บทที่ 3
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ล่วงมานี้เอง ที่บาร์บาร่าได้รู้ว่าตนเองนั้นได้รับหมั้นกับทายาทของมหาเศรษฐีคนหนึ่งโรงแรมแห่งที่ทอดด์เป็นเจ้าของและดําเนินการบริหารกิจการทั้งหมดด้วยตนเองนั้น เป็นเพียงโรงแรมชายทะเลแห่งหนึ่งในจํานวนทรัพย์สมบัติที่บิดาทิ้งไว้ให้เท่านั้น รายได้จากโรงแรมแห่งนั้น สามารถจะทําให้เขาใช้ชีวิตแบบเพลย์บอยได้อย่างสุขสบาย แต่ทอดด์กลับเลือกที่จะทํางานมากกว่า
“แล้วแซนโดวอลล่ะคะ” บาร์บาร่าเอ่ยถามถึงไร่ส้มอันไพศาลและเป็นจุดหมายปลายทางสําหรับเขาและเธอในการเดินทางครั้งนี้ “คุณโตที่นั่นไม่ใช่หรือ”
“เปล่าหรอก แต่เราก็เคยอยู่ที่นั่นกันเสียเป็นส่วนใหญ่ เจ.อาร์.น่ะชอบที่นั่นมาก แต่ผมไม่ค่อยชอบชีวิตชนบท ผมชอบชีวิตในเมืองมากกว่า ก็คงเหมือนพ่อตรงนี้เอง”
เมื่อพินิจพิจารณาบุรุษผู้นี้ บาร์บาร่าก็รู้สึกยินดีกับตัวเองยิ่งนัก เธอชอบที่จะให้เขามีบุคลิกลักษณะของชาวกรุงมากกว่า เพราะลักษณะของความเป็นชาวไร่นั้น มันเตือนใจให้เธอต้องนึกไปถึงบุรุษผู้มีผิวพรรณคล้ำเกรียมด้วยต้องตากแดดตากลมอยู่วันละหลาย ๆ ชั่วโมง ส่วนสีผิวของทอดด์ในยามนี้ก็เช่นเดียวกันกับเธอ คือคล้ำลงจากการอาบแดดอยู่ริมสระน้ำ หรือบนหาดทรายชายทะเลเท่านั้น
“เจ.อาร์.ที่คุณพูดถึงนี่เป็นพี่ชายคุณหรือคะ” บาร์บาร่าถามเพื่อความมั่นใจ
“ใช่ครับ พี่ชายผมเอง ที่จริงมันก็เป็นการดีอยู่หรอกนะที่แซนโดวอลนี่เป็นของเขา ชีวิตอย่างนั้นมันเหมาะกับเขาอย่างที่สุดทีเดียว เออ...ที่จริงแล้ว ผมคิดว่าผมควรจะเตือนคุณเรื่อง เจ.อาร์.ไว้สักหน่อย” ทอดด์เสริม ภายหลังจากที่ได้ใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว
“เตือนฉัน... เรื่องอะไรกันคะ” ดวงตาคู่สีฟ้าตวัดมองหน้าเขาอย่างพิศวง ความหวาดหวั่นลึก ๆ กําลังแผ่ซ่านไปตามไขสันหลัง
แต่สายตาที่หันมาประสานกับเธอนั้นอาบอยู่ด้วยแววยิ้ม
“เตือนเรื่องที่ว่า เขาจะต้องหาทางจีบคุณน่ะสิ”
“เอ๊ะ...ทําไมอย่างนั้นล่ะ ฉันหมายถึงว่า...ในเมื่อฉันเป็นคู่หมั้นของคุณ เขาคงไม่กล้าพอที่จะ...” บาร์บาร่าทักท้วงด้วยคําพูดที่ตะกุกตะกัก ซึ่งทําให้ทอดด์เปล่งเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ
“ประการแรกนั้น เจ.อาร์.เป็นคนที่มีสายตาแหลมคมมาก ต่อให้ผู้หญิงรวมกลุ่มกันอยู่นับจํานวนไม่ถ้วนก็ตาม เขาก็สามารถที่จะมองเห็นคนที่สวยที่สุดได้” เขาเริ่มอธิบาย “คุณสมบัติประการต่อมาก็คือ เขาเป็นคนมีเสน่ห์สําหรับเพศตรงข้ามอย่างที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ดูจะเป็นเรื่องที่เขารู้ตัวมาตั้งแต่เริ่มหนุ่มแล้ว ถ้าเจ.อาร์.เขาเข้ามาใกล้คุณละก้อ รู้ไว้เถอะว่าเขามีจุดประสงค์อยู่สองประการ ประการแรกก็คือเขาต้องการที่จะทดสอบ ต้องการที่จะรู้ว่าผู้หญิงคนที่หมั้นหมายกับน้องของเขานั้นน่ะมีความซื่อสัตย์มากน้อยแค่ไหน”
