บทที่ 2
บาร์บาร่าพินิจนิ้วมือกับอุ้งมืออันอบอุ่น ยามที่จับเธอไว้อย่างจะปลอบใจ สัมผัสนั้นไม่ได้ทําให้เธอถึงกับเนื้อเต้นอีก และเธอก็เลิกที่จะเชื่อความรู้สึกเช่นนั้นอีกต่อไปแล้วด้วย แต่คําพูดของเขา มันทําให้เธอบังเกิดความรู้สึกใคร่รู้เกี่ยวกับตัวเขาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วหัวใจของคุณล่ะคะ มันเคยได้รับความเจ็บช้ำบ้างหรือเปล่า” สีหน้าของบุรุษที่นั่งเคียงข้างยามนี้ดูราบเรียบสงบและสง่ายิ่งนัก ปราศจากร่องรอยแผลเป็นของความเจ็บช้ำน้ำใจ หรือสภาพของคนที่เคยอกหักมาก่อน ซึ่งบาร์บาร่าไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เขาจะไม่เคยผ่านมรสุมชีวิตรักมาบ้าง
“เป็นสิบ ๆ ครั้งละมั้ง นับไม่ถ้วนหรอก” เขาพูดอย่างให้เห็นขัน
“โธ่ ตอบจริง ๆ สิคะ” บาร์บาร่ารุกเร้า
“ก็จริง ๆ น่ะสิ แต่บอกตรง ๆ นะ ตั้งแต่ผมพบคุณมันก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะไปคิดถึงเรื่องเก่า ๆ ที่ผ่านมา เพราะถ้าจะมองจากจุดยืนตรงนี้ มันทําให้ผมมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเรื่องทั้งหลายที่ผ่านมานั่นน่ะ มันเป็นเรื่องไร้สาระไปเสียหมด คําอธิบายเพียงแค่นี้มันพอจะตอบคําถามของคุณได้บ้างหรือยังล่ะ” เขาปรายตา และเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ดวงตาคู่สีน้ำตาลเต็มไปด้วยความอบอุ่นฉายด้วยแววหัวเราะอยู่
“ค่ะ ก็คงจะพอตอบได้” แต่ขณะนี้ สําหรับตัวบาร์บาร่าเองแล้ว แทบจะไม่สามารถมองเห็นในสิ่งที่ทอดด์เห็นอยู่ได้เลย อาจจะเป็นเพราะว่าจุดยืนของเธอยังไม่มั่นคงพอก็เป็นได้
“ยิ่งกว่านั้นนะ ถ้าคุณพบผมก่อน บางที คุณอาจจะไม่ทันสังเกตเห็นผมก็ได้” ทอดด์พูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
“ไม่จริงหรอกค่ะ” บาร์บาร่ารับทักท้วงทันที “คุณเป็นคนหล่อออกนะคะ ทอดด์ เกย์เนอร์ ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ต้องสังเกตเห็นคุณทั้งนั้น” ...นอกเสียจากว่าบังเอิญตอนนั้นมีจ๊อค มอลลี่ อยู่ด้วยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เสียงกระซิบจากจิตใต้สํานึกตอกย้ำอยู่ริมหู
และราวกับเขาจะอ่านความคิดในใจเธอออก ทอดด์เอ่ยออกมาตามความคิดของตัวเองว่า
“หรือไม่เช่นนั้น ผมก็อาจจะต้องสูญเสียคุณให้เขาไปแล้วก็ได้” ซึ่งบาร์บาร่าก็รู้สึกขอบใจอยู่ที่เขาไม่ได้ให้เธอกล่าวคําพูดประโยคนั้นด้วยตนเอง ทั้งนี้เพราะ เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะใช้คําพูดอย่างไรกับความเป็นไปได้ที่มองเห็นอยู่นั้น
“ไอ้คําว่า ‘บางที’ น่ะ มันไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่กําลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้หรอก หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ถ้าใช้คําว่า ‘แต่ถ้า’ ละก็ว่าไม่ถูก จริงไหม”
