บทที่ 6
บริกเดินกลับมาที่ม้า จับสายบังเหียน เหวี่ยงตัวขึ้นคร่อมอาน หยุดกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณนั้นอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ขี่ม้าออกจากละเมาะไม้สู่ทุ่งหญ้าภายนอก ดอกไม้ป่าชูก้านไสวอยู่ในบริเวณหุบเขา ดอกน้อยๆโน้มลู่อยู่ในสายลมอ่อนแห่งขุนเขาดูบอบบางน่ารักยิ่งนัก
ก่อนที่เขาจะสูญเสียแผ่นดินผืนนี้ไป ก็ขอให้ได้เก็บภาพแห่งความภูมิใจนั้นไว้ ก่อนที่จะเดินทางไปหาแซงเงอร์ เพื่อหาเงินทุนอีกสักก้อน อันเป็นความหวังสุดท้ายของเขา
พวกปศุสัตว์เงยหน้าขึ้นมองดูม้าสีน้ำตาล ที่มีผู้ขี่ฝ่าเข้าไปในกลุ่มของพวกมัน บริกพยายามต้อนให้พวกมันกลับเข้าคอก บางทีหลังจากที่พ้นวิกฤติการณ์ในฤดูใบไม้ผลินี้ไปแล้ว หลังจากที่ได้ประทับตราลูกวัวและหลังจากที่ตัดเขาพวกวัวหนุ่มเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาอาจหาอะไรอย่างอื่นมาทดแทนสิ่งที่สูญเสียไปในครั้งนี้ก็ได้ แต่มันจะเป็นอะไร เขาเองก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกัน ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหมกมุ่นครุ่นคิด..บริกยังคงขี่ม้าต่อไปเรื่อยๆ..
ทั้งเหนื่อยทั้งกระหายน้ำจากการที่ต้องขับรถจากไร่ปศุสัตว์เข้ามาในเมือง ด้วยรถที่ไม่เหมาะกับสภาพพื้นผิวถนน บริกจอดรถพิคอัพแบบขับเคลื่อน 4 ล้อลงเบื้องหน้าอาคารหลังหนึ่ง ซึ่งมีหลอดนีออนเก่าๆขดเป็นเส้นอ่านได้ว่า “คัวร์” ดวงตาสีน้ำตาลชำเลืองมองกระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเบาะข้างตัวอย่างครุ่นคิด
และแล้ว..เขาก็กระชากประตูรถให้เปิดออก ก้าวลงมายืนข้างล่าง มองไปรอบๆตัว มองดูพวกนักทัศนาจรที่เดินอยู่ตามบาทวิถีในเมืองแซลมอนแห่งนี้ จากนั้นเขาก็เดินตรงไปยังประตูทางเข้าของบาร์แห่งหนึ่ง ตบฝุ่นออกจากหมวก ใช้มือปัดๆเสื้อผ้าบ้างเล็กน้อย ทั้งๆที่เมื่อตอนเช้าก่อนจะออกเดินทางมา มันก็ยังดูสะอาดเอี่ยมอยู่
แสงสว่างภายในบาร์ค่อนข้างสลัว หลังจากเพิ่งเดินผ่านแสงอาทิตย์จัดจ้าแห่งเดือนกรกฎาคมมาหยกๆ บริกเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านในของประตู เพื่อปรับระดับสายตาให้คุ้นชินกับความสลัวนั้น ตู้เพลงที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องกำลังเล่นเพลงลูกทุ่ง ที่มีเนื้อร้องเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งได้จุมพิตแม่เทพธิดาของเขาทุกยามเช้า โต๊ะเก้าอี้ภายในบาร์กลาดเกลื่อนอยู่ทั่วห้อง ยังไม่มีลูกค้าเข้ามานั่ง มีเพียงผู้ชาย 2 คนที่นั่งอยู่บนสตูลหน้าบาร์ เท้าข้อศอกอยู่กับเคาเตอร์ไม้โอ๊ก ชำเลืองตามองมาทางเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันไปคุยกันต่ออย่างไม่สนใจ