“แล้วประการที่สองล่ะคะ” บาร์บาร่าถามต่อทันทีเมื่อทอดด์หยุดเว้นระยะ
“เหตุผลประการที่สองน่ะรึ” ทอดด์ไหวไหล่เบา ๆ “มันก็เป็นการหาความรื่นรมย์ให้กับตัวเขาเองน่ะสิ”
“แล้วฉันจะต้องทํายังไงล่ะคะ ถ้าเขาเกิดเข้ามาจีบฉันจริง ๆ” เธอไม่อาจจะสะกดกั้นความรู้สึกท้าทายออกจากน้ำเสียงที่เอ่ยถามได้
“ผมก็บอกไม่ได้หรอกนะว่าคุณควรจะต้องทํายังไง” หางเสียงนั้นปนสําเนียงหัวเราะอยู่ “สิ่งที่ผมจะต้องทําก็เพียงแต่เตือนให้คุณได้รู้ไว้เท่านั้น ว่าเรื่องอย่างนี้มันจะต้องเกิดขึ้น ผมเชื่อใจคุณนะบาร์บาร่า เชื่อว่าคุณจะต้องรู้จักวิธีที่จะจัดการกับเรื่องนี้ได้”
เธอรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่เขามีความมั่นใจในตัวเธออยู่
“สงสัยว่าพี่ชายของคุณคงยังไม่ได้แต่งงานสินะคะ”
“เจ.อาร์.น่ะ ฉลาดเหมือนสุนัขจิ้งจอก เขาระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ออกจะเป็นการยากอยู่เหมือนกันที่จะยอมติดกับการแต่งงานง่าย ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเขาก็คือ เขามักจะมีผู้หญิงมาให้เลือกทีละหลาย ๆ คนเลย คนไหนที่ไกลเกินเอื้อมเขาจะถือว่าเป็นองุ่นเปรี้ยว เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องผู้หญิงแล้ว ส่วนมากมักจะเป็นไปในทํานองที่ว่า เขาจะเอาเมื่อไหร่ก็ได้ จะทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้อีกนั่นแหละ และในชีวิตของเขาก็เป็นอย่างนั้นมาโดยตลอดเสียด้วย” ทอดด์จบคําอธิบายด้วยยิ้มกว้าง
แต่บาร์บาร่ากําลังบดย่อยคําพูดประโยคแรกของเขาอยู่
“ทอดด์คะ คุณคิดว่าการแต่งงานนี้มันเป็นกับดักด้วยหรือเปล่า”
รอยยิ้มเลือนหายไปจากริมฝีปากที่ได้รูปนั้นทันที
“เปล่าเลย ผมก็พูดเล่น ๆ ไปอย่างนั้นแหละ อยากจะย้ำให้คุณเห็นถึงทัศนคติที่พี่ชายผมเขามีความเห็นต่อเรื่องของการแต่งงานมากกว่า จริง ๆ แล้วผู้หญิงพวกนั้นก็ไม่ได้ให้ในสิ่งที่เป็นความยุติธรรมสําหรับเขาเท่าไรนักหรอก ผมคิดนะ...คิดว่าเขาเองก็ต้องการที่จะแต่งงานให้มันเป็นเรื่องเป็นราวอยู่เหมือนกัน ต้องการที่จะมีลูกมีเมีย ถ้าเขาสามารถจะหาผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขาได้ เขาต้องการใครสักคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติคล้ายคุณนี่แหละ บาร์บาร่า คนที่เขาพร้อมจะให้ความคุ้มครองป้องกัน ขณะเดียวกัน ก็ให้ความสุขด้วย” อ้อมแขนของทอดด์โอบลงรอบไหล่อีกครั้ง รั้งร่างเธอให้เข้ามาใกล้ “ที่จริงมีผู้หญิงมายื่นใบสมัครกับเจ.อาร์.แยะทีเดียว เวลานี้เขาก็กําลังใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความลําเอียงเลือกอยู่”
“รู้สึกว่าคุณเป็นห่วงพี่ชายอยู่มาก จริงไหมคะ” จากคําพูดของทอดด์ ทําให้บาร์บาร่ามองเห็นความแตกต่างของพี่น้องสองคนนี้ราวฟ้ากับดินทีเดียว
“เขาเป็นวีรบุรุษในสายตาของผมตลอดมา จริงอยู่ เจ.อาร์.อาจจะมีชีวิตอยู่แบบลูกทุ่ง คลุกคลีอยู่กับผงธุลีดิน แต่เขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ใคร ๆ สมควรที่จะต้องแหงนหน้าขึ้นมองเขา คุณจะรู้ว่าที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้นมันเป็นความจริงแค่ไหน ก็ต่อเมื่อคุณได้พบกับเขาเสียก่อน”
บาร์บาร่าทอดกายอย่างสบายอารมณ์อยู่ในวงแขนคู่นั้น ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อในคําพูดของทอดด์ ถ้าเจ.อาร์.จะมีความอ่อนโยนสุภาพเพียงแค่ครึ่งของเขาแล้ว บาร์บาร่ารู้ว่าเธอจะต้องชอบผู้ชายคนนั้นแน่
“แล้วคุณเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวฉันให้ทางครอบครัวฟังว่ายังไงบ้างล่ะคะ” เธอถามอย่างใคร่รู้
“ยังเลย”
“อ้าว ทําไมล่ะคะ” บาร์บาร่าผุดลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับหันไปมองหน้าคู่หมั้นอย่างงุนงง
รอยยิ้มคร้าน ๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปาก
“ผมรู้จักแม่ผมดีนะ ถ้าแม่รู้ว่าผมกําลังจะพาคู่หมั้นมาเยี่ยมบ้านละก้อ แม่เป็นต้องเชิญใครต่อใครกันมาเต็มบ้านเปิดแชมเปญเลี้ยงฉลองกันเป็นการใหญ่เลย ซึ่งผมไม่คิดว่าคุณจะเตรียมตัวได้ทันสําหรับเรื่องพรรค์อย่างนั้น อีกประการหนึ่งมันก็ดูจะยังเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปสําหรับเราทั้งสองคนอยู่ เพราะฉะนั้น ผมก็เพียงแต่บอกให้แม่รู้ว่า ผมจะพาเพื่อนคนหนึ่งมาด้วย ซึ่งวิธีนี้จะทําให้คุณพอมีเวลาสงบอกสงบใจสักสองสามวัน เพื่อที่จะทําความคุ้นเคยกับแม่เสียก่อนที่เราจะประกาศการหมั้นกันอย่างเป็นทางการด้วยการจัดปาร์ตี้ขึ้น” เขาชะลอรถลงเลี้ยวจากถนนหลวงลงสู่เส้นทางสายแคบ ๆ และมาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าประตูรั้ว “เอาละ ตอนนี้ เราก็เข้ามาสู่อาณาเขตของแซนโดวอลแล้ว”
บาร์บาร่ามองดูประตูใหญ่ที่ตอนบนมีแผ่นไม้ขนาดใหญ่ทาสีขาวเขียนข้อความไว้ว่า
“ไร่ปศุสัตว์แซนโดวอล-ทางส่วนบุคคล-ผู้ไม่มีกิจห้ามเข้า”
“อ่านป้ายนั่นแล้ว รู้สึกว่าไม่ใคร่จะมีบรรยากาศของการต้อนรับเลยนะคะ”