“จริงค่ะ” บาร์บาร่าตอบเสียงสงบ “และคําแรกที่ฉันอยากจะใช้ก็คือ ถ้าฉันไม่ได้พบคุณอะไรจะเกิดขึ้น ทอดด์คะ คุณน่ะเป็นคนดีมาก ทั้งดีแกฉัน เพื่อฉัน และกับฉัน...มาตลอด” เธอเน้นในทุกคําพูดนั้น “จนกระทั่ง ในบางครั้ง ฉันก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า ฉันควรจะทําอย่างไรจึงจะตอบแทนบุญคุณแก่คุณ ซึ่งมีความเข้าใจ มีความอดทนในตัวฉันมาตลอดได้”
“ตอนที่ผมพบคุณครั้งแรกนั่นน่ะ คุณทําให้ผมมีความรู้สึกเหมือนกับไปพบลูกแมวตัวหนึ่ง ที่คนใจร้ายเอามาปล่อยทิ้งไว้กลางถนนจริง ๆ นะ” ทอดด์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่าทางของคุณเต็มไปด้วยความหวาดระแวงตกใจกลัวอย่างมาก...ทั้ง ๆ ที่คุณไม่พยายามจะแสดงออกมาให้ใครเห็นก็ตามทีเถอะ” เขาเหลือบตามองหน้าเธออยู่ “คุณแทบจะโก่งหลังแล้วก็กระโจนใส่ผมแบบเดียวกับลูกแมวนั่นไม่มีผิด แสร้งทําเป็นว่า คุณไม่ได้รู้สึกกลัวหรือตกใจในเรื่องอะไรทั้งสิ้น จําได้ไหมล่ะ ว่าคุณตอบปฏิเสธผมกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กว่าจะยอมรับนัดของผมน่ะ”
“อย่างน้อยก็สักสิบสองครั้งมังคะ” บาร์บาร่านึกไปถึงความพยายาม ความอ่อนโยน ที่บุรุษผู้นี้นํามาใช้เกลี้ยกล่อม เพื่อที่จะให้เธอออกมาจากเปลือกที่เข้าไปขดตัวซ่อนอยู่ให้ได้ “และฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า เพราะอะไร คุณถึงได้ยอมลําบากลําบนอย่างนั้นด้วย” เธอถอนหายใจออกมายาว ๆ
ทอดด์ปล่อยมือข้างที่จับเธอไว้ เอื้อมไปดึงบังตาด้านที่เธอนั่งอยู่ลง กระจกเงาที่ติดอยู่หลังบังตาสะท้อนให้เห็นภาพของเธอเอง ให้เห็นเรือนผมสีดําที่เป็นกรอบล้อมใบหน้ารูปไข่อันประกอบด้วยดวงตาคู่สีฟ้าสดใส และแผงขนตางอนงาม และกับผิวหน้าที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนเนียนละไมด้วยแสงอาทิตย์แห่งฟลอริด้าช่วยย้อมไว้ ก่อให้เกิดความงามอย่างน่าพิศวง
“ผู้หญิงคนที่อยู่ในกระจกเงาบานนั้นควรจะตอบคําถามของคุณได้” เขากล่าว “เพราะตอนที่ผมพบเธอเป็นครั้งแรกนั้นน่ะรอบขอบตาเป็นวงดําคล้ำและริมฝีปากบาง ๆ คู่นั้นก็ไม่เคยรู้จักคําว่ายิ้มหรือหัวเราะด้วย ความรักทั้งนั้นที่มันทําให้เกิดสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้น”
บาร์บาร่าหวนรําลึกไปถึงความหลังเมื่อหกเดือนก่อน ความหลังที่ทําให้เธอไม่อาจจะทนฝืนยิ้มให้ใครต่อไปได้ ความหลังที่ทําให้เกิดวงคล้ำ ๆ รอบดวงตา จริงอย่างที่เขาว่าเสียด้วย ความเสียดายและความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความโง่งมของตนเองฉายแสงอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“บาร์บาร่า ผมสัญญานะว่าจะไม่เร่งรัดคุณเรื่องการแต่งงานของเราแต่อย่างใดทั้งสิ้น เราจะหมั้นกันนาน ๆ ตามธรรมเนียมโบราณไงล่ะ และในช่วงเวลาที่เรายังหมั้นกันอยู่ ผมก็จะต้องมอบดอกไม้ มอบของขวัญ เพื่อเป็นการเอาใจคุณตลอดเวลา อ้อ...แล้วก็ต้องให้หนังสือบทกวีแห่งความรักด้วย มันถึงจะถูกต้องตามประเพณีจริง ๆ” น้ำเสียงที่ปนหัวเราะนั้นเหมือนจะล้อเลียนในความคิดอารมณ์โรแมนติคของตนเอง ซึ่งทําให้บาร์บาร่าต้องพลอยรู้สึกขบขันไปด้วย “หลังจากนั้นนะ เราก็จะต้องเตรียมพิธีแต่งงานในโบสถ์ใหญ่ ๆ ซึ่งพิธีหลังนี่จะต้องทําให้แม่ผมมีความสุขอย่างที่สุดเลย เมื่อแต่งงานกันเสร็จสรรพแล้วเราก็จะไปฮันนีมูนกันในทะเลคาริบเบียน อันนี้ทําให้ผมมีความสุขละรับรองเลยนะว่าคุณจะต้องชอบแม่ผมมาก ๆ” เขาเสริมขึ้นในตอนท้ายอย่างที่หญิงสาวไม่คาดว่าจะได้ยิน