บริกเดินต่อไปจนถึงปลายสุดของบาร์ ทรุดตัวลงนั่งที่สตูลตัวหนึ่ง วางเท้าลงบนราวเหล็กที่ใช้รองเท้า ไม่มีใครอยู่ด้านหลังของบาร์นั้น มีเพียงเสียงที่ดังมาจากภายใน บริกปัดหมวกให้ตกลงไปอยู่ทางด้านหลัง ดึงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อและโดยไม่ต้องหักไม้ขีดออกจากแผง เขาเพียงแต่ฉีกอันหนึ่งให้กางออกและขีดเข้ากับกระดาษทรายอีกด้านหนึ่งของแผงไม้ขีดนั้น แม้จะไม่มีลมแต่ด้วยความเคยชินเขาก็ยังป้องเปลวไฟอยู่ดี
ตรงกึ่งกลางของชั้นที่วางขวดเหล้านานาชนิดคือนาฬิกาติดผนัง ที่มีแผงโฆษณาสินค้าประกอบอยู่ตรงหน้าปัด ทุกครั้งที่เข็มนาทีเลื่อนไปถึงนาทีที่ 15 แผ่นโฆษณาจะเปลี่ยนอันหนึ่งเข้าที่และมีอันใหม่หมุนขึ้นมาแทน และเมื่อถึงโฆษณาของบริษัทประกันภัย ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องด้านใน หอบขวดเหล้าเข้ามาด้วยสักครึ่งโหล เพื่อเอามาจัดวางลงบนชั้นตั้งเหล้านั้น
เรือนผมของแม่สาวคนนี้เป็นสีซีดจางเหมือนสีบลอนด์ ดวงตาเป็นสีฟ้าใส แรเงาเปลือกตาไว้ด้วยสีเข้มและเขียนขอบตาด้วยอาย-ไลเนอร์สีดำ แตะแต้มขนตาไว้ด้วยมาสคาร่าสีเดียวกัน การพอกเครื่องสำอางลงบนใบหน้าด้วยสีที่จัดจ้าเช่นนี้ ทำให้ใบหน้าที่ควรจะดูอ่อนวัยกลับแลดูน่ากลัว แต่จะอย่างไรก็ตาม เครื่องสำอางก็ยังไม่อาจอำพรางความอ่อนละมุนของริมฝีปาก ที่บัดนี้ฉาบไว้ด้วยลิปสติกสีแดงและแววซื่อสัตย์ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาคู่สีฟ้าได้ รูปร่างของหล่อนออกจะท้วมเล็กน้อย แต่งตัวด้วยเสื้อสีขาวแบบเรียบๆแต่ทว่า..ปลดดุมลึกลงมาจนเห็นเนินทรวงกลมมน กระโปรงเข้ารูปที่หล่อนสวมอยู่ก็ฟิตแนบตัวจนแทบจะกลายเป็นผิวหนังชั้นที่ 2 ดูมันรัดรึงเป็นพิเศษเฉพาะตรงเนินสะโพก
บริกรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาทันที หลังจากที่เขายุติการคิดถึงปัญหาที่กำลังเกิดอยู่กับงานและบ้านไร่กับคอกปศุสัตว์ลงและได้มาเผชิญหน้ากับผู้หญิง ซึ่งก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าบทบาทบนเตียงนอนของหล่อนนั้นเหลือร้ายนัก
ด้วยความที่สนใจอยู่กับงาน แม่สาวคนนั้นจึงไม่ทันเห็นบริก ที่เข้ามานั่งอยู่ตรงมุมสลัวของเคาเตอร์ บริกจึงเป็นฝายเอ่ยทักขึ้นก่อน
“เฮลโล ทรูดี้..!”
หล่อนชะงักมือที่กำลังทำงานอยู่ลงทันที หันขวับมามอง และแล้วดวงตากลมโตที่เปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความแปลกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นยินดี ผสมกับแววขวยเขินอย่างไม่ตั้งใจ
“เวล..เวล..เวล..พ่อหมาป่าเฒ่า เออ..ในที่สุดก็ลงมาจากภูเขาจนได้แน่ะ” หล่อนรีบวางขวดเหล้าลงบนโต๊ะ “ฉันกำลังคิดอยู่ว่า คุณน่าจะเข้าไปตั้งรกรากอยู่ในป่าเสียแล้วสิคะ”
“แล้วก็ทิ้งอีหนูผู้น่ารักไว้เบื้องหลังอย่างนั้นน่ะหรือ..ผมเห็นจะทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะทรูดี้” สายตาของเขากวาดไปทั่วเรือนร่าง
“อีหนูผู้น่ารัก..! อะฮ้า..!” หล่อนหัวเราะใส่จริตแต่สีหน้าเปี่ยมปราโมทย์ “ดื่มอะไรดีคะบริก?”
