดด์กําลังขับรถอยู่ บาร์บาร่าเอนร่างเข้าไปจุมพิตเขา มันเป็นจุมพิตแรกที่เธอเป็นฝ่ายเริ่มต้นขึ้นก่อน และกระทําอย่างอาจหาญเปิดเผย แต่ครั้งหนึ่ง เธอก็เคยกระทําในแบบเดียวกันนี้มาแล้วเพียงแต่ว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ทอดด์เท่านั้น
ทอดด์ลดความเร็วของรถลงจนแทบจะคลานไป ขณะที่สนองตอบจุมพิตนั้นของเธอ บาร์บาร่าชอบความรู้สึกยามที่ริมฝีปากของเขาคล้ายจะทดสอบความรู้สึกของเธออยู่ มันเป็นการเหนี่ยวโน้มจิตใจอย่างอ่อนโยน สุภาพ และความพอใจ ความเปรมปลื้มก็หลั่งไหลเข้าสู่เรือนกาย จุมพิตนั้นสร้างความพอใจที่แตกต่างกว่าให้ และดูจะมีอันตรายต่อจิตวิญญาณของเธอน้อยกว่าด้วย
“ฉันรักคุณค่ะ” เธอกระซิบบอก เรียวปากขยับอยู่กับริมฝีปากของเขา
ท่าทางของทอดด์ดูจะลังเลอยู่ และแล้ว อ้อมแขนที่โอบอยู่กับเรือนร่างก็คลายลง ถึงจะผลักไสให้เธอกลับไปนั่งในที่เดิม แววที่ฉายอยู่ในดวงตาคู่นั้นบอกให้รู้ว่าคําพูดของเธอได้สร้างความรบกวนใจให้เกิดขึ้นกับเขาอยู่ไม่น้อย แต่ทว่า สามัญสํานึกได้เข้ามาควบคุมจิตใจของเขาไว้มั่น
“ถ้าเช่นนั้น คุณก็จะต้องปล่อยให้ผมดูเสียก่อนว่าตัวเองกําลังขับรถไปที่ไหน เดี๋ยวเกิดไปชนกับอะไรเข้าละก้อยุ่งเลย” ทอดด์บอก
“ค่ะ” บาร์บาร่ารับคําง่าย ๆ และนั่งเอนอิงพิงอยู่กับไหล่เขาอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะเบา ๆ ของทอดด์ทําให้เธอต้องแหงนหน้าขึ้นมองเขา “คุณหัวเราะอะไรคะ”
“สีหน้าคุณเหมือนลูกแมวที่กินครีมเข้าไปเต็มอิ่มอย่างนั้นแหละ” เขาเย้า
“ใช่ค่ะ ก็ฉันกําลังมีความสุขนี่คะ” บาร์บาร่ายอมรับตามตรงว่าเธอกําลังมีความสุขอย่างเหลือที่จะประมาณได้ “ฉันไม่คิดเลยนะคะว่าจะกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อีกครั้ง”
ดูเหมือนทอดด์จะเข้าใจได้เป็นอย่างดี ว่าคําพูดในตอนท้ายของประโยคนั้นเป็นคําปรารภกับตัวเองมากกว่า ดังนั้น จึงไม่มีคําตอบจากเขา เพียงแต่เอื้อมมือมาบีบต้นแขนเธอเบา ๆ อย่างเข้าใจในความรู้สึกได้ดีเท่านั้น
จากท้องทุ่งกว้างสีเขียวขจีที่มีไม้ใหญ่ให้ร่มเงาอยู่เป็นระยะ ๆ ผ่านคอกม้าที่กั้นขึ้นด้วยแผ่นไม้สีขาว ถนนแคบ ๆ สายนั้นมุ่งตรงไปยังสนามหญ้าที่รายล้อมอยู่ด้วยต้นโอ๊คร่มรื่น และตรงหว่างกลางหมู่ไม้ คือหลังคาสีแดงของคฤหาสน์หลังหนึ่ง ถนนสายแคบ ๆ เส้นนี้เลี้ยวเข้าไปบรรจบกับถนนอีกสายหนึ่งที่ลาดด้วยยางแอสฟัลท์ อันเป็นทางเข้าสู่ตัวบ้าน