“ทางที่เข้าสู่ตัวไร่จริง ๆ ยังจะต้องไปอีกสองสามไมล์” ทอดด์อธิบาย “มันมีทางลัดเข้าสู่ตัวบ้านด้วยนะ แต่อีกทางหนึ่งนั้นน่ะวิวสวยมาก และเราจะต้องขับรถผ่านเข้าไปในระหว่างสวนผลไม้ รอนี่เดี๋ยวนะผมจะลงไปเปิดประตูก่อน” เขาปิดสวิตช์ดับเครื่องปรับอากาศ และหมุนกระจกหน้าต่างลงก่อนที่จะเปิดประตูรถลงไป
กลิ่นหอมของดอกส้มลอยล่องอยู่ในอากาศ ประสมประสานอยู่กับความเย็นภายในตัวรถ เลยจากประตูบานใหญ่ที่ทอดด์กําลังเปิดออกนั้น จะเห็นกล้าต้นส้มปลูกรายเรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบ ขณะที่เขาขับรถเลยเข้าไปและหยุดลงอีกครั้งเพื่อที่จะปิดประตูบานนั้นให้เข้าที่ตามเดิม บาร์บาร่าได้เห็นส้มผลเล็ก ๆ ที่ระย้าย้อยอยู่บนกิ่ง
“พวกนี้เป็นพันธุ์วาเลนเซีย” ทอดด์อธิบายให้เธอฟัง “ในที่ดินของเราปลูกส้มพันธุ์อื่น กลิ่นของมันทําให้น้ำส้มมีรสชาติชวนดื่มมากขึ้น แม่ผมชอบเอามาทําฟรุทสลัด บางครั้งก็เอามาผสมทําของหวาน ส้มพวกนี้จะสุกประมาณเดือนมีนาคม เพราะฉะนั้น อีกไม่นานก็เก็บได้แล้ว”
“ทั้ง ๆ ที่เป็นชาวกรุง แต่ดูเหมือนคุณจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องส้มดีจังนะคะ” บาร์บาร่าพูดล้อ ๆ
“อ้าว...ก็ไหนใคร ๆ เขาว่า คนที่เป็นชาวฟลอริด้าจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องส้มดีไปเสียหมดทุกคนไงล่ะ” เขาย้อนให้โดยใช้คําพูดของเธอนั่นเองเป็นคําถาม
“แหม... แต่ฉันไม่คิดว่าควรจะต้องรวมคุณเข้าไว้ด้วยนี่คะ ฉันเองก็ขับรถผ่านเข้าไปในสวนส้มมามากต่อมากแล้วก็เคยแวะซื้อผลไม้ประเภทนี้ของชาวพื้นเมืองด้วย แต่ความรู้ของฉันเกี่ยวกับเรื่องส้มนี่แทบไม่มีเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นที่คุณพูดว่า ชาวฟลอริด้าจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องส้มกันทุกคนนั้น ฉันว่ามันไม่ใช่ความจริงเสียทีเดียวหรอกค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น” ทอดด์ขับรถช้า ๆ ไปตามเส้นทางสายแคบ ๆ ที่ทอดตัวไปเบื้องหน้า “ตอนที่อยู่ที่นี่ เราก็จําเป็นจะต้องแก้ไขความเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้อง”
“ดูนั่นสิคะ” บาร์บาร่าชี้มือไปยังต้นที่อยู่ติดริมถนน “เห็นไหมคะบนกิ่งนั่น ทําไม มันถึงมีทั้งดอกส้มที่กําลังเริ่มผลิอยู่บนกิ่งเดียวกับที่มีผลส้มที่โตเกือบจะเต็มที่แล้วล่ะคะ”
“ใช่ ตอนนี้ คุณก็จะต้องรับคําบรรยายบทแรกเกี่ยวกับเรื่องส้มนี่เสียเลย ส้มกับเกรฟฟรุทนั้นจะโตเต็มที่ได้ต้องใช้เวลาถึงสิบสองเดือน ไม่เหมือนกับแอปเปิ้ลหรือผลไม้ชนิดอื่นซึ่งอาจจะโตได้ในสามสี่เดือนเท่านั้น เพราะฉะนั้น คุณถึงได้เห็นทั้งผลส้มและดอกของมันอยู่บนกิ่งเดียวกันและในเวลาเดียวกันด้วย ส้มที่สุกนั่นก็จะเป็นผลผลิตของปีนี้ ส่วนดอกก็จะกลายเป็นผลผลิตของปีหน้าไงล่ะ”