“ก็ต้องเบียร์สิ..”
“เบียร์สดนะ?”
เมื่อเขาพยักหน้ารับ หล่อนก็หยิบเหยือกมาใบหนึ่งรินเบียร์ใส่ลง
“ธุรกิจเป็นยังไงบ้างล่ะ?” บริกยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม ใช้หลังมือปาดฟองที่ติดอยู่กับไรหนวดออก
“ก็ไม่เลวนักหรอก ตั้งแต่ตอนที่นักท่องเที่ยวแห่กันมาที่นี่เมื่อฤดูร้อนปีกลาย มาล่องแก่งกันใน “ริเวอร์ ออฟ โน รีเทิร์น” กันยังไงล่ะ” คำพูดของหล่อนเจือความขบขันอยู่ในน้ำเสียงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา “สงสัยว่าเข้ามาเที่ยวนี้จะมาเอาเสบียงละมัง..แล้วก็นี่..คงจะเป็นจุดสุดท้ายที่จะหยุดพักผ่อนก่อนที่จะกลับขึ้นไปที่ไร่ละสินะ?”
“ไม่ใช่หรอก นี่เป็นจุดแรกที่แวะพักต่างหาก ผมส่งแทนดี้ ปาร์เนส มาเอาเสบียงตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว” เขาพูดเป็นเชิงอธิบาย พร้อมกับเอ่ยชื่อคนงานในไรที่เป็นมือขวาของเขา
“อ้าว..ถ้าอย่างนั้นเที่ยวนี้คุณเข้าเมืองมาทำไมล่ะ? หล่อนขมวดคิ้วอย่างสงสัย ทันใดก็รีบพูดต่อว่า “อย่าบอกว่ามาหาฉันนะคะ เพราะฉันไม่เชื่อหรอก”
“ผมกำลังจะไปไอดาโฮ ฟอลล์ จะจับเครื่องบินที่นั่นไปนิวยอร์ก” เขาเขย่าเบียร์ในแก้วเบาๆ มองดูฟองที่ฟูฟ่องขึ้นมา น้ำเสียงที่พูดหนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาไม่ได้บอกแววอะไรทั้งสิ้น
“นิวยอร์กเชียวหรือคะ ไปทำอะไรน่ะ? หางเสียงของทรูดี้แม้จะบอกความสงสัย แต่ก็เจืออยู่ด้วยสำเนียงหัวเราะ “พวกเราชาวไร่ที่นี่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะดื่มเบียร์สักแก้วแต่คุณกลับจะไปพักผ่อนเสียนี่”
“ผมก็ไม่มีปัญญาเหมือนกันนั่นแหละ แต่มันไม่ใช่การเดินทางเพื่อไปพักผ่อนอย่างที่คุณว่าหรอก” บริกแก้ความเข้าใจผิดของทรูดี้เสียงกร้าว “ว่าจะไปเยี่ยมญาติผู้ร่ำรวยเสียหน่อย จะไปดูสิว่าเขาจะช่วยอะไรได้สักแค่ไหน”
“ญาติผู้ร่ำรวย..หรือคะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ” เขายกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียวเกลี้ยง เอื้อมมือไปหยิบบุหรี่ที่กำลังมอดไหม้อยู่ในที่เขี่ย เหน็บห้อยไว้ตรงมุมปาก เปลือกตาข้างหนึ่งหรี่ลงเพื่อป้องกันไม่ให้ควันเข้าตา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ควานมือลงในกระเป๋า
“ผมเป็นหนี้ค่าเบียร์เท่าไหร่ล่ะนี่?”
“เลี้ยง..”ทรูดี้ว่าและลดเสียงลงเมื่อพูดต่อว่า “อะไรๆสำหรับคุณมันฟรีอยู่แล้ว คุณก็รู้นี่”
“ขอบใจมากนะ” รอยยิ้มบางๆฉาบขึ้นบนริมฝีปาก ซึ่งปกติแล้วริมฝีปากคู่นี้จะปิดสนิทอยู่เสมอ