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นโอ๊คที่ยืนตระหง่านอยู่ทั้งสองข้างทาง ขณะที่ทอดด์พารถเลี้ยวเข้าสู่ถนนลาดยางดังกล่าว สแปนิช มอสส์ ที่ย้อยระย้าลงมาจากกิ่งก้านของต้นโอ๊ค บดบังภาพของตัวบ้านไว้จนหมดสิ้น และแล้ว บาร์บาร่าก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตื่นใจ ที่ตระหง่านอยู่ต่อหน้าในยามนี้ คือคฤหาสน์ที่ก่อสร้างขึ้นด้วยศิลาสีแดง รูปทรงของตัวบ้านอันประกอบด้วยระเบียงโค้งด้านบน เป็นศิลปะแบบสเปน และเบื้องหน้าระเบียงโค้งนั้น คือสนามหญ้าเขียวขจีประกอบด้วยน้ำพุสีเงินที่พร่างพราวอยู่ตรงกลางรายรอบระเบียงและยกพื้นด้านบน คือเหล็กที่ดัดด้วยฝีมืออันประณีตเป็นลวดลายราวลูกไม้ประดับอยู่ เส้นกรอบด้านบนที่เป็นแนวโค้งนั้นก็ฉาบไว้ด้วยสีดําเช่นเดียวกัน
“คุณคิดจะนั่งชื่นชมบ้านอยู่ในรถอย่างนี้ หรือว่าเราจะเข้าไปข้างในด้วยกัน” ทอดด์เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
อาจจะเป็นเพราะความตื่นตะลึงในความงามของตัวบ้าน จึงทําให้บาร์บาร่าไม่ทันสังเกตเห็นว่า ขณะนี้ ทอดด์ได้หยุดรถลงแล้ว คําถามของเขาทําให้เธอหันไปมองหน้าอย่างอาย ๆ
“คุณควรจะบอกให้ฉันได้รู้ตัวล่วงหน้านะคะ ว่าบ้านของคุณสวยมากขนาดนี้” เธอรีบกล่าวแก้
“อาจจะเป็นเพราะผมลืมไปแล้วละมัง จนกระทั่งได้มามองเห็นมันอีกครั้งหนึ่งผ่านทางสายตาของคุณนี่แหละ” เขากล่าวอย่างยอมรับ พร้อมกับก้าวลงจากรถเดินอ้อมหน้าหม้อมาเปิดประตูด้านที่เธอนั่งอยู่ให้ “แต่มันก็เป็นเพียงแค่บ้านหลังหนึ่งเท่านั้นนะ บาร์บาร่า มีผนังสี่ด้าน แล้วก็มีหลังคาคลุมหัว ก็เหมือนกับบ้านทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ”
แต่ในความรู้สึกของบาร์บาร่าแล้ว มันมีสิ่งที่มากกว่าฝาผนังสี่ด้านและหลังคาคลุมหัวอย่างที่เขาว่าแน่นอน เพียงแต่เธอไม่อยากจะโต้แย้งกับเขาในเรื่องนี้เท่านั้น คฤหาสน์หลังนี้ คือสัญลักษณ์แห่งความสง่างามและรุ่งเรืองในอดีตมีบรรยากาศแห่งความอบอุ่น ความสุขและความเพียบพร้อมอยู่มากกว่าที่จะทําให้รู้สึกหวาดกลัวเกรงขาม เสียงฝีเท้าขณะที่เดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยกระเบื้องสีแดงเข้าสู่บริเวณสนามกว้างด้านหน้านั้น ไม่ได้เป็นไปในลักษณะของการบุกรุกเข้ามาเลยแม้แต่น้อย เมื่อเดินลึกเข้าไปใกล้ตัวบ้านเธอก็ได้พบว่า มีพันธุ์ไม้ทั้งดอกและใบปลูกประดับอยู่ในกระถาง ตกแต่งสถานที่ไว้โดยทั่วไป เมื่องมองเลยประตูวงโค้งอีกแห่งหนึ่งออกไป บาร์บาร่ามองเห็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ น้ำในสระเป็นสีฟ้าใสชวนใจให้ลงแหวกว่ายยิ่งนัก แต่ขณะนี้ ทอดด์กําลังพาเธอเดินตรงไปยังประตูขนาดใหญ่ที่สลักเสลาไว้ด้วยลวดลายอันสวยงาม