“ฉันก็หวังว่าท่านจะชอบฉันด้วยค่ะ” เธอตอบออกไปโดยอัตโนมัติ
“ต้องชอบแน่” ทอดด์รับรองทันที “อันที่จริงผมอยากจะให้เราได้มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลําพังมากกว่านี้นะ ผมคงจะไม่เสนอให้เรามาพักร้อนกับครอบครัวของผมหรอก ถ้าเราคนใดคนหนึ่งสามารถจะลาพักได้ในช่วงปลายปี แต่บังเอิญสองอาทิตย์นี่มันเป็นช่วงเวลาเดียวที่ทางโรงแรม จะงานว่างลงก่อนที่จะถึงเทศกาลอีสเตอร์ จากนั้นพวกทัศนาจรฤดูร้อนก็จะแห่ตามกันมาละ ผู้จัดการของผมเขาจะหยุดพักร้อนตอนฤดูใบไม้ร่วง แล้วก็...”
“ทางสายการบินเขาก็ไม่อนุญาตให้ฉันเปลี่ยนกําหนดการใหม่ นอกเสียจากว่าฉันจะเลิกหยุดพักร้อนไปเลยสําหรับปีนี้” บาร์บาร่าสอดขึ้น ปัจจุบันเธอทํางานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสํารองที่นั่งของสายการบินแห่งหนึ่ง ภายหลังจากที่ได้เป็นแอร์โฮสเตสบนเครื่องมาเป็นเวลาถึงสองปี “อันที่จริงมันก็เป็นการบังเอิญอย่างน่าแปลกใจที่สุดเลยนะคะ ที่เราเกิดมาว่างพร้อมกันอย่างนี้”
“นั่นสิ” ทอดด์ยิ้ม “และผมก็อยากจะให้คุณได้รู้จักกับครอบครัวของผมด้วย คือผมอยากจะให้คุณคิดว่านี่คืออีกครอบครัวหนึ่งของตัวเองด้วย”
“คุณยังไม่ได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับครอบครัวของคุณให้ฉันฟังเลยนะคะ ฉันทราบแต่เพียงว่าคุณแม่ของคุณน่ะท่านเป็นแม่หม้าย แล้วคุณก็มีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง” เธอเป็นฝ่ายเริ่มเรื่องขึ้นก่อน และทอดด์ก็ลงมือต่อจากตรงจุดนั้น
“ครับ ผมก็มีแค่แม่กับพี่ชายอีกคนหนึ่งเท่านั้น แต่เราก็ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก อาจจะเป็นเพราะว่าเรามีอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น ก็ได้ละมัง แม่ผมชื่อลิเลียน เป็นสุภาพสตรีที่ใจดี น่ารักที่สุด อ่อนหวาน แล้วก็เข้าใจในอะไรต่อมิอะไรได้ง่าย”
“ถ้าเช่นนั้น คุณก็คงจะมีนิสัยเหมือนแม่นั่นเอง” บาร์บาร่าสรุป
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะ พ่อผมเองก็เป็นคนใจดีอย่างประเสริฐเหมือนกัน แม่บอกว่าในเมืองนี้ไม่ต้องไปหาคนที่ใจดีอย่างพ่ออีกแล้ว เวลาที่ไมอามี่เขาเกิดมีงานการกุศลอะไรกันขึ้น คนพวกนั้นจะต้องตรงดิ่งมาหาพ่อก่อนเป็นคนแรกเลย พ่อไม่เคยกล้าปฏิเสธใครก็ตามกําลังเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือหรอก ถ้าพ่อสามารถทําใจแข็งได้ ตอนที่ตายคงทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้เราได้รวยกันเป็นเศรษฐีพันล้านแล้ว ไม่ใช่จนกรอบอย่างเดี๋ยวนี้” ทอดด์หัวเราะออกมาเบา ๆ ราวกับนึกขันในคําพูดของตนเอง