ประตูบานนั้นเปิดเข้าไปสู่ห้องโถงขนาดใหญ่ อีกด้านหนึ่งของตัวห้อง เป็นประตูกระจกที่เปิดออกไประเบียงริมสระน้ำ ที่ตั้งอยู่ทางด้านข้างของตัวบ้าน จากห้องโถงนี้มีบันไดทรงโค้งที่ราวบันไดเป็นไม้ที่ถูกดัดและสลักเป็นลวดลายทอดตัวขึ้นสู่ชั้นบน และมีทางเดินซึ่งด้านบนประดับด้วยกระจกสี เปิดติดต่อเข้าสู่ห้องรับแขก ซึ่งทอดด์เดินนําเธอเข้ามาหยุดอยู่ในห้องที่หรูหราแห่งนี้
“คุณจะรังเกียจไหมที่จะรออยู่ในห้องนี้ก่อน” เขาเอ่ยถามขึ้น “ตอนนี้ สงสัยว่าแม่คงจะอยู่ในครัว และแม่คงจะไม่พอใจแน่ถ้าผมจะพาคุณเข้าไปหาท่านที่นั่น ในขณะที่กําลังสั่งงานคนครัวอยู่”
“ไม่รังเกียจหรอกค่ะ ฉันรอที่นี่ได้” เนื่องจากทอดด์ไม่ได้บอกให้มารดาของเขารับรู้เป็นการล่วงหน้าว่าจะพาคู่หมั้นมาด้วย เพราะฉะนั้น การบอกเล่าในเรื่องนี้ อาจจะทําให้เธอตกอกตกใจขึ้นมาได้ บาร์บาร่าจึงคิดว่า ทางที่ดีเธอควรจะรออยู่เสียที่นี่ ขณะที่มิสซิสเกย์เนอร์ได้รับการบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นหมายของเขาและเธอ
“คุณอยากดื่มอะไรก่อนไหม เดี๋ยวผมจะเอาเครื่องดื่มติดมือออกมาให้ด้วย” เขาถามอย่างห่วงใย
“ดีค่ะ” เธอพยักหน้ารับ
เขาออกเดินไปยังทางโค้งที่ติดต่ออยู่กับห้องรับประทานอาหาร ซึ่งภายในมีเครื่องเฟอร์นิเจอร์แบบสเปนตั้งรายเรียงอยู่ แต่แล้วก็หยุดชะงัก ราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้และเดินกลับมาหาเธออีก คราวนี้เขาเข้ามายืนประชิดตัวโน้มศีรษะลงจุมพิตเรียวปากเบา ๆ
“อย่าตกใจจนหนีไปไหนเสียก่อนล่ะ รับรองว่าแม่จะต้องชอบคุณแน่”
ออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกอยู่ ที่บาร์บาร่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลยกับการที่จะได้พบกับมารดาของเขา บางที อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศอันแสนสุขภายในบ้านหลังนี้กระมัง ที่ทําให้เธอกลับรู้สึกสบายใจเสียด้วยซ้ำ เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องที่ได้รับการตกแต่งไว้อย่างหรูหรา ผนังที่ฉาบไว้ด้วยสีขาว หน้าต่างทรงโค้ง และเตาผิง ซึ่งรูปแบบของการจัดแต่งห้องออกจะดูเป็นงานเป็นการอยู่ แต่ทว่า พรมสั้นสีสวย ที่วางกระจายอยู่ตามตําแหน่งต่าง ๆ กับหมอนแพรหลากสีที่วางไว้บนโซฟาแต่ละตัว ทําให้ห้องดังกล่าวคลายบรรยากาศที่ควรจะขึงขังลงได้อย่างมาก โดยเฉพาะกับเครื่องเรือนที่เป็นรูปทรงแบบสเปนนั้น ทําให้มันกลายเป็นห้องที่มีบรรยากาศน่าสบายอย่างที่สุด